บทที่ 99 ค่ายกลสังหาร![รีไรท์]
เฉินฮั่นหลงไม่กล้าเพิกเฉยต่อคำขอของฉู่ชวิ๋นและรีบแจ้งคนอื่น ๆ ณ ตระกูลฉี ซูฟานและฉีหวงกำลังทานอาหารเช้า หลังจากได้รับโทรศัพท์ พวกเขาวางขนมปังไว้ในมือแล้วก็วิ่งออกไป
ฉีหวงรีบหยุดซูฟานและขอให้เขารอ จากนั้นจึงเอาเช็คไปส่งให้ซูฟาน
“2,400 ล้าน“ ฉีหวงเอ่ย
ต้องขอบคุณสถานะในตระกูลฉีของเขาที่สามารถคลี่คลายเรื่องลงได้ มิฉะนั้นตระกูลฉีจะตามหาฉู่ชวิ๋นเพื่อแก้แค้นแน่ แต่มันตลกเกินไปที่จะแก้แค้นขั้นปรมาจารย์ เหมือนไปตายมากกว่า
ซูฟานตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจะมอบมันให้ลูกพี่เอง”
“ซูฟาน ถ้าหากมีเวลา ฉันก็อยากไปพบคุณฉู่”
ซูฟานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันจะจัดการให้ ถ้าฉันมีโอกาส”
“ฉันไปก่อนละ ลูกพี่เรียกแล้ว ต้องมีอะไรดี ๆ แน่” ซูฟานกับฉีหวงแตะหมัดกัน แล้วหันหลังกลับ
ตระกูลไป๋ ไป๋เหรินเจี๋ยและไป๋เหรินฉง ก็ได้รับสายเช่นกัน ไป๋เจิ้งก่วงอี้ โม่ซิงเหอ ซุนหยิงและไท้ถาน ทุกคนรีบไปยังบ้านพักบนภูเขาเฉียนหลง
ฉู่ชวิ๋นได้เปิดแนวป้องกันภูเขาไว้แล้ว ชั่วโมงต่อมาทุกคนรวมตัวกัน นอกจากเฉินฮั่นหลง คนอื่น ๆ ก็มาที่บ้านพักของฉู่ชวิ๋นเป็นครั้งแรก พวกเขาต่างตกตะลึง เนื่องจากที่นี่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันเข้มข้น
“พ่อดูเหมือนว่าจะหนุ่มขึ้นเลย” เจิ้งกังอุทาน! พร้อมกับหน้าแข็งค้าง เจิ้งก่วงอี้ยังรู้สึกสบายทั่วร่างกายของเขา ราวกับว่าเขาอายุน้อยลงกว่าเดิมมาก
“ช่างเป็นจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้!” โม่ซิงเหอนั้นขั้นพลังสูงสุดในบรรดาทุกคนที่นี่และรับรู้ถึงจิตวิญญาณได้ดีกว่าทุกคน จิตวิญญาณที่นี่มันแข็งแกร่งจนน่าตกใจ เขารู้สึกถึงจิตวิญญาณในอากาศนั้นมีคุณภาพสูงสุด
คนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของพวกเขา มันเป็นเรื่องที่ดีมาก
“ไม่เสียแรงที่เป็นลูกพี่ของฉัน เป็นที่อยู่อาศัยที่ดีจนทำให้คนเกลียดเลยละ! ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้ คุณจะไม่ถูกปล้นเหรอ?” ซูฟานตะโกน
มีคนอื่นพูดไม่ออกไปสักพัก ปล้นฉู่ชวิ๋นชะตาชีวิตไอ้คนนั้นคงขาดตั้งแต่คิดแล้ว?
