บทที่ 58 อุบาทว์ลูกตา[รีไรท์]
ฉู่ชวิ๋นมีลางสังหรณ์ว่าการออกเดินทางในครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ราบรื่น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าปัญหาจะมาไวขนาดนี้
ฮวารุ่ยคิดว่าตนเองฉลาดและซ่อนเรื่องเมื่อกี้ได้อย่างแนบเนียนและตอนนี้เขาก็จะรอดูท่าอุบาทว์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนที่ทักทายกันฉู่ชวิ๋นรู้สึกว่าเข็มแหลมคมทะลุเข้าไปยังนิ้วมือตัวเอง
“ฉัน ฉู่ชวิ๋น” ฉู่ชวิ๋นพูดจบก็เก็บมือเบา ๆ
“อืม เป็นชื่อที่ดีนะ!” ฮวารุ่ยยิ้มอย่างเจิดจ้าสว่างไสว
“ชื่อของนายก็ไม่เลว งดงามมาก!” ฉู่ชวิ๋นอมยิ้มและพูดขึ้นมา
งดงามมาก?
ฮวาชิงหวู่และผู้อาวุโสก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจรวมถึงบอดี้การ์ดที่ฮวารุ่ยพามาด้วย ชื่อของผู้ชายพรรณนาให้สวยงามได้เหรอ?
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฮวารุ่ยแข็งทื่อ เขาไม่ได้รู้สึกว่าฉู่ชวิ๋นกำลังชื่นชมเขา ฮวารุ่ยชื่อของเขาเสียงพ้องกับ ฮวารุ่ย ที่แปลว่าเกสรดอกไม้ ซึ่งเขาเองก็รู้สึกไม่ชอบชื่อนี้เลย
ตอนนี้เขายิ่งเกลียดฉู่ชวิ๋นมากขึ้น ยิ่งเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่ชวิ๋นเขายิ่งเกลียด ยิ้มไปเถอะ ดูสิว่าแกจะยิ้มได้อีกนานแค่ไหน?
นิ้วมือฉู่ชวิ๋น ปรากฏให้เห็นหยดเลือดที่ไหลออกมา แม้ฉู่ชวิ๋นจะไม่รู้ว่าอะไรซ่อนอยู่ในแหวน แต่บอกได้เลยว่าไม่ใช่ของที่ดีแน่นอน
และตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ฉู่ชวิ๋นก็ดีดนิ้วเบา ๆ ทำให้หยดเลือดปลิวออกไปติดหว่างคิ้วของฮวารุ่ย ฝ่ายนั้นเพียงแค่รู้สึกว่า หว่างคิ้วเย็น ๆ จึงใช้มือลูบ ๆ ทันที
“เอากุญแจมาให้ฉัน ฉันขับเอง” ฮวาชิงหวู่พูด เธอเป็นห่วงแม่มาก ในใจรู้สึกอยากรีบกลับบ้านทันที
ฮวารุ่ยมองฉู่ชวิ๋นอย่างสงสัย ในใจก็รู้สึกระแวงว่าทำไมยายังไม่ออกฤทธิ์? ปกติผู้หญิงที่จับมือทักทายกับเขา 2 นาทีก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับแล้ว หรือว่าร่างกายของผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน ดังนั้นประสิทธิภาพของยาจึงออกฤทธิ์ช้า? ถ้ารู้แบบนี้น่าจะลองหาผู้ชายมาทดสอบฤทธิ์ของยาก่อนสักหน่อย
“ส่งกุญแจมา!” ฮวาชิงหวู่ยื่นมือออกมาอย่างอดทนไม่ไหว
ฮวารุ่ยยิ้มและพูดว่า “น้องสาวมานั่งรถของฉันเถอะ!”
ถ้าหากว่ายาออกฤทธิ์ระหว่างทาง พอถึงตอนนั้นน้องสาวของเขาก็ต้องไปมีอะไรกับมันในรถน่ะสิ แบบนั้นเขาไม่ระทมทุกข์ไปจนตายเหรอ?
