บทที่ 59 สัญญาคางคกน้ำแข็ง[รีไรท์]
พอคุณชายเซิ่งมองไปยังฮวาชิงหวู่ ผู้อาวุโสก็เก็บโทรศัพท์และเดินไปอยู่ข้าง ๆ ฮวาชิงหวู่ทันที ฉู่ชวิ๋นรู้สึกได้ชัดเจนว่า ร่างกายของฮวาชิงหวู่กำลังตึงเครียด ฉู่ชวิ๋นเริ่มรู้สึกสนุก เพราะฮวาชิงหวู่ไม่เคยแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา เธอกำลังกลัวคนที่ชื่อว่าคุณชายเซิ่ง
“น้องฮวาชิงหวู่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” คุณชายเซิ่งยิ้มมุมปากและถามขึ้น
“เมื่อกี้” ฮวาชิงหวู่เขยิบเข้าใกล้ฉู่ชวิ๋น ก่อนที่จะพูดอย่างใจเย็น
การกระทำของฮวาชิงหวู่ทำให้คุณชายเซิ่งหรี่ตาลงและมองฉู่ชวิ๋นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาค่อย ๆ เดินไปหาผู้อาวุโส
“ผู้อาวุโส ลำบากคุณแย่ที่ช่วยปกป้องน้องฮวาชิงหวู่มาตลอด”
“นี่เป็นหน้าที่ที่ผมควรจะทำ” ผู้อาวุโสตอบกลับอย่างง่าย ๆ
คุณชายเซิ่งไม่ได้สนใจและยิ้มอย่างใจเย็น “น้องฮวาชิงหวู่ พี่สามของเธอช่วงนี้ต้องเป็นโรคแปลกประหลาดแน่ ๆ ถึงได้ทำเรื่องแบบนี้ในรถ แต่ว่าไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้า ฉันเห็นผู้อาวุโสถ่ายคลิปเอาไว้เพราะงั้น ลบซะ! น้าหลาน กำลังรอเธออยู่ รีบเข้าไปดูอาการน้าหลานเถอะ!”
แววตาฮวาชิงหวู่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง คำพูดของผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยความเอาแต่ใจคิดใช้อำนาจคุกคาม แต่ว่าเธอก็ยังควบคุมตัวเองได้ดีเธอยิ้มแล้วพูด “พี่ใหญ่พูดก็ถูก ไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้า ท่าทางอุบาทว์ชาติชั่วของพี่สาม ถ้าหากว่าถูกคนนอกเห็นคงคิดว่าตระกูลฮวาของพวกเราเป็นพวกชั้นต่ำ ฉันจะลบคลิปวิดีโอนี้ทิ้งก็ได้”
ผู้อาวุโสเอาโทรศัพท์ออกมาให้เธอและเธอก็ใช้นิ้วกด ๆ สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างเจิดจ้าอีกครั้ง “ไม่สิให้พี่ใหญ่ลบเองดีกว่า ฉันจะไปหาแม่แล้ว” เธอพูดจบก็โยนโทรศัพท์ไปให้คุณชายเซิ่งทันที
คุณชายเซิ่งรับโทรศัพท์มาแล้วรีบลบคลิปวิดีโอที่อยู่ในโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้ามองฮวาชิงหวู่กับฉู่ชวิ๋นและผู้อาวุโสที่เดินเข้าประตูไป สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยว่าทำไมมันง่ายดายแบบนี้
ฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปาก เมื่อกี้โทรศัพท์ของเขาสั่น น่าจะเป็นฮวาชิงหวู่ที่ส่งคลิปวิดีโอมาให้เขา
ฉู่ชวิ๋นเดินตามเข้าไปในบ้านกับฮวาชิงหวู่ บ้านพักของตระกูลฮวามีทั้งหมด 10 หลัง คนที่พักอยู่ทั้งหมดเป็นสมาชิกตระกูลฮวา ทั้งสามคนมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านพักที่ล้าสมัยหลังหนึ่ง
ผู้ชายที่อายุราว ๆ 50 ปี ร่างกายสูงใหญ่ แต่สีหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านพัก
ฮวาชิงหวู่หยุดเดินและมองฉู่ชวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ หลังจากนั้นเธอก็ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
“คุกเข่า!” ผู้ชายคนนั้นใช้สายตาเย็นชามองฮวาชิงหวู่แล้วตวาดขึ้นมา
ฮวาชิงหวู่กัดริมปากและกำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น เธอกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่ข้อมือปูดออกมา
“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง?” สีหน้าของผู้ชายคนนั้นเคร่งขรึม
“ได้ยินแล้ว” ฮวาชิงหวู่กัดฟันพูดและเงยหน้ามองผู้ชายคนนั้น “แต่ฉันไม่รู้ว่าฉันทำผิดอะไร? ทำไมฉันต้องคุกเข่า?”