ฉู่ชวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้านายชอบ จะอยู่ที่นี่ก็ได้”
“ต้องอยู่แน่นอนอยู่แล้ว สถานที่ดีขนาดนี้ ถ้าผมอยู่ที่นี่ ภายใน 1 ปีผมทะลวงได้ 2 ระดับแน่ ๆ อาจจะพุ่งขึ้นไปอีกขั้นเลยก็ได้” ซูฟานตาเหล่และทำราวกับฝันไปว่า ตนเองได้เป็นปรมาจารย์ที่ไร้คู่ต่อสู้
“นายท่าน ทำไมถึงเรียกพวกเรามากะทันหันเหรอครับ?” เฉินฮั่นหลงถาม
ใบหน้าของเขาโศกเศร้า การตายของไป๋จิ้งมันหนักเกินไปสำหรับเขา ฉู่ชวิ๋นเดินไปที่โต๊ะหินข้าง ๆ เขาโบกมือและปรากฏหยกจำนวนเป็นโหล ๆ
ทุกคนตกใจ หลายสิ่งสามารถปรากฏได้ด้วยการโบกมือ?
“เจ๋งสุด ๆ คุณมีเวทมนตร์ด้วยเหรอ?” ซูฟานโห่ร้องเสียงดัง และเอื้อมมือไปหยิบจี้หยกแกะสลักรูปมังกรมาถือเล่นในมือ
ใบหน้าของเฉินฮั่นหลงหน้างอง้ำ เขาทนกับซูฟานไม่ได้อีกต่อไป ที่ไม่ให้ความเคารพฉู่ชวิ๋น เขาพูดด้วยความโกรธ “ซูฟานสำรวมหน่อย”
ซูฟานไม่ชอบเขาเหมือนกัน เขาส่ายหัวและพูดเสียงดัง “นี่ไอ้เฒ่า ทำไมคุณชอบมีปัญหากับผมจังเลย ผมละอยากต่อยคุณจริง ๆ”
ไอ้เฒ่างั้นเหรอ? เฉินฮั่นหลงโกรธมากแล้วจ้องตาซูฟาน เขาอยู่ในวัย 40 เศษ ๆ เท่านั้น หลังจากได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยจิตวิญญาณ เขาดูอายุอ่อนลงเกือบ 30 ปี เขาจะกลายเป็นคนแก่ไปได้ยังไง?
“หยุดทะเลาะกันสักที” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความโกรธ สองคนนี้นับวันยิ่งเหมือนไก่ชนเข้าไปทุกที ซูฟานโบกกำปั้นของเขาไปที่เฉินฮั่นหลงและเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และไม่สนใจเฉินฮั่นหลงอีกต่อไป
“ลูกพี่ คุณจะทำอะไรกับของพวกนี้” ซูฟานอยากรู้อยากเห็น
ฉู่ชวิ๋นหยิบป้ายหยกแกะสลักมังกรไว้ในมือแล้วพูดว่า “สิ่งเหล่านี้เรียกว่า ‘ค่ายกล’ และหยกแกะสลักมังกรนี้เรียกว่า ‘ค่ายกลสังหาร’
ด้วยสิ่งนั้นเขาหยิบแหวนหยกขึ้นมาแล้วพูดว่า “นี่คือค่ายกลป้องกัน”
[ค่ายกลสังหาร]
[ค่ายกลป้องกัน]
พวกเขาทั้งหมดตกอยู่ในความงงงวยไม่เข้าใจ
“ลูกพี่หมายความว่าจี้หยกแกะสลักมังกรนี้ สามารถสังหารผู้คนได้ และแหวนหยกนี้สามารถป้องกันได้?” ซูฟานเกาหัวและถามอย่างไม่แน่ใจนัก
“ใช่ เมื่อมีการใช้ค่ายกลสังหาร นายจะสามารถฆ่าขั้นปรมาจารย์ระดับ 1 ได้ เมื่อค่ายกลป้องกันถูกเปิดออก มันสามารถต้านทานการโจมตีของขั้นปรมาจารย์ระดับ 1 ได้” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
