ร่วมเดินทาง
เด็กหนุ่มไม่รู้สึกแปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย จึงเริ่มพูดจ้อล่อลวงอีฝ่าย “ข้ารู้ว่าท่านอาจารย์ผู้อาวุโสอย่างเจ้าคงไม่วางใจ คิดว่าข้าเป็นพวกจิตใจต่ำช้าเจตนาชั่วร้าย แต่เจ้าสามารถสังเกตการณ์ข้าก่อนสักช่วงเวลาหนึ่งแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาหรือไม่ ข้าชุยตงซานน่ะ ตอนนี้ตบะยังไม่สูง แต่มีประสบการณ์โชกโชน ความรู้ก็กว้างขวาง สำหรับขนบธรรมเนียมความนิยมของชาวต้าสุยก็ยิ่งเข้าใจกระจ่างแจ้งดุจฝ่ามือของตัวเอง เดินทางไปต้าสุยในครั้งนี้ มีข้ากับไม่มีข้าอยู่ด้วยคือความแตกต่างหนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือเหว”
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงยังคงไม่สะทกสะเทือน ชุยฉานก็ไม่ย่อท้อ พูดต่อเป็นน้ำไหลไฟดับ “อีกอย่างการมากราบอาจารย์ขอความรู้ของข้าในครั้งนี้ไม่ได้มามือเปล่า แต่เอาของขวัญกราบอาจารย์ชิ้นใหญ่มาด้วย ยกตัวอย่างเช่น ‘ภาพภูตประหลาดประทานบุญ’ ที่นักพรตห้าขอบเขตกลางซึ่งเดินทางท่องไปทั่วหล้าต้องมีในครอบครองกันแทบทุกคน และเล่มที่อยู่ในมือข้าก็ยิ่งล้ำค่าหายาก เพราะสามารถฟูมฟักภูตห้าหกชนิดได้เองตามธรรมชาติ”
เด็กหนุ่มแบนิ้วแล้วไล่นับ “นอกจากนี้ยังมีสี่สมบัติในห้องหนังสืออีกชุดหนึ่ง พู่กันคือพู่กันด้ามม่วงที่ซ่อนปลากินหมึกตัวหนึ่งเอาไว้ ใช้เขียนตัวอักษรก็ดี ใช้วาดภาพก็เยี่ยม ใช้เสร็จก็ไม่จำเป็นต้องล้างทำความสะอาด ปลาน้อยตัวนั้นจะช่วยกินหมึกจนสะอาดเกลี้ยงเกลา เป็นไง มหัศจรรย์มากเลยใช่ไหมล่ะ? นับว่าเป็นของประดับชั้นเยี่ยมของปัญญาชนเลยใช่ไหมล่ะ?”
“หมึกคือหมึกลมป่าสนสามแท่ง ใช้ปลายนิ้วดีดเบาๆ ก็จะเกิดเสียงลมที่พัดผ่านป่าสนดังเสนาะหู เมื่อเขียนออกมาเป็นตัวอักษร ต่อให้หมึกจะจางลงมากแล้ว กลิ่นหอมของหมึกก็ยังคงอวลค้างอยู่นานหลายปี แท่นฝนหมึกคือแท่นฝนหมึกโบราณที่หลวงจีนเฒ่าไร้นามผู้หนึ่งของทวีปอื่นทิ้งเอาไว้ มีชื่อว่า ‘บ่อไว้ชีวิต’ มีความลี้ลับสูงมาก เจ้าไม่อยากได้หรือ?”
