บทที่ 149 พยัคฆ์ปีศาจ[รีไรท์]
ฉู่ชวิ๋นบอกว่าหัวหน้าหมายเลขหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น!
อย่าว่าแต่หัวหน้าหมายเลขหนึ่งจะตกตะลึงเลย แม้แต่มังกรเขียวก็ตกตะลึงเช่นกัน
แน่นอนว่าพวกเขาไม่สงสัยในสิ่งที่ฉู่ชวิ๋นพูด เพราะชายหนุ่มคนนี้ไม่เคยพูดอะไรเหลวไหลอยู่แล้ว
“เป็นไปได้ยังไงกัน?” เนื่องจากหัวหน้าหมายเลขหนึ่งเป็นคนที่กุมอำนาจระดับสูงของประเทศ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย เขาจึงสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
“คุณลองมองที่เท้าทั้งสี่ของพยัคฆ์ตัวนั้นให้ดีสิ” ฉู่ชวิ๋นยกมือชี้พยัคฆ์ที่อยู่ในภาพวาด
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งและมังกรเขียวได้ยินดังนั้นก็หันไปมองด้วยความพินิจพิจารณา แต่แล้วพวกเขาก็ต้องส่ายศีรษะ เพราะไม่พบอะไรที่ผิดปกติเลย
“ไม่เห็นกันหรือไงว่าที่เท้าทั้งสี่ข้าง มีเส้นขาว ๆ ผูกติดอยู่” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้น
ทั้งสองคนหันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง ในที่สุดก็สังเกตเห็นเส้นสีขาว ๆ ที่
ฉู่ชวิ๋นพูดถึง
“มันคืออะไร?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งไม่เข้าใจ การที่ภาพวาดจะมีลายเส้นปรากฏอยู่แบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย ก่อนที่จะหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ และนำมาถือไว้ในมือแนบแน่น เพียงแค่เขาสะบัดมือหนึ่งครั้ง หยกหินหลายชิ้นก็พุ่งออกไปหลายทิศทาง
“ม่านพลัง”
ฉู่ชวิ๋นส่งเสียงตะโกน
พรึบ!
เกิดลำแสงสี่สายเปล่งประกายแวววาวกลางอากาศ ปกคลุมทั่วทั้งห้องเอาไว้
ฉู่ชวิ๋นวาดมือในอากาศ สร้างเป็นแนวม่านพลังขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ซับซ้อน
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งและมังกรเขียวถึงกับพูดไม่ออกแล้ว
ฉู่ชวิ๋นสะบัดมืออีกเพียงไม่กี่ครั้ง ลำแสงสีทองก็แวววาวกลางอากาศ พยัคฆ์โคร่งที่อยู่ในรูปภาพอันตรธานหายไป หลงเหลือแต่เพียงผืนป่าที่เงียบสงบเท่านั้น
โฮก!
พลัน บังเกิดเสียงพยัคฆ์คำรามดังลั่น พยัคฆ์โคร่งที่เคยอยู่ในภาพวาด ขณะนี้ได้กระโจนออกมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มแล้ว
“……” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น เขาเป็นผู้มีอำนาจระดับสูงของประเทศ เคยพบเจอเรื่องราวเหนือธรรมดามามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เขาได้พบเห็นอะไรที่มหัศจรรย์ขนาดนี้
มังกรเขียวได้แต่ยืนนิ่ง เบิกตาโตเหมือนเห็นผี
เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อได้ว่าพยัคฆ์โคร่งจะออกมาจากรูปภาพได้จริง มันมีขนาดลำตัวที่ยาวมากกว่า 3 เมตร ดวงตาของมันเป็นสีแดงเข้ม ปากอ้ากว้างอวดเขี้ยวดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าพยัคฆ์ยักษ์จะมีเสียง “แกรกกราก” เวลาก้าวเดิน เท้าทั้งสี่ข้างของมันมีโซ่เหล็กรัดพันอยู่ โซ่แต่ละเส้นเป็นโซ่สีเงินที่มีความหนาเท่ากับข้อมือเด็ก
โฮก!