ดวงตาของซูฟานและโม่ซิงเหอจ้องมองสบตากัน แต่ละคนมองด้วยความตกใจ คนอื่นที่ไม่ได้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ย่อมไม่เข้าใจว่าขั้นปรมาจารย์คือตัวแทนอะไร แต่พวกเขารู้ พวกเขาตกใจมากที่มันสามารถฆ่าและหยุดขั้นปรมาจารย์ได้
“ผมเอาอันนี้….อันนี้….” ซูฟานคว้าจี้หยกแกะสลักมังกรและแหวนหยก จากนั้นจ้องมองสิ่งอื่น ๆ บนโต๊ะหินด้วยดวงตาที่สดใส
“นี่คือของผม….นี่เป็นของผม….” ซูฟานเริ่มฉกฉวยของบนโต๊ะโดยจะเอาไปทุกอย่าง
ดวงตาของโม่ซิงเหอนั้นร้อนแรง เขาต้องการฉกฉวยเช่นกัน แต่ในที่สุดเขาก็อดทนได้
“คนโลภ ทำตัวเหมือนไม่เคยเจอโลกภายนอก น่าขายหน้าจริง ๆ” ในที่สุดเฉินฮั่นหลงก็คว้าโอกาสและพูดเหน็บแนม
“นายจะไปเข้าใจอะไร!” ซูฟานไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
ครู่หนึ่งผ่านไป ซูฟานถือสร้อยข้อมือ ไม้บรรทัดหยก และผลิตภัณฑ์หยกอื่น ๆ ในอ้อมแขนของเขา โต๊ะหินว่างเปล่า เฉินฮั่นหลงรู้สึกอึดอัดใจ เขาก้าวไปข้างหน้าและเตะก้นของซูฟาน
ซูฟานไม่คาดคิดว่าเฉินฮั่นหลงจะโจมตีเขาเลย เขาถูกเตะและเครื่องประดับหยกต่าง ๆ ปลิวออกจากอ้อมแขนของเขา เฉินฮั่นหลงเตรียมพร้อม เขารู้ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะซูฟานได้และพร้อมที่จะวิ่งหนี
แต่ซูฟานไม่สนใจเขาเลย เขาเลือกที่จะตามเก็บสิ่งของที่ตกลงบนพื้นอย่างสะอาดเอี่ยม เฉินฮั่นหลงอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ เด็กคนนี้กินยาผิดมาหรือเปล่า?
ซูฟานรีบหยิบมันขึ้นมาและถือมันไว้ในอ้อมแขนของเขา พลางมองไปที่เฉินฮั่นหลงที่หนีไปด้านข้าง และพูดว่า “ไอ้เฒ่า คุณเตะผม ผมจดจำไว้แล้ว”
ความตื่นตัวของเฉินฮั่นหลงเกี่ยวกับความสำเร็จของการลอบโจมตีหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาหวังว่าเขาจะสามารถเตะเด็กเวรให้ตายคาเท้า
ส่วนคนอื่นพูดไม่ออกไปสักพัก ฉู่ชวิ๋นหมดคำพูด มองไปที่ซูฟานแล้วพูดว่า “นายใช้มันเป็นเหรอ แย่งไปเยอะขนาดนั้น?”
เอ่อ!
ดวงตาของซูฟานโง่งม เกาหัวของเขาและพูดว่า “ลูกพี่ บอกเร็วๆ หน่อยได้ไหม ว่ามันใช้งานได้ยังไง”
“โยนมันออกมาและเอ่ยคำสั่ง!” ฉู่ชวิ๋นสอนการใช้ค่ายกล
“ผมขอลองก่อน” ซูฟานหยิบป้ายหยกแกะสลักมังกรขึ้นมาอย่างตื่นเต้น และมองดูที่เฉินฮั่นหลงด้วยความคิดที่ไม่ดี
เฉินฮั่นหลงเตรียมวิ่ง
ฟรึบ!
ป้ายหยกแกะสลักมังกรถูกโยนออกมาและตกลงที่เท้าของเฉินฮั่นหลง และซูฟานเอ่ยคำสั่งออกมาอย่างรวดเร็ว
สวบ!