“กระดาษนั้นคือกระดาษหินทอง เวลาที่ฮ่องเต้ของแคว้นหนึ่งคิดจะแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำภูเขาและแม่น้ำก็ยังหวังว่าจะได้ใช้กระดาษประเภทนี้เพราะจะได้ดูเป็นทางการน่าเลื่อมใส”
เด็กหนุ่มพูดมาถึงตรงนี้ก็สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “สมบัติก้นกรุที่สำคัญที่สุดๆๆๆ ก็คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่ใกล้ตายเต็มที! รูปร่างของมันงดงามอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังคมกริบ ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดก็คือไม่ต้องหล่อหลอมปราณกระบี่ บุกเบิกปณิธานแห่งกระบี่ให้กับมันในทีหลัง เอาออกมาก็แทบจะใช้ได้ทันที ตอนนั้นข้าโชคดีได้มาครอบครองก็เก็บรักษาเป็นอย่างดีมาหลายปี แล้วก็ไม่เคยเอามามันชุบหลอม ใช่ว่าจะไม่ให้ความสำคัญ แต่เป็นเพราะข้าไม่ใช่คนที่เดินบนเส้นทางของผู้ฝึกกระบี่ กลัวว่าจะเป็นการเหยียบย่ำสมบัติล้ำค่าแห่งสวรรค์…”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด เสียงของชุยฉานที่เดิมทีตื่นเต้นกระตือรือร้นกลับแผ่วลงเรื่อยๆ เพราะเขาค้นพบว่ายิ่งตัวเองร่ายถึงของขวัญกราบอาจารย์มากเท่าไหร่ แววปฏิเสธในดวงตาของเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงก็ยิ่งเด็ดเดี่ยวมากเท่านั้น
ใบหน้าของเด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้มีไฝสีชาดกลางหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง กุมสองมือไว้ตรงหน้าอก ถามหยั่งเชิงอย่างน่าสงสาร “ไม่ได้จริงๆ หรือ? ข้าต้องการกราบเจ้าเป็นอาจารย์ด้วยความจริงใจ หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าสาบานก็ได้ หากข้าคิดร้ายกับเจ้าเฉินผิงอันแม้แต่นิดเดียวก็ขอให้ถูกฟ้าผ่าตาย!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า กล่าวอย่างเฉียบขาด “ไม่ได้!”
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ในเมืองเล็กคือที่ร้านตีเหล็กของช่างหร่วน เข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กรับใช้ที่ร่วมเรียนหนังสือของใต้เท้านายอำเภอ ครั้งที่สองเด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า “อาจารย์อาชุยฉาน” เป็นฝ่ายเข้ามาพูดคุยตีสนิทกับเขาที่ซุ้มประตูหิน เล่าเรื่องประหลาดมากมายให้เฉินผิงอันฟัง จากนั้นก็เดินตามเฉินผิงอันไปที่ตรอกหนีผิง แถมยังขโมยกลอนคู่หน้าประตูบ้านของซ่งจี๋ซินไปด้วย
แม้เฉินผิงอันจะไม่เคยสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอย่างไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองจากร่างของเด็กหนุ่ม แต่เฉินผิงอันไม่มีทางเชื่อใจคนผู้นี้แน่นอน หวังแค่ว่าจะให้ความเคารพอยู่ไกลๆ ไหนเลยจะคิดว่าขณะที่ใกล้จะเดินทางไปถึงชายแดนต้าหลี เด็กหนุ่มกลับหน้าหนาตามมาตอแย เฉินผิงอันไม่ใช่คนโง่ พังพอนอวยพรปีใหม่ไก่ จะยังหวังดีได้หรือ?
ชุยฉานปรายตามองไปยังมวยผมของเด็กหนุ่มอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต พบว่าปิ่นหยกชิ้นนั้นหายไปแล้ว
ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ ตาเฒ่าจะช่วยตนปูพื้นฐานไว้ก่อนสักเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่เปิดเผยสถานะราชครูต้าหลีของตน ยิ่งไม่แฉเรื่องที่ตนวางแผนเล่นงานเฉินผิงอันและฉีจิ้งชุน ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดตาเฒ่าถึงยอมปล่อยตนไปอย่างใจกว้างเช่นนี้ ถึงขั้นที่ว่าทำไมถึงเดินออกมาจากสวนป่ากงเต๋อในช่วงเวลาที่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว ชุยฉานก็คร้านจะวิเคราะห์อนุมาน แข่งเรื่องแบบนี้กับอริยะที่แท้จริง เป็นการกระทำที่ไม่ประมาณตนเกินไป โดยเฉพาะในเวลานี้ที่จิตแยกออกจากกัน ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือพลังจิตของชุยฉานล้วนเทียบไม่ได้กับในอดีต เกรงว่าหากตนอนุมานไปได้ถึงจุดที่ลึกซึ้ง จนไปแตะต้องรากฐานแห่งกฎเกณฑ์ที่ตาเฒ่าตั้งไว้โดยไม่ทันระวัง ก็อาจทำให้ตนเปลี่ยนจากแต่เดิมที่ได้เป็นเจ้าของเรือนกายนี้กลายเป็นคนปัญญาอ่อนอย่างสิ้นเชิง