เขาไม่ทำเรื่องโง่ ๆ อย่างให้คนอื่นสมปรารถนาหรอกนะ เขาต้องให้ฉู่ชวิ๋นนั่งรถไปกับบอดี้การ์ด ถ้าหากว่ายาออกฤทธิ์ฉู่ชวิ๋นจะอดทนกับฤทธิ์ไม่ไหว พอถึงตอนนั้นจะทำยังไงล่ะ? คิดแบบนี้มุมปากของฮวารุ่ยก็ยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเห็นภาพเหตุการณ์ที่ฉู่ชวิ๋นโดนกลุ่มผู้ชายตะลุมบอนอยู่ในรถ
ไม่รู้ว่าเมื่อน้องสาวคนนี้ของเขาเห็นภาพนี้แล้วจะทำหน้ายังไง ฮ่าฮ่าฮ่า? ผู้อาวุโสสีหน้าเย็นชาก่อนเดินออกมา พร้อมกุญแจรถมากมายในมือ
บอดี้การ์ดได้แต่มองกุญแจรถที่หายไป บอดี้การ์ดโกรธมากแต่ก็ไม่กล้าทำอะไร ความสามารถของผู้อาวุโส พวกเขารู้ดีกว่าแข็งแกร่งขนาดไหน ความสามารถของพวกเขาไม่อาจต่อกรได้เลย พวกเขาทำได้แค่กล้ำกลืนความอับอายครั้งนี้เอาไว้
ผู้อาวุโสกดกุญแจรถ รถเบนซ์สีดำที่อยู่ตรงกลางหนึ่งคันก็ส่งเสียงดังออกมา “นายท่าน คุณหนู พวกเราไปกันเถอะ!”
ฮวารุ่ยมองแผ่นหลังของพวกเขาทั้งสามคนด้วยสีหน้าเย็นชา สุนัขรับใช้ก็คือสุนัขรับใช้ กล้าเรียกไอ้หนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าว่า นายท่าน สมแล้วที่เป็นทาสรับใช้โดยกำเนิดจริง ๆ
“คุณรุ่ย ขอโทษครับ” บอดี้การ์ดโดนแย่งกุญแจรถได้แต่ก้มหน้าพร้อมความรู้สึกอับอายขายหน้า
“เพี๊ยะ!” ฮวารุ่ยใช้ฝ่ามือตบหน้าบอดี้การ์ด
“ไอ้คนไร้ประโยชน์!” หลังจากที่ด่าเสร็จฮวารุ่ยก็เดินขึ้นรถไป
……
ฉู่ชวิ๋นและฮวาชิงหวู่นั่งข้างหลัง ผู้อาวุโสเป็นคนขับรถ บรรยากาศภายในรถเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดจนวางตัวไม่ถูก ฉู่ชวิ๋นเงียบไม่พูดไม่จาอะไร ฮวาชิงหวู่เองก็อยู่ไม่เป็นสุข
“ขอโทษค่ะ” ฮวาชิงหวู่ก้มหน้าพูดเสียงเบา
หางคิ้วฉู่ชวิ๋นขยับเล็กน้อยและมองเธออย่างเรียบเฉยก่อนปริปากพูด
“เธอช่วยฉัน ฉันก็จะปกป้องเธอ แต่หวังว่าการโกหกหลอกลวงจะมีเพียงแค่ครั้งนี้แค่ครั้งเดียว อย่าให้มีครั้งต่อไปอีกเด็ดขาด!”
ร่างกายฮวาชิงหวู่สั่นเทา ฉู่ชวิ๋นรู้แล้วว่าครั้งนี้ไม่ได้มาแค่ช่วยแม่ของเธอเท่านั้น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถก็จอดลงหน้าประตูบ้านตระกูลฮวา เมื่อดับเครื่องรถแล้ว ทั้งสามคนก็ลงจากรถ
ผู้หญิงคนหนึ่งออกมายิ้มต้อนรับอย่างอ่อนโยน ผู้หญิงคนนี้รูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว ตรงหน้าผากคล้ายกับฮวาชิงหวู่แต่ริมฝีปากบางกว่า มุมปากมีไฝหนึ่งเม็ด แต่งหน้าอย่างหนา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เปิดเผยสัดส่วน บนร่างกายมีกลิ่นน้ำหอมที่แรงแตะจมูก
ฉู่ชวิ๋นแอบขมวดคิ้วในใจ
“อ้าว…น้องฮวาชิงหวู่ยังรู้จักทางกลับบ้านอยู่เหรอ? ฉันนึกว่าหายไปนานขนาดนี้จะลืมประตูทางเข้าบ้านแล้วซะอีก?” ผู้หญิงคนนี้พูดเสียงแหลมขึ้นมาจนรู้สึกแสบแก้วหู
แววตาฮวาชิงหวู่เต็มไปด้วยความรังเกียจและไม่ได้พูดอะไร ก่อนเดินอ้อมผู้หญิงคนนี้เข้าไป แต่ผู้หญิงคนนี้จงใจเดินเข้ามาขวางทางฮวาชิงหวู่ก่อนยิ้มเยาะ “ฮวาชิงหวู่ ฉันมายืนต้อนรับเธอหน้าประตูเลยนะ ทำไมเธอถึงทำท่าทางแบบนี้?”
