บทที่ 132 วิธีสลายม่านพลัง[รีไรท์]
โม่ซิงเหอติดตามฉู่ชวิ๋นมานานเป็นปี จนมีฝีมือในการฆ่าคนพัฒนาขึ้นจนไร้ความปรานี
คนพวกนี้เป็นพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด ปีศาจร้าย โม่ซิงเหอพบเห็นแต่เพียงความกระหายที่ไม่มีที่สิ้นสุดในตัวคนพวกนี้ ถ้าเขาไม่มีม่านพลังคอยคุ้มครองกายอยู่ก็คงเดาได้ไม่ยากเลยว่าชีวิตของเขาจะเป็นเช่นไร
ดังนั้น สิ่งที่โม่ซิงเหอควรทำในตอนนี้ก็คือ ฆ่าได้ต้องฆ่า ฆ่าให้ได้มากที่สุด
โม่ซิงเหอเตรียมตัวเตรียมใจที่จะสู้จนตัวตาย ฉู่ชวิ๋นตายไปแล้ว เขายินดีปกป้องทุกอย่างที่เป็นของฉู่ชวิ๋น รวมถึงผู้หญิงของฉู่ชวิ๋นและบรรดาคนรับใช้ที่อยู่ในคฤหาสน์ด้านหลังเขาด้วย โม่ซิงเหอจะปกป้องทุกคนด้วยชีวิตของเขาเอง
นี่คือปณิธานอันแรงกล้าของเขาเสมอมา นับจากวันแรกที่ได้ติดตาม
ฉู่ชวิ๋น ความรู้สึกของโม่ซิงเหอยังคงไม่เปลี่ยนไป และเขาก็เชื่อว่า
เฉินฮั่นหลงและคนอื่น ๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
“ฉันขอสาบานว่าฉันจะฆ่าแกให้ได้” หยางเฟ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้นและอำมหิต
“เก่งจริงก็เข้ามา อย่าดีแต่เห่า” เฉินฮั่นหลงจ้องมองตอบกลับไปอย่างดูถูก
หยางเฟ่ยกัดฟันกรอด แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักเขายังถูกจัดการเสียราบคาบ เขารีบเข้าไปตอนนี้ มิใช่เป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?
……
……
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสองมีวิธีสลายม่านพลังพวกนี้บ้างไหมครับ?” เฟิงหลุนมองราชาปีศาจและหยินจง หลังจากที่เสียหน้าไปเมื่อสักครู่ ในขณะนี้ชายหนุ่มก็กลับมามีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสอีกครั้ง
ดวงตาของหยินจงเป็นประกายแวววาวอยู่เล็กน้อยขณะพูดออกมาว่า “ในม่านพลังจะมีสิ่งที่เรียกว่าดวงตาม่านพลัง หากนายหาจุดนั้นเจอก็จะสามารถสลายม่านพลังได้”
หลายคนถึงกับสับสนและต้องหันหน้ามาถามกันว่าดวงตาม่านพลังคืออะไร?