“ยัยเนรคุณ ฉันเป็นพ่อแกนะ ฉันอยากให้แกคุกเข่ายังต้องการเหตุผลอะไรอีกไหม?” ผู้ชายคนนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
ผู้ชายคนนี้ก็คือพ่อของฮวาชิงหวู่ ฮวาโม่เซี่ย
“พ่อ? คุณเคยเห็นฉันเป็นลูกด้วยเหรอ?” ฮวาชิงหวู่พูดด้วยความโศกเศร้า “ในสายตาของคุณ ฉันก็เป็นเพียงแค่หมากที่มีราคานิดหน่อยเท่านั้น?”
“ยัยสารเลว นี่คือท่าทีที่แกควรปฏิบัติต่อคนเป็นพ่อเหรอ?”
“งั้นคุณก็พูดมาสิว่า ฉันควรแสดงท่าทีกับคุณยังไง? ตั้งแต่เล็กจนโต คุณเคยมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มให้ฉันบ้างไหม? ฉันพยายามทุ่มเทอย่างสุดชีวิต เพียงเพื่อให้คุณได้รู้ว่าฉันไม่ได้แย่กว่าพี่ชายคนไหนแล้วคุณทำอะไรลงไป? เอากิจการที่ฉันสร้างมาอย่างยากลำบากมอบให้พี่ชาย เพราะอะไรกัน? เพราะว่าฉันเป็นผู้หญิงงั้นเหรอ? เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง คุณทำให้ฉันเป็นสินค้าส่งมอบให้บ้านตระกูลหยุน แล้วตอนนี้คุณยังเห็นฉันเป็นลูกอยู่อีกเหรอ?” ฮวาชิงหวู่ถามกลับอย่างเจ็บปวด น้ำตาไหลนองเต็มหน้า
“หุบปากของแกเดี๋ยวนี้!” ฮวาโม่เซี่ยอับอายจนพาลโกรธเอาดื้อ ๆ และพุ่งเข้ามาเตรียมจะตบหน้าฮวาชิงหวู่ ผู้อาวุโสวิ่งเข้ามาปกป้องฮวาชิงหวู่
“เพี๊ยะ!”
ผู้อาวุโสสูงกว่าฮวาชิงหวู่ ฝ่ามือนี้ก็เลยตบลงบนไหล่ของเขา ไหล่ของเขาแข็งแกร่งมากจนทำให้ฮวาโม่เซี่ยโซซัดโซเซถอยออกมา
“แก! ไอ้สุนัขรับใช้ แกกล้ามากนะ หลบไปให้พ้น!”
ฮวาโม่เซี่ยดุด่าและกระชากเนคไทของผู้อาวุโส เพื่อจะสะบัดให้หลีกทางไปอีกข้าง แต่ผู้อาวุโสไม่ขยับไปไหน ฮวาโม่เซี่ยลองหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ ฮวาโม่เซี่ยเลยเตะขาผู้อาวุโสอย่างต่อเนื่องด้วยความโกรธจนหมดแรงและเลิกไปเอง
“ฉันจะบอกแกให้นะ ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะได้กลับไปได้อีก ฉันได้บอกข่าวที่แกกลับมาให้ทางบ้านตระกูลหยุนรู้แล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะมารับตัวแกไป ฉันจะขอเตือนแกไว้เลยนะ ทางที่ดีแกควรทำตัวให้ดี ๆหน่อย แล้วอย่ามาโทษว่าฉันไม่ดูแลเอาใส่ใจแก ถ้าแกได้แต่งงานกับคนของบ้านตระกูลหยุนก็นับว่าเป็นสิริมงคลชั่วชีวิตแล้ว อย่ามาโลภมาก!”