แสงสีขาวจำนวนมากระเบิดออกมา ทุกคนมองดูที่เฉินฮั่นหลงราวกับว่าเขาถูกคลุมด้วยแก้วขนาดใหญ่
“เจ้านาย นี่คือหนีไม่พ้นในตำนานใช่ไหม?” ซูฟานหัวเราะเยาะเย้ยและในขณะเดียวกันก็สัมผัสกับค่ายกลอย่างสงสัย แต่ทันใดนั้นแสงก็สว่างขึ้น มันผลักดันไม่ให้เขาเข้าใกล้ ยิ่งต้องการเข้าใกล้มากเท่าใดก็จะยิ่งมีการต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น
ซูฟานออกแรงอย่างเต็มกำลัง เขาต้องการทดสอบว่าค่ายกลแข็งแกร่งหรือไม่ เป็นผลทำให้เขาเหมือนถูกเขย่ากลายเป็นน้ำเต้าไปเลย
เฉินฮั่นหลงเดิมทีความไม่พอใจที่ถูกซูฟานล้อว่าเป็นผู้ที่หนีไม่พ้นตำนานอยู่ในแก้วขนาดใหญ่ เมื่อเห็นอย่างนี้เขาก็ตกใจในตอนแรก และจากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะและเย้ยหยัน
คนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจและเปล่งเสียงหัวเราะ
ซูฟานล้มลงและลุกขึ้นพร้อมส่ายหัว เขาพูดด้วยความโกรธ “หัวเราะบ้าอะไร แน่จริงพวกนายมาลองดูดิ”
คนอื่น ๆ ส่ายหัว แต่พวกเขาเปล่งเสียงหัวเราะต่อ
“ฉันจะลองดูเอง” โม่ซิงเหอกล่าว เขาถ่ายเทลมปราณไปที่กำปั้นข้างขวา และ ปล่อยมันออกไป
ปัง!
กำปั้นกระทบกับค่ายกลและรังสีของแสงนับไม่ถ้วนไหลออกมา และพลังของการป้องกันราวกับแผ่นดินไหวก็ระเบิดออกมา
หน้าของโม่ซิงเหอเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาลดกำลังของเขาอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังคงถอยกลับไปหลายก้าว ดวงตาของเขาหวาดกลัว
ดวงตาของทุกคนแทบจะถลนออกมา ซูฟานและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจ แต่พวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของโม่ซิงเหอ แม้แต่เขาก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ ค่ายกลสังหาร และค่ายกลป้องกัน นี้เปรียบได้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าป้ายหยกช่วยชีวิต
หยกป้องกันสามารถป้องกันตัวเองได้เท่านั้น และไม่สามารถใช้งานได้นาน แต่ว่าพื้นที่ด้านในของค่ายกลนี้สามารถจุคนได้หลายสิบคนและการป้องกันของมันนั้นแข็งแกร่งกว่าหยกป้องกันซะอีก
เกือบจะในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็เป็นสีแดงและพวกเขาจ้องมองไปที่ซูฟาน
ซูฟานถูกดวงตาราวกับหมาป่าจ้องมองหลายคู่และน่ากลัวจนขนลุก เขาถือค่ายกลสังหาร และยืนขู่ว่า “อย่าเข้ามา ใครอยากเป็นหนูทดลองพลังของค่ายกลสังหารนี้ก็มา”
ขู่ขวัญโดยแท้!
มันเป็นการฆ่า เพียงแค่ได้ยินชื่อก็ขู่ขวัญได้ นอกจากนี้ยังเป็นวิธีการของฉู่ชวิ๋น ไม่มีใครกล้าไม่เชื่อ
สวบ!