หยินจงตกใจกับความโง่ของคนพวกนี้และไม่อยากอธิบาย จึงกล่าวอย่างรวบรัดว่า “ม่านพลังนี้ยากที่จะทำลายได้”
นี่คือม่านพลังเวท สามารถสังหารศัตรูและคุ้มครองผู้ที่อยู่หลังม่านได้ในเวลาเดียวกัน
ถ้าเป็นม่านพลังปกติ เพียงแค่ระดมฝ่ามือยิงพลังใส่สิบต่อหนึ่งก็สามารถสลายได้ไม่ยาก แต่มันใช้ไม่ได้กับค่ายกลลวงตาที่อยู่ด้านใน ถ้ามีคนหลงเข้าไป คนผู้นั้นก็จะเห็นภาพหลอนและพบจุดจบที่น่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนเงียบงันไปแล้ว ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
“ผมว่าผมมีวิธี” เฉียงไท่พลันส่งเสียงขึ้น
กลุ่มคนพากันหันไปมองที่เขาอย่างมีความหวัง
เฉียงไท่ยกกระบี่ขึ้นเป็นแนวขวาง พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “เราแค่นั่งรออยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว พวกเขามีอาหารและน้ำดื่มหรือเปล่า? ไม่มีสักหน่อย เราแค่ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้พวกเขาอดข้าวอดน้ำ ดูซิว่าจะทนได้สักแค่ไหน”
หลายคนที่ได้ยินวิธีการนี้ คิดว่ามันมีความเป็นไปได้
“คนเราจะอยู่ได้โดยไม่กินน้ำไม่กินอาหารกี่วันกัน?” หยางเฟ่ยจ้องมองเฉินฮั่นหลงด้วยแววตาดุร้าย
“ฉันขอแนะนำให้พวกแกยอมแพ้และส่งมอบสิ่งของของฉู่ชวิ๋นมาให้เราซะดี ๆ ไม่งั้นรับรองว่าพวกแกจะตายอย่างศพไม่สวยแน่นอน”
“อย่าดื้อด้านไปหน่อยเลย ไม่มีอาหารและน้ำดื่ม ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้อีกแล้ว”
เกิดเสียงโห่ฮาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินจ่างเฟิงเป็นคนที่คำรามเสียงดังที่สุด เนื่องจากลูกน้องของตนเองถูกเครื่องประดับสังหารของโม่ซิงเหอปลิดชีพไปในการต่อสู้ยกแรก ขณะนี้เขาจึงเหลือตัวคนเดียว แน่นอนว่ามันทำให้เฉินจ่างเฟิงเคียดแค้นจนอยากจะฉีกกระชากร่างของโม่ซิงเหอเป็นชิ้น ๆ
แต่ในเวลานี้ เฉินฮั่นหลงและโม่ซิงเหอกลับมองหน้ากันอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ กลยุทธ์ตัดน้ำตัดอาหารช่างน่าขบขันเหลือเกิน อีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าพวกเขากักตุนอาหารไว้จนสามารถดำรงชีพได้เป็นระยะเวลายาวนาน และเมื่ออาหารใกล้จะหมด พวกเขาก็ยังมีน้ำเทวะเหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมาก เมื่อนำไปหยดลงใส่อาหารแล้ว พวกเขาก็จะรู้สึกอิ่มหนำไปหลายวัน นอกจากนี้ก็ยังมีน้ำจิตวิญญาณอมตะอีกด้วย จึงกล่าวได้ว่าถ้าพวกเขาจะต้องเสียชีวิตลงที่นี่ ก็คงไม่ได้เสียชีวิตเพราะอดอาหารตายแน่นอน
“ทุกคนฟังให้ดี กลยุทธ์ตัดน้ำตัดอาหารนั้นใช้ได้ แต่ว่าเสียเวลามากเกินไป ผมมีวิธีที่จะทำให้พวกเขาต้องยอมแพ้แล้ว” ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดประโยคนี้ ทุกสายตาก็หันไปจ้องมองคนพูดโดยทันที
คนพูดคือชายหนุ่มผิวขาว หน้าตาหล่อเหลา เหมาะสมกับชุดสูทสีขาวที่สวมใส่ บ่งบอกถึงรสนิยมอันหรูหรา เขาเดินเคียงข้างเข้ามาพร้อมกับราชาปีศาจ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีใครสังเกตเห็นเขามาก่อน เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้ไม่มีพลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกาย ซึ่งหมายความว่าเขาเป็นแค่เพียงคนธรรมดาเท่านั้น
เฉียงไท่รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าตนเองเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่หาทางออกได้แล้ว อุตส่าห์ใช้สมองขบคิดหาวิธีแทบตาย และทุกคนก็เห็นด้วยแล้ว แต่สุดท้ายชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้กลับมาหักหน้าเขาเสียดื้อ ๆ นอกจากนั้น ไอ้หมอนี่ยังไม่มีพลังวรยุทธ์ กล้าดียังไงถึงเสนอหน้ามาแบบนี้ ถ้าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ยืนอยู่ข้างหลังราชาปีศาจ เฉียงไท่คงจะใช้กระบี่ฟันมันตายไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเฉียงไท่จะทำอะไรชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ แต่เขาก็ทนกล้ำกลืนความเดือดดาลเอาไว้ไม่ไหว เฉียงไท่เดินออกไปข้างหน้าสองก้าว และคำรามออกมาเสียงดังเหมือนฟ้าผ่าว่า “ไอ้หน้าขาว นายมีความคิดที่ดีกว่าวิธีของฉันหรือไง?”