ในระหว่างที่พยัคฆ์โคร่งตัวนี้หายใจ ลมหายใจที่ออกมาจากรูจมูกของมันเป็นสีดำ มีอานุภาพกัดกร่อนทำให้พื้นห้องกลายเป็นรูโบ๋ขนาดเท่ากำปั้นสองรูทันที
มังกรเขียวขนหัวลุก ผงะถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว จนกลับมายืนอยู่ข้างกายฉู่ชวิ๋น
โฮก!
เสียงคำรามของเจ้าพยัคฆ์ร้ายเต็มไปด้วยความอำมหิต มันเตะเท้าหนึ่งครั้ง ก็กระโจนเข้ามาหาฉู่ชวิ๋นพร้อมกับอ้าปากกว้าง กลิ่นเลือดลอยออกมาจากปากของมันตั้งแต่ไกล
เมื่อเห็นภาพนี้ หัวหน้าหมายเลขหนึ่งที่เป็นคนธรรมดาก็แทบจะเป็นลมด้วยความหวาดกลัว
มังกรเขียวเย็นวาบไปทั่วแผ่นหลัง แอบโคจรพลังลมปราณขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แต่ฉู่ชวิ๋นยังคงมีท่าทีใจเย็นเหมือนเดิม
ตอนที่เจ้าพยัคฆ์อยู่ห่างจากฉู่ชวิ๋นไม่ถึง 10 เซนติเมตร สายโซ่เหล็กก็ดึงเท้าของมันเอาไว้ ทำให้มันไม่สามารถพุ่งเข้ามาใกล้ได้มากไปกว่านั้นอีก
พลั่ก!
เจ้าพยัคฆ์ร้ายล้มลงกับพื้น พื้นอิฐสีแดงแตกกระจาย มันเงยหน้าส่งเสียงคำราม แสดงความโกรธแค้นสุดขีด
ใบหน้าของหัวหน้าหมายเลขหนึ่งซีดขาว เมื่อคิดว่าตนเองมีปีศาจร้ายอย่างพยัคฆ์ตัวนี้ซุ่มอยู่ข้างหลังในทุกวันที่ผ่านมา เขาก็แทบจะไม่มีแรงยืนอีกแล้ว
โฮก!
เจ้าพยัคฆ์ร้ายยังคงคำรามอย่างไม่ยอมแพ้
มันหันกลับมาและใช้หางมโหฬารของมันกวาดไปรอบ ๆ จนเกิดเสียงเสียดสีกับอากาศ
ฉู่ชวิ๋นดันให้มังกรเขียวกับหัวหน้าหมายเลขหนึ่งไปอยู่ข้างหลัง เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนลูกหลง
โครม!
โต๊ะไม้มะฮอกกานีขนาดใหญ่ของหัวหน้าหมายเลขหนึ่งถูกหางของเจ้าพยัคฆ์ร้ายสะบัดไปโดนจนกระเด็นออกไป
เจ้าพยัคฆ์ร้ายกำลังโกรธแค้นสุดขีด มันมองไม่เห็นหนทางที่จะทำร้ายฉู่ชวิ๋นได้เลย ตอนนี้มันจึงเอาความเดือดดาลทั้งหมด มาทำลายข้าวของทุกอย่างที่อยู่รอบตัวให้หมดสิ้น
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว ช่างเป็นพยัคฆ์ที่ดุร้ายอะไรขนาดนี้
“ฉันรู้ว่าแกไม่ได้รับความเป็นธรรม ฉันจะปลดปล่อยแกให้เป็นอิสระ แกจะได้ไปเกิดใหม่นะ” ฉู่ชวิ๋นพูดกับพยัคฆ์โคร่ง
เจ้าพยัคฆ์ร้ายหันกลับมามองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยดวงตาแดงก่ำ มันคำรามในลำคอฟังดูน่าขนลุก รูจมูกของมันพ่นลมสีดำออกมา กัดกร่อนพื้นอิฐให้เป็นรูขนาดเท่ากำปั้นมากมายยิ่งขึ้น
“ก่อนอื่นฉันจะปลดปล่อยแกให้เป็นอิสระ” ฉู่ชวิ๋นพูดจบก็ปล่อยเส้นไหมวิญญาณออกไป
เคล้ง!