“ฉันสนิทกับเธอหรือไง? ฉันไปขอให้เธอมายืนรอหน้าบ้านตอนไหน?”
ฮวาชิงหวู่พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ก่อนโบกมือไปมาแล้วพูดต่อ
“เธอถอยห่างจากฉันหน่อยได้ไหม? รู้หรือเปล่าว่ากลิ่นน้ำหอมคุณภาพต่ำของเธอมันแรงเตะจมูกมาก”
สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปและพูดเสียงแหลมว่า “อย่างเธอจะไปเข้าใจอะไร นี่เป็นน้ำหอม Dior ที่ฉันซื้อมาใหม่ ราคาเป็นแสนเลยนะ!”
ฮวาชิงหวู่หัวเราะอย่างเยือกเย็นและปริปากพูดอย่างเหยียดหยาม “งั้นเหรอ? งั้นฉันแนะนำให้เธอเอาน้ำหอมมาอาบเลยเถอะ ไม่อย่างงั้นจะดับกลิ่นเน่า ๆ บนร่างกายเธอไม่อยู่”
ผู้หญิงคนนี้โกรธฮวาชิงหวู่จนตัวสั่น
“แก…” ผู้หญิงคนนี้โกรธจัด จนชี้นิ้วไปยังฮวาชิงหวู่ก่อนพูดอย่างเหยียดหยามว่า “แกอย่ามาเสแสร้งแกล้งเป็นคนดีต่อหน้าฉัน ใครก็รู้ว่า 2-3 ปีที่แกออกไปอยู่ข้างนอกแกนอนกับผู้ชายไปแล้วกี่คน?”
“เพี๊ยะ!” ฮวาชิงหวู่ตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรง ผู้หญิงคนนั้นกุมแก้มตัวเองและจ้องมองฮวาชิงหวู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อย่าเอาเรื่องของตัวเองมาเปรียบเทียบกับคนอื่น กล้าพูดเรื่องไร้สาระที่ไม่เป็นความจริงก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ การตบครั้งนี้เป็นเพียงแค่การเตือน อย่ามาพูดจาไร้สาระอีกนะ!”
ผู้หญิงคนนี้พอได้สติก็ร้องเสียงแหลมขึ้นมาทันที
“แก…แกกล้าตบฉัน? แกคิดว่าแกเป็นใคร? คิดไม่ถึงเลยว่าแกจะกล้าตบฉัน? แกก็เหมือนกับแม่ของแก เป็นแค่สินค้าไร้ราคา”
พูดจบ เธอก็หันไปตะโกนใส่บอดี้การ์ดที่อยู่หน้าประตู “พวกแกไอ้พวกไร้ประโยชน์ยืนงงอะไรกันอยู่? สั่งสอนอีเด็กน่ารังเกียจคนนี้ให้ฉัน!”
บอดี้การ์ดทั้งสองที่ไม่ได้รู้จักฮวาชิงหวู่ หลังจากที่ได้ยินคำสั่งก็วิ่งมาทางฮวาชิงหวู่อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ปัง!” บอดี้การ์ดทั้งสองยังวิ่งเข้ามาไม่กี่ก้าวก็ถูกผู้อาวุโสโผเข้าใส่ก่อนปล่อยหมัดใส่ทั้งสองจนกระเด็นไปไกล
“ไสหัวไป!” พอเห็นว่ามีบอดี้การ์ดหลายคนวิ่งมาอีก สีหน้าของผู้อาวุโสก็ดุร้ายขึ้นมาก่อนจะตะโกนอย่างโมโห
ไม่ใช่ว่าบอดี้การ์ดทุกคนจะไม่รู้จักฮวาชิงหวู่ ยังมีบอดี้การ์ดหลายคนที่รู้จัก ฮวาชิงหวู่ พอพวกเขาได้ยินผู้อาวุโสตะโกนออกมาทุกคนก็หยุดนิ่ง
เมื่อหญิงสาวมองเห็นบอดี้การ์ดไม่กล้าลงมือต่อก็ยิ่งโมโหอย่างเดือดดาลและชี้ไปที่ผู้อาวุโสแล้วพูดว่า “แกก็แค่หมารับใช้ตัวหนึ่ง เป็นแค่คนรับใช้ที่ต่ำต้อย แกมีสิทธิ์อะไรมาห้ามพวกเขา?”