ชุยฉานเอ่ยถาม “เฉินผิงอัน ตอนที่พวกเจ้าอยู่จุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ไม่ได้เจอกับซิ่วไฉเฒ่ายากจนคนหนึ่งหรอกหรือ? เขาไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังถึงต้นสายปลายเหตุคร่าวๆ หรือไร?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว
ชุยฉานมองประเมินเฉินผิงอันอย่างละเอียด รู้สึกว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้าดูไม่เหมือนคนเสแสร้ง “ก็ได้ ข้าคงได้แต่ใช้ท่าไม้ตายแล้ว แต่บอกไว้ก่อนนะว่า เฉินผิงอัน ข้าตั้งใจกราบไหว้เจ้าเป็นอาจารย์ขนาดนี้ แต่เจ้ากลับปฏิเสธไม่ยอมรับ ถ้าอย่างนั้นพิธีกราบไหว้อาจารย์ของข้าหลังจากนี้ก็จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้าอีกหนึ่งครั้ง!”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็ทำท่าจะหมุนตัวเดินหนี ชุยฉานรีบควักหมากสีดำเม็ดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วโยนสูงไปยังข้างทางที่ไม่มีคนยืนอยู่ “นี่คือข่าวที่หยางเหล่าโถวนำมามอบให้เจ้า เมื่อบีบมันแตกแล้ว เจ้าก็จะรู้ที่มาที่ไปของเรื่องในครั้งนี้ จากนั้นเจ้าก็ช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า บอกกับเฉินผิงอันว่าข้ากราบเขาเป็นอาจารย์โดยไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝง แค่อยากจะสร้างความสัมพันธ์ฉันท์อาจารย์และศิษย์กับเขาเท่านั้น”
เทพหยินไม่ได้เผยร่างที่แท้จริง หมากสีดำที่สามารถเก็บเสียงพูดไว้ได้ระเบิดแตกกลางอากาศ พริบตาเดียวก็กระจายกลายเป็นฝุ่นควัน
เพียงไม่นานหลินโส่วอีที่มีสีหน้าประหลาดก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วกระซิบเสียงเบา “ผู้อาวุโสเทพหยินบอกว่าหยางเหล่าโถวแห่งร้านยาตระกูลหยางต้องการให้เจ้าเชื่อว่าเจ้าคนที่ชื่อชุยตงซานผู้นี้ไม่มีทางคิดร้าย ระหว่างที่เดินทางไปยังสำนักศึกษาต้าสุยก็สามารถใช้เขาเป็นวัวเป็นม้าได้ตามสบาย ลูกศิษย์แบบนี้ไม่รับไว้ก็เสียเปล่า ไม่ใช้งานย่อมเสียเปรียบ ยังบอกด้วยว่าหลังจากนี้คนผู้นี้จะร่วมมีเกียรติยศและความอัปยศไปพร้อมกับเจ้า ความเป็นความตายเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ไม่กล้าคิดไม่ซื่อต่อเจ้า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แล้วพวกเขาล่ะ?”
ชุยฉานคลี่ยิ้มกว้าง “พวกเขาน่ะหรือ เจ้าคนโง่ตัวใหญ่นั่นชื่ออวี๋ลู่ ลู่ที่แปลว่าร่ำรวยเงินทอง ผู้หญิงตัวดำนั่นชื่อเซี่ยเซี่ย แซ่เซี่ยชื่อเซี่ย ก็ไม่รู้ว่าใครตั้งชื่อนี้ให้นาง สิ้นคิดจริง””
จากนั้นชุยฉานก็ทำหน้าเศร้าที่ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ไม่คิดจะเชื่อ แล้วถอนหายใจ “ทั้งสองคนต่างก็เป็นนักโทษลี้ภัยของราชวงศ์สกุลหลู ชาติกำเนิดน่าสงสารอย่างมาก ก่อนหน้านี้เซี่ยเซี่ยเคยไปขอเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาซานหยามาได้ช่วงเวลาหนึ่ง อวี๋ลู่โชคร้ายกว่านิดหน่อย จากบ้านเกิดมาได้มานาน ต้าหลีของพวกเราก็ทำสงครามครั้งใหญ่ คนทั้งสองจึงได้แต่หาทางกลับบ้านเกิด ทว่าตอนนี้แคว้นของพวกเขาล่มสลายแล้ว สถานะนักเรียนของสำนักศึกษาจึงกลายมาเป็นยันต์คุ้มกันกายของพวกเขา หากข้าไม่พาพวกเขาออกมา วันหน้าต้องตายอยู่ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของอำเภอหลงเฉวียนพวกเจ้าแน่ หากไม่ถูกเทพเซียนบนภูเขาบางคนฆ่าตายเพราะเกลียดขี้หน้า ก็คงต้องนอนกลางดินกินกลางทรายทุกวันจนกระทั่งเรี่ยวแรงหดหาย อายุไม่ถึงสามสิบปีก็เหนื่อยตายไปเสียก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงซาบซึ้งน้ำใจ ดึงดันจะเรียกข้าว่าคุณชายให้ได้ ไม่ว่าข้าจะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง เฮ้อ”
คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวผิวดำจะยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ในเมื่อคำเรียกขานของพวกเราทำให้คุณชายหนักใจ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าไม่เรียกเจ้าว่าคุณชายแล้วก็ได้”
ยังดีที่อวี๋ลู่ไม่ได้ซ้ำเติม ยังยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าเรียกว่าคุณชายต่อไปดีกว่า ชินซะแล้ว”
ชุยฉานหันกลับไปหัวเราะให้ “แม่นางเซี่ยเซี่ย ข้าต้องขอบคุณเจ้านะเนี่ย”
หลินโส่วอีหยุดไปชั่วครู่ก็คล้ายจะได้รับอุบายแยบยลในถุงไหม (เปรียบเปรยว่าเป็นวิธีการที่สามารถแก้ไขเหตุการณ์คับขันได้ทันกาล) ที่เทพหยินแอบถ่ายทอดมาให้ จึงกล่าวเบาๆ ว่า “หยางเหล่าโถวบอกว่าทางที่ดีที่สุดควรรับคนทั้งสองนี้ไว้ มีแต่จะส่งผลดีไม่มีผลร้ายต่อพวกเรา หากไม่ชอบคนแซ่ชุยจริงๆ วันหน้าก็สามารถเอามาใช้เป็นตัวตายตัวแทนได้ ไม่ว่าจะเจอกับหายนะภัยพิบัติอะไรก็ให้เขาออกหน้าไปรับแทน บนร่างของเขามีวัตถุที่เป็นดั่ง ‘หัวใจ’ ชิ้นหนึ่งซ่อนอยู่ รากฐานหนาลึก ทนรับการถูกทำลายได้ไหว”
ชุยฉานที่เงี่ยหูแอบฟังมาตลอดพลันหน้าเปลี่ยนสี กระทืบเท้าแผดเสียงด่า “หยางเหล่าโถว เจ้ามันไอ้เต่าเฒ่า มีใครขุดหลุมฝังคนอื่นแบบเจ้าบ้าง?!”
เฉินผิงอันหัวเราะถามเสียงเบา “หากรับสองคนนี้ไว้ วันหน้าก็ถือเป็นเพื่อนร่วมชั้นของพวกเจ้าแล้วใช่ไหม?”
หลินโส่วอียิ้มเจื่อน “คงใช่กระมัง อันที่จริงข้ากับหลี่เป่าผิงต่างก็ไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริงของสำนัก ตอนนั้นที่ผู้เฒ่าหม่าพาพวกเราออกไปจากเมืองเล็กก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้”
หลี่ไหวแอบมองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ชื่อว่าอวี๋ลู่ผู้นั้นตลอดเวลา รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่าย ต้องพูดง่ายกว่าหลี่เป่าผิงที่นิสัยฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด รวมไปถึงหลินโส่วอันที่เย็นชาแน่นอน อวี๋ลู่แบกสัมภาระหนักอึ้ง พอสังเกตเห็นสายตาของหลี่ไหว องค์รัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลูผู้นี้ก็คลี่ยิ้มผงกศีรษะทักทาย
แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสะพายหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กกลับคอยเหลือบมองเด็กสาวร่างสูงโปร่งผู้นั้นอยู่เป็นระยะ มองประสานสายตากันครั้งแล้วครั้งเล่า สถานการณ์ในเวลานี้ตรงข้ามกับคราวก่อนที่ได้พบเจออาจารย์ตาบอดและศิษย์สองคนพอดี แค่เห็นแม่นางน้อยหน้ากลมที่มีฉายาว่าจิ่วเอ๋อร์ หลี่เป่าผิงก็ถูกชะตากับอีกฝ่ายทันที แต่สำหรับเด็กสาวที่มีชื่อประหลาดคนนี้ นางกลับรู้สึกชอบไม่ลงแม้แต่น้อย
แม้ว่าใบหน้าของเซี่ยเซี่ยจะประดับรอยยิ้ม แต่กลับมองอารมณ์ที่แท้จริงไม่ออก ทว่าสำหรับหลี่เป่าผิงที่เตี้ยกว่าตนเกินครึ่งศีรษะ ในใจเด็กสาวก็ไม่รู้สึกชื่นชอบเช่นกัน
ระหว่างแม่นางน้อยกับเด็กสาวที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก อารมณ์ประหลาดเช่นนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเหตุผลใดๆ
เฉินผิงอันมองไปทางชุยฉาน เอ่ยว่า “อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยสามารถมารวมกลุ่มกับพวกเราได้ แต่เจ้าไม่ได้”
ชุยฉานเก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน ถามเสียงแข็งกระด้าง “ทำไม?”