ฮวาโม่เซี่ยตวาดเสร็จก็สะบัดแขนแล้วเดินจากไปอย่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ฮวาชิงหวู่พอได้ยินก็ร่างกายไร้เรี่ยวแรง เซไปเซมาเหมือนจะเป็นลม
“คุณหนู คุณหนูทำใจดี ๆ เอาไว้ มีนายท่านอยู่คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วง” ผู้อาวุโสพยุงฮวาชิงหวู่และพูดอย่างจริงใจ
นายท่าน?
ฮวาชิงหวู่เหมือนคนกำลังจมน้ำแล้วมีคนช่วยชีวิต เธอมองไปที่ฉู่ชวิ๋นอย่างอ้อนวอน เหมือนกับแมวน้อยที่ถูกเจ้าของทิ้งอย่างน่าสงสาร
ฉู่ชวิ๋นตบไหล่ของเธอเบา ๆ
“ทำตัวตามสบาย ไม่มีใครทำอะไรเธอได้ทั้งนั้น” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล ทำให้จิตใจของฮวาชิงหวู่รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
ฉู่ชวิ๋นไม่ถามเรื่องความสัมพันธ์พ่อลูกของเธอว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้? เพราะว่ามันไม่สำคัญ ฮวาชิงหวู่ช่วยเขา เขาก็จะปกป้องเธอ เรื่องความสัมพันธ์พ่อลูกไม่เกี่ยวกับเขา ถ้าเธอขอจะให้เขาฆ่าล้างตระกูลไปเลยก็ได้
“ขอบคุณค่ะ!” เมื่อฉู่ชวิ๋นพูดว่าเธอปลอดภัยแน่นอน เธอก็มีความมั่นใจมากขึ้น
“ไปดูแม่ของเธอก่อนเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างสบาย ๆ
ฮวาชิงหวู่เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าและเสแสร้งยิ้มออกมาอย่างเข้มแข็ง เธอไม่อยากให้แม่เห็นเธอต้องจนตรอกอยู่แบบนี้
ก่อนจะเปิดประตูบ้านพัก ความรู้สึกหนาวเย็นก็ลอยออกมา ฮวาชิงหวู่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น แม้แต่ผู้อาวุโสก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนไป ฉู่ชวิ๋นเองก็ขมวดคิ้วก่อนจะยกมือขึ้น ลมปราณอันมหาศาลก็พุ่งออกมา ชั่วพริบตาเดียวความหนาวเย็นที่อยู่ภายในก็สลายหายไป
ฮวาชิงหวู่รีบเปิดประตูและวิ่งเข้าข้างในด้วยความกระวนกระวายใจ
ฉู่ชวิ๋นและผู้อาวุโสก็ตามเข้าไปด้วยและมองดูการตกแต่งบ้านโดยรอบ มันดูล้าสมัยมาก ฮวาชิงหวู่วิ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ทั้งสองคนก็ตามขึ้นไป
ตอนนี้ฮวาชิงหวู่ยืนอยู่หน้าประตูห้องที่อยู่ด้านซ้ายมือและกำลังเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไร เธอจึงเปิดประตู
ความหนาวเย็นภายในห้องทิ่มแทงถึงกระดูก ภายในห้องมืดมาก ฮวาชิงหวู่เดินไปเปิดไฟด้วยร่างกายที่สั่นเทา
ฉู่ชวิ๋นมองไปก็เห็น ร่างของหญิงสาวที่มีใบหน้าซีดเซียวนอนแผ่อยู่ตรงกลางเตียง และกำลังทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้เธอดูแก่กว่าวัยตัวเองมาก
“แม่…..” ฮวาชิงหวู่โผเข้าไปหา พอเห็นแม่ที่กำลังป่วยด้วยโรคแปลกประหลาดอย่างทุกข์ทรมาน ฮวาชิงหวู่ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“คุณหนู รีบให้นายท่านดูอาการเร็ว” ผู้อาวุโสรีบพูด
ฮวาชิงหวู่หันกลับไปและพูดอย่างขอร้องภาวนา “นายท่าน ขอร้องคุณช่วยแม่ฉันด้วย ขอร้อง….”