สีหน้าของผู้อาวุโสก็โกรธมากขึ้นกว่าเดิม
“เพี๊ยะ!” ฮวาชิงหวู่ใช้ฝ่ามือตบหน้าหญิงสาวอีกครั้งอย่างไม่ลังเล
“เธอลองพูดประโยคเมื่อกี้อีกสิ เชื่อไหมว่าฉันจะดึงลิ้นของเธอออกมา?” ฮวาชิงหวู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผู้อาวุโสดูแลเธอมาตลอดราวกับพ่อแท้ ๆ เธอไม่ยอมให้ใครมาดูถูกเขาเด็ดขาด
“แก…” หญิงสาวจะพูดออกมาแต่ก็เมื่อเห็นฮวาชิงหวู่ยกมือขึ้นมาจนเธอตกใจถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เธอไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา ทำได้แค่จ้องมองฮวาชิงหวู่ด้วยสายตาที่อำมหิต
ขณะนั้นเอง ขบวนรถฮวารุ่ยก็มาถึง “แกรอฉันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะทำให้แกต้องชดใช้”
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนได้เห็นผู้ช่วยชีวิตให้รอดพ้นภัย เธอรีบกุมหน้าตัวเองแล้ววิ่งออกไป
“ทำให้นายท่านเห็นเรื่องตลกเสียแล้ว” ผู้อาวุโสเดินเข้ามาและพูดกับฉู่ชวิ๋นด้วยความรู้สึกอับอายขายหน้า
แต่สีหน้าฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความสนใจ เมื่อเห็นขบวนรถที่ขับเข้ามาฉู่ชวิ๋นก็ยิ้มออกมาเบา ๆ แล้วพูดว่า “เป็นครอบครัวที่น่าสนใจดีนะ”
ฮวาชิงหวู่มึนงง หลังจากนั้นก็ฝืนหัวเราะออกมา แล้วพูดเบา ๆ “ใช่ น่าสนใจมากๆ”
“นายท่าน คุณหนู พวกเราเข้าไปข้างในก่อนเถอะ! ไม่อย่างงั้นก็จะมีเรื่องน่ารำคาญเกิดขึ้นอีก นายท่านผู้หญิงคนนั้นชื่อว่า ฮวาเหมียวเหมียว เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของฮวารุ่ย ยังไงก็ต้องมีเรื่องน่ารำคาญเกิดขึ้นอีกแน่ๆ” ผู้อาวุโสพูดเสียงต่ำ
“น่ารำคาญ? ยังตัดสินไม่ได้ว่าใครน่ารำคาญ ลองดูก่อนก็ได้” ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปาก
ฮวาชิงหวู่และผู้อาวุโสมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น? แต่ไม่นานพวกเขาได้ยินเพียงเสียงกรี๊ดแหลม ๆ ของฮวาเหมียวเหมียวดังขึ้นมา เสียงของเธอสามารถระเบิดแก้วหูของผู้คนได้จริง ๆ บอดี้การ์ดต่างตื่นตัวคิดว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น? พวกเขารีบวิ่งตามเสียงไปทันที แต่พอไปถึงพวกเขาก็ยื่นตัวแข็งทื่ออยู่ข้างรถของฮวารุ่ยและตกตะลึงจนตาค้าง
ฮวาชิงหวู่และผู้อาวุโสแอบมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? แต่ว่าพวกเขาได้ยินเสียงร้องไห้หลายเสียงดังมาจากในรถของฮวารุ่ยเบา ๆ
“พี่…” เวลาผ่านไปนานมากฮวาเหมียวเหมียวถึงได้สติพูดออกมา ก่อนจะหันหลังกุมใบหน้าตัวเอง ใบหน้าของเธอแดงก่ำไปทั้งหน้า
“ให้ผมไปดูเอง” ผู้อาวุโสเดินออกไป เมื่อผู้อาวุโสเห็นภาพที่เกิดขึ้นในรถ ผู้อาวุโสก็ตกตะลึงตาค้างเหมือนคนอื่น ๆ ลูกตาแทบจะถลนออกมาแล้ว
ในรถของฮวารุ่ยมีคนขับหนึ่งคนและบอดี้การ์ดสองคน ตอนนี้นอกจากคนขับรถแล้ว ร่างกายของบอดี้การ์ดทั้งสองก็เปลือยเปล่า มือทั้งสองข้างกุมแก้มนอนคว่ำหน้าอยู่หลังรถและร้องไห้โฮออกมา และร่างกายฮวารุ่ยก็เปลือยเปล่าเช่นกัน เปลือยกายล่อนจ้อน
ขณะเดียวกันใบหน้าก็กำลังโมโหจนหน้าดำหน้าแดง และใช้สองมือจับก้นของบอดี้การ์ดก่อนขยับร่างกายไปมา