สายโซ่เงินที่รัดเท้าทั้งสี่ข้างของพยัคฆ์โคร่งอยู่ขาดกระเด็นออกไปทันที เมื่อสายโซ่ขาดกระเด็นตกลงไปบนพื้นครบหมดทั้งสี่เส้น มันก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเถ้าถ่านไปทันที
แปลว่าโดนสะกดวิญญาณเอาไว้จริง ๆ ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย
โฮก!
หลังจากที่สายโซ่ขาดออกแล้ว เจ้าพยัคฆ์ร้ายก็คำราม ก่อนที่จะกระโจนเข้ามาหาฉู่ชวิ๋นพร้อมกับอ้าปากกว้างด้วยความกระหายเลือด
“ไอ้เจ้านี่”
ฉู่ชวิ๋นกัดฟันกรอด เปลี่ยนเส้นไหมวิญญาณให้กลายเป็นโซ่และสะบัดฟาดใส่เจ้าพยัคฆ์จนกระเด็นออกไป
พยัคฆ์โคร่งจอมร้ายกาจม้วนตัวกลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ แต่สุดท้ายก็ยังมีแรงลุกขึ้นมายืนใหม่ ส่งเสียงคำรามแหบต่ำในลำคอ จากนั้นมันก็กระโจนเข้ามาหาชายหนุ่มอีกครั้ง กรงเล็บของมันซึ่งมีขนาดเท่ากับชามข้าว สะท้อนประกายกับสายไฟแวววาวในขณะที่ตะปบลงมายังลำคอของฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นและเจ้าพยัคฆ์ก็ถูกกระแทกไปอีกครั้ง
โครม!
ร่างขนาดใหญ่ของพยัคฆ์โคร่งกระเด็นไปกระแทกกับผนังห้อง ผ้าม่านที่ประดับอยู่สะบัดไหว ก่อนที่จะหล่นลงมาคลุมร่างของมันเอาไว้
“ถ้ายังทำเป็นเก่งอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความโมโห
โฮก!
เจ้าพยัคฆ์ร้ายคำรามลั่น พื้นอิฐสีแดงระเบิดตัวออก แล้วมันก็พุ่งกระโจนเข้ามาหาฉู่ชวิ๋นเป็นครั้งที่สาม
“ถ้าแกตายจะมาโทษฉันไม่ได้นะ”
ฉู่ชวิ๋นโกรธแค้นขึ้นมาจริง ๆ แล้ว เขากำมือเป็นหมัด และยกมือขึ้นปล่อยกำปั้นออกไป คลื่นพลังจากกำปั้นของเขาส่งเสียงดังแหวกอากาศเหมือนกับสายฟ้าฟาด
พลั่ก!
เจ้าพยัคฆ์ร้ายส่งเสียงร้องโหยหวน ร่างกายถูกพลังจากหมัดของเขากระแทกเข้าเต็มเปาจนระเบิดกลางอากาศ ก่อนที่จะสลายหายไปกลายเป็นเพียงกลุ่มหมอกควันสีดำในที่สุด
เฮือก…!