ฉู่ชวิ๋นโบกมือห้ามไม่ให้เธอขอร้องต่อ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนแรกเขาคิดว่าแม่ของฮวาชิงหวู่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเฉย ๆ ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น เขาวางปลายนิ้วอยู่ตรงหว่างคิ้วของแม่ฮวาชิงหวู่ แล้วแทรกลมปราณเข้าไป
“หืม?” ฉู่ชวิ๋นเก็บมือ สีหน้าที่แสดงถึงแปลกใจ
นิ้วมือของเขากดลงหว่างคิ้วของผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ไม่นานฉู่ชวิ๋นก็เข้าใจ
“นายท่าน เป็นยังไงบ้าง?” สีหน้าของฮวาชิงหวู่เต็มไปด้วยความกังวลใจและถามอย่างกระวนกระวาย
“ไม่ต้องห่วง แม่เธอไม่เป็นไรมาก แค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างผ่อนคลายด้วยใบหน้ายิ้มจาง ๆ เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ เดิมทีเขานึกว่าพลังวิญญาณบนโลกแห้งเหือดไปหมดแล้ว แต่จริง ๆ แล้วกลับซ่อนพลังที่เขาคาดไม่ถึงไว้มากมาย น่าตกใจจริง ๆ
ฮวาชิงหวู่พอได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมา ฉู่ชวิ๋นพูดว่าเป็นเพียงแค่ปัญหาเล็ก ๆ งั้นเขาก็ต้องรักษาได้ ใบหน้าของผู้อาวุโสและฮวาชิงหวู่ปรากฏรอยยิ้มออกมา
ฉู่ชวิ๋นไตร่ตรองสักพักและตัดสินใจบอกฮวาชิงหวู่ในเรื่องที่เขารู้ เธอมีสิทธิ์ที่จะได้รู้ความจริง “โรคของแม่เธอไม่ใช่โรคแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเอง แต่โดนคนทำของใส่”
“โดนคนทำของใส่? ความหมายของนายท่านก็คือมีอยากฆ่าแม่ของฉัน?” ฮวาชิงหวู่เข้าใจความหมายที่ฉู่ชวิ๋นบอกทันที
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า “บนโลกนี้มีสิ่งของอยู่หนึ่งอย่าง ที่เรียกว่าคางคกน้ำแข็ง มันกินชีวิตคนเป็นอาหาร คางคกน้ำแข็งจะมีตัวผู้และตัวเมียอย่างละตัว แต่ในร่างกายของแม่เธอมีเพียงตัวเดียว”
ฮวาชิงหวู่และผู้อาวุโสเหมือนอยู่ในเมฆที่หาทางออกไม่เจอ คางคกน้ำแข็ง กัดกินชีวิตคนเป็นอาหาร สำหรับทั้งสองคนแล้วมันเหนือความเข้าใจของพวกเขาเหลือเกิน
ฉู่ชวิ๋นรู้ว่าทั้งสองคนไม่เข้าใจ ถ้ามีคางคกน้ำแข็งตัวเดียวมันคือ ความมืด แต่ถ้าหากมีสองตัวมันก็คือ แสงสว่าง มันเป็นสัตว์ที่หาได้ยาก มันสามารถช่วยฝึกตนให้แข็งแกร่งขึ้นได้ ฉู่ชวิ๋นตื่นเต้น ขอเพียงเขาได้มันมา เขาก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานลมปราณได้ซะที
“เอาแบบนี้ละกัน ตอนนี้เราต้องตามหาคางคกตัวผู้มาให้ได้ซะก่อน” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างสบาย ๆ
“แล้วต้องหายังไงคะ?” ฮวาชิงหวู่ถามอย่างกระวนกระวายใจ
“ฉันมีวิธี แต่ว่าต้องรอให้ถึงกลางคืนก่อน” ฉู่ชวิ๋นพูด
“นายท่าน ข้าน้อยขอถาม ถ้าหากว่าตามหาคางคกตัวผู้ไม่เจอจะเป็นยังไงครับ?” ผู้อาวุโสไตร่ตรองสักพักและถามออกมา