โม่ซิงเหอเคลื่อนไหว ระดับพลังของเขาไม่ธรรมดา เขามีความเร็วราวกับสายฟ้า และเขาคว้าหยกในมือของซูฟาน
ซูฟานเหมือนกระต่ายที่ตื่นกลัว โม่ซิงเหอเร็วมาก เขากำหยกในมือของเขาโดยไม่รู้ตัว เมฆแห่งแสงสีขาวพุ่งออกมาเปิดออก
ซูฟานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข มันน่าทึ่ง ดูเหมือนว่ามันมีการทำงานในการปิดกั้น มันหมายถึงหากมีคนคิดจะลอบโจมตี โม่ซิงเหอติดกับดักอยู่ที่ค่ายกล
“ไอ้เฒ่า เอาสิ มาขโมยสิ โดนกักขังไว้แล้วไง? สมน้ำหน้า“ ซูฟานยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
แต่โม่ซิงเหอกลับหูหนวกเขาจ้องมองท้องฟ้าอย่างตัวสั่น ที่เท้าของเขามีหญ้ารกขึ้นสูง และคนรอบข้างก็ตายกันไปหมด เปล่าเปลี่ยวและอ้างว้างไม่มีลมหายใจของสิ่งมีชีวิตใด ๆ เลย
ความรู้สึกเศร้าลึก ๆ เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับว่าเขาเป็นคนเดียวในโลกและเขาอยากตาย
หึ่ง ๆ!
เขาได้ยินเสียงกระบี่ดังขึ้นกลางอากาศ กระบี่คมหลายสิบอันออกมาจากฝักของมัน ความหนาวเหน็บกระจายไปทั่วอากาศรอบข้างและโฉบลงมาหาเขาผ่านอากาศ โม่ซิงเหอยิ้มที่มุมปากของเขาและในที่สุดก็เป็นอิสระ
เชือด!
มีกระบี่คมเฉือนไปที่ไหล่ของเขาและเกิดเป็นละอองเลือด โม่ซิงเหอคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน เขามองดูกระบี่เล่มอื่น ๆ ที่หมายจะแทงเขา มีอยู่หนึ่งเล่มที่พุ่งมาตรงหัวใจของเขา
ไหล่ของโม่ซิงเหอระเบิดเลือดไหลเป็นสาย ผู้คนข้างนอกก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
พวกเขามองไม่เห็นดาบคม ๆ แต่พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความโศกเศร้าของโม่ซิงเหอ มันเหมือนความตาย โดยเฉพาะเลือดบนไหล่ของเขาที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ฉู่ชวิ๋นพุ่งไปข้างหน้ายกมือขึ้นแล้วกับดักค่ายกลที่เล่นงานโม่ซิงเหอก็หายไปในทันที ทันใดนั้นร่างของโม่ซิงเหอก็สั่นไหวราวกับว่าคนตาบอดที่กลับมามองเห็นได้
ทันใดนั้น ทั้งร่างก็แข็งเกร็ง
ดาบที่อยู่ตรงหน้าเขาหายไป จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งในอากาศทำให้เขาตื่นขึ้นมาในทันที หรือความเจ็บปวดบนไหล่ของเขาทำให้เขาตื่นกันแน่?
เขามองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล ร่างกายของโม่ซิงเหอโคลงเคลง และร่างของขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ 9 ก็ล้มลง
ใบหน้าของเขาหวาดกลัว และดูเหมือนว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาหายไปด้วย เมื่อเห็นสภาพโม่ซิงเหอแล้วเขาดูน่าสังเวชใจ ทุกคนรู้สึกหนาวเหน็บ เขาพบเจอกับอะไรมา?
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกเกือบฆ่าโม่ซิงเหอแล้วรู้ตัวไหม!?” เฉินฮั่นหลงดุด่าอย่างเกรี้ยวกราด
ซูฟานหวาดกลัวและเขาก็ไม่ได้สนใจของที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา แล้วเขาก็รีบวิ่งไปคุกเข่าข้าง ๆ โม่ซิงเหอ และพูดขอโทษ “โม่ซิงเหอ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
ใบหน้าของโม่ซิงเหอซีดเผือด ตอนนี้เขายังคงหวาดกลัว เขาตบไปที่ไหล่ของซูฟานแล้วพูดว่า “อย่าใช้สิ่งนี้อีกเด็ดขาด!”