เฉินผิงอันตอบกลับ “เพราะข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่คนดี”
ข้างทางเดินม้า ไม่มีใครที่รู้สึกว่าประโยคนี้น่าหัวเราะชวนขำขัน ต่อให้เป็นหลี่ไหวที่ไม่ยี่หระกับสิ่งใดมากที่สุดก็ยังรู้สึกถึงความกดดันประหนึ่งอากาศก่อนพายุฝนกำลังจะมาเยือน
อวี๋ลู่หันไปมองด้านหลัง ห่างออกไปไกลมีฝุ่นตลบคละคลุ้ง เสียงกีบเท้าม้าย่ำพื้นดังเป็นระเบียบส่งผลให้พื้นดินเกิดแรงสะเทือนอื้ออึงเป็นระลอก พื้นดินเหมือนเรือนกายของชนชั้นล่างที่ถูกแส้โบยอย่างแรง ลมหายใจรวยริน ได้แต่ยอมรับอย่างเงียบเชียบ
อานุภาพหนาหนักน่าครั่นคร้ามจากกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีพุ่งมาปะทะใบหน้า ต่อให้เป็นเพียงกลุ่มทหารขี่ม้าพกอาวุธเบาแค่สามสิบสี่สิบนายก็ยังคงแผ่กลิ่นอายแห่งการสังหารที่หยาบเถื่อนสยบขวัญ
นี่ทำให้เด็กหนุ่มสูงใหญ่หรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้
ส่วนชุยฉานที่อยู่ทางฝั่งนี้ก็ยื่นฝ่ามือสองข้างออกมาทำท่าเก็บโทสะลงไปในจุดตันเถียน พยายามพูดด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่ง “ที่ข้ามาที่นี่เพราะมีซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งต้องการให้ข้าเรียนรู้การเป็นคนจากเจ้า เจ้าไม่รับข้าเป็นศิษย์ ไม่เป็นไร ข้าก็จะใช้ตัวตนคุณชายของอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยติดตามพวกเจ้าไปขอศึกษาเล่าเรียนก็แล้วกัน พวกเจ้าก็ถือซะว่าไม่มีข้าอยู่ด้วย เป็นไง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอแค่เจ้าไม่มาหาเรื่องข้า ไม่พูดอะไรประหลาดๆ ว่าอาจารย์ไม่อาจารย์ ก็ล้วนได้หมด”
ชุยฉานเตรียมจะอ้าปากพูด
กองทัพม้าของต้าหลีก็ควบทะยานผ่านไปพร้อมเสียงอึงอล
อวี๋ลู่ที่สังเกตทุกรายละเอียดของกองทัพม้ากองนี้ก้มหน้าลงต่ำอยู่นานแล้ว ยังไม่ลืมยกแขนขึ้นบดฝุ่นทรายที่ลอยคลุ้ง
เด็กสาวเซี่ยเซี่ยก็ยิ่งขยับออกไปยืนนอกทางเดินม้านานแล้ว
ชุยฉานเด็กหนุ่มผู้มีไฝสีชาดแต้มกลางหว่างคิ้วหนึ่งเม็ดดันสวมอาภรณ์ชุดขาวสะอาดสะอ้านพอดี
กองทัพม้าของต้าหลีที่องอาจเกรียงไกรทะยานผ่าน ชุยฉานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทั้งเนื้อทั้งตัวของเด็กหนุ่มที่เหมือนมีเรื่องให้พูดไม่หยุดหย่อนเต็มไปด้วยคราบฝุ่น แถมยังอ้าปากกว้าง แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากเขาแม้แต่คำเดียว
หลี่ไหวรู้สึกเพียงว่าภาพนี้น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ก็ค่อนข้างจะอนาถอยู่สักหน่อย”
เพิ่งรู้สึกตัว เด็กหนุ่มชุดขาวที่ฝุ่นเขรอะเต็มหน้าก็ยกมือขึ้นเช็ดถูทั่วหน้า สายตาเลื่อนลอย พูดพึมพำ “ชีวิตจบสิ้นแล้ว”
—–