“อ่า…..” ผู้อาวุโสรู้สึกสะอิดสะเอียนจนเกือบจะอ้วกออกมา ฮวาชิงหวู่เกิดสงสัยขึ้นมาและคิดที่จะไปดูแต่กลับถูกฉู่ชวิ๋นขัดขวางเอาไว้
“เธอไม่ต้องไปดูจะดีกว่า”
“ทำไมกัน?” ฮวาชิงหวู่ไม่เข้าใจ
ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย “เธอไม่รู้น่าจะดีกว่า”
“ทำไม? หรือว่าพวกเขากำลังมีอะไรกันในรถ?” พอได้ยินที่ฮวาชิงหวู่พูดออกมา ฉู่ชวิ๋นก็ตกใจ ครั้งนี้กลายเป็นเขาที่ตกใจ เป็นสาวเป็นนางทำไมพูดจา โผงผางแบบนี้
เมื่อมองเห็นสีหน้าท่าทางของฉู่ชวิ๋น ฮวาชิงหวู่ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันทีก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่น “อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องจริง? สถานการณ์ที่หาได้ยากขนาดนี้ ต้องไปถ่ายวิดีโอเก็บเอาไว้ เผื่อว่าภายหลังจะได้ใช้มันให้เกิดประโยชน์”
“ผู้อาวุโส รับไป” ฮวาชิงหวู่เอาโทรศัพท์ออกมาแล้วโยนไปให้ผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสก็รับโทรศัพท์มา มุมปากก็ยิ้มเบา ๆ หลังจากนั้นก็ใช้ความอดทนต่อภาพอันน่าสะอิดสะเอียนตรงหน้าก่อนจะเริ่มถ่ายวิดีโอเก็บเอาไว้ ใน ขณะเดียวกันนี้ รถเบนซ์สีดำก็ขับตรงเข้ามา ประตูรถด้านหลังถูกเปิดออก ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาลงมาจากรถ เขาเป็นชายอายุประมาณ 30 ปี ท่าทางฉลาดและมีวิสัยทัศน์
“พวกนายทำอะไรกัน?” ผู้ชายที่ลงมาจากรถเบนซ์สีดำถามขึ้นอย่างสงสัย
บอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งก็ตกใจจนได้สติและรีบทำความเคารพก่อนเปล่งเสียงพร้อมกัน “สวัสดีครับคุณชายเซิ่ง!”
ผู้ชายคนนั้นพยักหน้า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
บอดี้การ์ดทุกคนสีหน้าแปลกประหลาดไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ผู้ชายคนนั้นเดินไปดูสถานการณ์ในรถ เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าตอนแรกก็ตกใจก่อนจะโมโหขึ้นมา
“ฮวารุ่ย แกกำลังทำอะไร?” ฮวารุ่ยได้ยินก็หันไปมองเขา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ปากดูลามกและยิ้มก่อนส่งเสียงประหลาดออกมา หลังจากนั้นก็บรรเลงเพลงรักอีกครั้งกับบอดี้การ์ดในรถ
รอยยิ้มของฮวารุ่ยทำให้คุณชายเซิ่งขนลุกขนพอง สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดขึ้นไปอีก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” คุณชายเซิ่งถามบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้างด้วยความโมโห ทุกคนเงียบไม่พูดไม่จา ไม่มีใครตอบได้จริง ๆ แล้วพวกบอดี้การ์ดก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“พี่ใหญ่เป็นฝีมือฮวาชิงหวู่แน่ ๆ พี่รุ่ยไปรับเธอที่สนามบิน กลับมาก็กลายเป็นแบบนี้เลย”
ฮวาเหมียวเหมียวจ้องมองไปยังฮวาชิงหวู่ด้วยความโกรธแค้นและตะโกนเสียงดัง
คุณชายเซิ่งหันไปมองฮวาชิงหวู่ แววตาคุณชายเซิ่งเปล่งประกายความอำมหิตออกมาแวบหนึ่งก่อนจะหายไปราวกับพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้!