ฉู่ชวิ๋นมองไปยังผู้อาวุโสและพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าหากว่าหาไม่เจอละก็ แม่ของฮวาชิงหวู่ก็ทำได้แค่รอความตายเท่านั้น มีเพียงคางคกตัวผู้ที่จะดึงดูดคางคกตัวเมียออกมาได้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้คางคกตัวเมียแค่จำศีลอยู่ในร่างกายของแม่เธอเท่านั้น มันไม่ทำอันตรายต่อชีวิต แต่ถ้าหากคางคกตัวผู้ตายขึ้นมา คางคกตัวเมียก็จะตายเหมือนกัน ถึงตอนนั้นแม่ของเธอก็จะแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งและจะไม่มีใครช่วยแม่ของเธอได้อีกแล้ว”
สีหน้าฮวาชิงหวู่ขาวซีด ร่างกายสั่นเทา ผู้อาวุโสก็สีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนกัน เขาคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายมันจะร้ายแรงขนาดนี้
“แต่ไม่ต้องห่วง ในเมื่อเวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้วแม่ของเธอยังไม่ตายก็แสดงว่าอีกฝ่ายคงวางแผนอะไรเอาไว้”
ฮวาชิงหวู่ไม่ใช่คนโง่เธอก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่เธอยังคาดเดาไม่ออกว่า ฝ่ายตรงข้ามกำลังวางแผนอะไรเอาไว้กันแน่
……
ช่วงเวลากลางคืนก็มาถึง ฉู่ชวิ๋นสร้างค่ายกลป้องกันผู้บุกรุกภายในห้องนั้น และให้ฮวาชิงหวู่อยู่ดูแลแม่ที่นี่
ส่วนตนเองจะออกไปตามหาคางคกกับผู้อาวุโส ทั้งสองคนขับรถออกไปจากบ้านตระกูลฮวา
“นายท่าน พวกเราควรไปที่ไหนครับ?” ผู้อาวุโสถาม
“จิ่วโยว ต้องพึ่งพาเธอแล้ว!” เมื่อฉู่ชวิ๋นพูดจบ พญาอสรพิษก็เลื้อยมาอยู่บนไหล่ของฉู่ชวิ๋น หัวเล็ก ๆ ของเธอชี้ไปยังทางทิศตะวันออก เมื่อเห็นพญาอสรพิษ ผู้อาวุโสถึงกับตกใจกลัวจนตัวสั่น เจ้าพญาอสรพิษตัวน้อยนี้ น่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้ายเสียอีก
“ขับไปทางทิศตะวันออก” ฉู่ชวิ๋นพูด เพราะพญาอสรพิษเป็นสัตว์ร้ายระดับสูง พวกมันมีความรู้สึกที่ว่องไวและเฉียบแหลมโดยธรรมชาติ มันเลยรู้สึกได้ถึงตำแหน่งของคางคกตัวผู้ที่อยู่ใกล้ๆ
รถขับตรงไปยังทางทิศตะวันออก ประมาณครึ่งชั่วโมง หัวเล็ก ๆ ของพญาอสรพิษก็หันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ รถก็ขับไปตามที่พญาอสรพิษบอกใบ้
ผู้อาวุโสสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปยังบ้านที่อยู่ไม่ไกลและพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่น “นายท่าน ที่นี่คือเขตของบ้านตระกูลหยุนครับ”
“บ้านตระกูลหยุน?” ผ่านไปไม่นานฉู่ชวิ๋นก็พูดว่า “เป็นบ้านตระกูลหยุนที่อยากจะแต่งงานกับฮวาชิงหวู่สินะ?”
ผู้อาวุโสพยักหน้า “ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของบ้านตระกูลหยุนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ”
ทันใดนั้นพญาอสรพิษก็บอกใบ้ว่าให้รถมุ่งตรงผ่านไปผ่านมาทางทิศใต้
ผู้อาวุโสตกใจและมองไปยังฉู่ชวิ๋น ถ้าหากไปทางทิศใต้ก็จะเป็นการอ้อมผ่านบ้านตระกูลหยุนไป หรือว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ้านตระกูลหยุน?
“ไปตามทางที่จิ่วโยวบอก” ฉู่ชวิ๋นพูด
ผู้อาวุโสพยักหน้าและก็ขับรถไปตามทางที่พญาอสรพิษบอก ในใจเขารู้สึกสับสน ถ้าไม่ใช่บ้านตระกูลหยุนแล้วเป็นฝีมือใครกันแน่?