อีกฝ่ายหนึ่งชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด ขณะที่หัวเราะในลำคอตอบกลับมาว่า “สหาย ผมชื่อหลิวเจี่ยเฟย ไม่ใช่ไอ้หน้าขาว ผมไม่มีปัญหากับวิธีการของคุณ แต่ผมมีวิธีที่ดีกว่า ซึ่งมันสามารถใช้งานได้เลยทันที”
เฉียงไท่พูดไม่ออกอีกแล้ว เขาเจอถ้อยคำยอกย้อนของอีกฝ่ายเข้าไปจนเวียนหัว
แต่ในขณะนี้ เฉินฮั่นหลงและโม่ซิงเหอสีหน้าแปรเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งสองคนจ้องมองหลิวเจี่ยเฟยด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เจ้าหมอนี่ก็คือคนที่ฉู่ชวิ๋นสั่งให้พวกเขาตามหา ไม่คิดเลยว่าจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ตอนนี้เสียได้
“นายคือหลิวเจี่ยเฟยเองสินะ” จู่ ๆ ก็มีคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานใสแต่หนักแน่นชัดเจน ไม่ถึงกับเป็นเสียงตะโกน ทว่าก็ดึงความสนใจของทุกคนได้ในทันที
กลุ่มคนหันไปมองและก็ต้องตกตะลึงยืนอยู่กับที่
หญิงสาวร่างกายบอบบางผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น การเคลื่อนไหวของเธอพลิ้วไหวราวกับนางฟ้าในเทพนิยาย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีไอสังหารแผ่ออกมาอย่างชัดเจน นี่คือการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความสวยงามและอันตรายที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้
กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ยืนอยู่ตอนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ จึงรับรู้ว่าหญิงสาวคนนี้มีฝีมือไม่ใช่เล่น
หลิวเจี่ยเฟยเป็นเพียงแค่คนธรรมดา เขาจึงทำได้เพียงจ้องมองฮวาชิงหวู่อย่างตะลึงลาน
ไม่มีใครหัวเราะเยาะเขา เนื่องจากความสวยงามของหญิงสาวคนนี้ก็เคยทำให้พวกเขาตกตะลึงมาก่อนแล้วทุกคน
เมื่อเห็นว่าหลิวเจี่ยเฟยไม่ตอบคำถาม ฮวาชิงหวู่จึงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
ฟึบ!
เธอสะบัดมือหนึ่งครั้ง และผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศตรงเข้าไปหาหลิวเจี่ยเฟย
ราชาปีศาจพ่นลมผ่านจมูกอย่างดูถูก เขาหมุนวนฝ่ามือจนมีคลื่นพลังสีดำล้อมรอบกาย ก่อนที่จะกระแทกฝามือขึ้นเข้ารับการปะทะของผ้าไหมสีขาวเส้นนั้น
เปรี้ยง!
ผ้าไหมสีขาวแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหมือนผีเสื้อตัวจ้อยที่โบยบินอยู่ในสายลม
ฮวาชิงหวู่อุทานในลำคอพร้อมกับผงะถอยหลัง ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ราชาปีศาจแข็งแกร่งมากเกินไป แม้แต่ผ้าไหมสีขาวของเธอก็ถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย
หลิวเจี่ยเฟยกลับมามีสติอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง สาปแช่งเธอในใจก่อนที่จะหันไปค้อมศีรษะให้กับราชาปีศาจ แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมากครับ นายท่านราชาปีศาจ”
หลังจากนั้น เขาก็หันกลับไปมองหน้าฮวาชิงหวู่ ดวงตาเป็นประกายน่ารังเกียจ ก่อนที่จะยิ้มออกมา พูดว่า “ผมคือหลิวเจี่ยเฟย ไม่ทราบคุณเป็นใคร? ดูเหมือนคุณจะไม่พอใจผมนะ เราเคยมีความหลังต่อกันหรือเปล่า…”
“ฉันเป็นผู้หญิงของฉู่ชวิ๋น” ฮวาชิงหวู่พูดแทรกขึ้นโดยที่ชายหนุ่มยังกล่าวไม่จบ
หลิวเจี่ยเฟยตกตะลึงไปเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มกว้าง หันกลับไปพูดกับราชาปีศาจว่า “นายท่านครับ ผมมีวิธีจัดการคนพวกนี้แล้ว แต่มีข้อแม้อยู่หนึ่งอย่าง”
ราชาปีศาจหรี่ตาลงและพูดว่า “ว่ามา”
ทุกคนถึงกับประหลาดใจไม่น้อย ที่เห็นว่าราชาปีศาจยอมลดตัวลงมาเจรจาต่อรองกับคนธรรมดาผู้นี้ ดูเหมือนว่าหลิวเจี่ยเฟยจะมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
หลิวเจี่ยเฟยหันกลับไปมองหน้าฮวาชิงหวู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแห่งราคะ และชายหนุ่มก็ไม่ได้ปิดบัง เขามีสีหน้าเหมือนกับสุนัขที่กำลังติดสัตว์ตอนที่พูดพร้อมกับยิ้มว่า “ผมต้องการผู้หญิงคนนี้!”
“ไม่ได้!” ราชาปีศาจตอบกลับมาทันที “ฉันเคยบอกเอาไว้แล้วว่าใครที่เกี่ยวข้องกับฉู่ชวิ๋น จะต้องถูกฆ่าทิ้งให้หมด”
“ผมเข้าใจครับ ผมไม่ได้หมายถึงจะให้ไว้ชีวิตเธอ ผมแค่จะให้เธอต้องตายในอีกรูปแบบหนึ่ง ผู้หญิงสวย ๆ แบบนี้ในโลกนี้หายากแล้วนะครับ ฆ่าตายไปก็เสียของหมดพอดี ผมว่าเราจับเธอมารับใช้สหายทุกท่านที่อยู่ที่นี่ก่อนดีกว่า ก่อนเธอจะตายพวกเราคงมีความสุขกันไม่ใช่น้อย…” ใบหน้าของหลิวเจี่ยเฟยบิดเบี้ยวด้วยความหื่นกามและอำมหิต
“ไอ้บัดซบ ฉันจะฆ่าแก…” เฉินฮั่นหลงดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น คนพวกนี้กล้าดียังไงจะมายุ่งผู้หญิงของนายท่าน เขาส่งเสียงคำรามและพุ่งตรงจะเข้าไปเล่นงานใส่หลิวเจี่ยเฟย
โม่ซิงเหอพลันคว้าแขนของเขาเอาไว้และพูดว่า “ฮั่นหลง อย่าทำอะไรวู่วาม มันตั้งใจยั่วโมโหนาย”
“ปล่อยฉันนะ ฉันจะฆ่ามัน ถึงตายฉันก็ยอม”
เฉินฮั่นหลงพยายามสะบัดตัวหนี แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมือของโม่ซิงเหอได้
“พี่หลง อย่าทำอะไรวู่วาม นี่ก็แค่เสียงหมาเห่า ไม่คุ้มที่เราจะไปเสี่ยงชีวิตด้วย” ฮวาชิงหวู่พยายามพูดให้เฉินฮั่นหลงใจเย็นลง เฉินฮั่นหลงเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เรียกได้ว่ามีความซื่อสัตย์เท่ากับมังกรเขียวที่มีต่ออาจารย์เลยด้วยซ้ำ
“แม่งเอ๊ย…” เฉินฮั่นหลงเงยหน้าคำรามใส่ท้องฟ้าด้วยความเคียดแค้น ดวงตาของเขามีน้ำตาคลอเต็มเบ้า “ขอโทษครับนายท่าน ผมเห็นผู้หญิงของคุณถูกข่มเหง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย…” และแล้วผู้ชายอกสามศอกคนหนึ่งก็ร้องไห้ออกมา
โม่ซิงเหอเองก็มีดวงตาแดงก่ำ กัดฟันกรอดจนฟันแทบหักแล้ว