มังกรเขียวและหัวหน้าหมายเลขหนึ่งไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ปีศาจร้ายที่อันตรายขนาดนี้ กลับถูกฉู่ชวิ๋นจัดการได้ด้วยหมัดเดียว
ฉู่ชวิ๋นถอนหายใจ ส่ายศีรษะ และสลายม่านพลังที่ครอบคลุมทั้งห้องออกไป
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งและมังกรเขียวรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้เป็นความจริงหรือความฝัน? ข้าวของทุกอย่างในห้องทำงานยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ทุกอย่างยังคงมีสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พื้นห้องก็ไม่ได้ถูกกัดกร่อนด้วยหมอกควันสีดำ โต๊ะทำงานก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม และเมื่อทั้งสองคนหันขวับไปมองที่รูปภาพบนกำแพง ก็ต้องตกใจจนสะดุ้งโหยง เพราะว่ารูปภาพยังคงอยู่ที่เดิม แต่พยัคฆ์โคร่งที่เคยอยู่ในรูปภาพได้หายไปแล้ว เหลือไว้แค่เพียงภาพผืนป่าอันว่างเปล่าเท่านั้น
“นี่มันอะไรกันครับ ผู้อาวุโส” มังกรเขียวกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ แม้แต่เขาเองนี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งก็มีสีหน้าอยากรู้คำตอบด้วยเช่นกัน
“สิ่งที่เราเจอเป็นวิญญาณพยัคฆ์ร้าย พยัคฆ์ที่เราเห็นมันไม่ได้เป็นภาพวาด แต่มีคนฆ่าพยัคฆ์ตัวนี้และกักขังวิญญาณของมันให้อยู่ในภาพวาด พยัคฆ์โคร่งตัวนี้ตายโดยไม่มีความผิด มันเลยโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เมื่อระยะเวลาผ่านไป มันก็เลยกลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายโดยไม่รู้ตัว” ฉู่ชวิ๋นอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เดิมทีเจ้าพยัคฆ์ตัวนี้ตายไปโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ฉู่ชวิ๋นตั้งใจจะปลดปล่อยดวงวิญญาณของมัน แต่น่าเสียดายที่พยัคฆ์โคร่งกลายเป็นวิญญาณร้ายเต็มตัวไปแล้ว สุดท้ายฉู่ชวิ๋นก็ไม่มีทางเลือก นอกจากสลายดวงวิญญาณของมันทิ้งไป
สีหน้าของหัวหน้าหมายเลขหนึ่งและมังกรเขียวเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ใจ ถ้าฉู่ชวิ๋นไม่บอก พวกเขาก็คงไม่คิดเลยว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องราวที่แปลกประหลาดพิสดารอย่างนี้อยู่ด้วย
“นายท่านครับ นายท่านฆ่าวิญญาณพยัคฆ์ร้ายไปแล้วแบบนี้ หัวหน้าหมายเลขหนึ่งก็ปลอดภัยแล้วใช่ไหมครับ?” มังกรเขียวถามฉู่ชวิ๋น เพราะก่อนหน้านี้ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาว่า หัวหน้าหมายเลขหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่เพียงครึ่งปีเท่านั้น
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งรีบหันไปมองหน้าฉู่ชวิ๋นอย่างมีความหวัง
“เขาปลอดภัยแล้ว” ฉู่ชวิ๋นตอบ ก่อนจะตบไหล่หัวหน้าหมายเลขหนึ่งแปะ ๆ “แต่คุณต้องเดินทางไปที่เมืองกู่เจียงและตามหาคนที่ชื่อว่าเฉินฮั่นหลง ติดต่อขอซื้อน้ำยาเทวะมาจากเขา หลังจากดื่มน้ำยาตัวนี้เข้าไปแล้ว ธาตุพลังในร่างกายของคุณที่ถูกวิญญาณพยัคฆ์ร้ายกัดกร่อนมาตลอดก็จะได้รับการรักษา และคุณก็จะมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไป”
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน นี่คือเรื่องของความเป็นความตาย เขาจะทำเป็นล้อเล่นไม่ได้
มังกรเขียวมีสีหน้าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าหัวหน้าหมายเลขหนึ่งจะกลายเป็นคนสำคัญสำหรับโลกยุทธภพขึ้นมาในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนเสียแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาจะไปเกี่ยวข้องด้วย ต้องเก็บเป็นความลับระดับสูงสุด อย่างเช่นเรื่องที่ว่าเฉินฮั่นหลงเป็นคนของฉู่ชวิ๋นนั่นเอง
นอกจากนี้ มังกรเขียวยังนึกได้อีกอย่างว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้รับเอกสารเข้ารหัสที่มีคำสั่งให้ขโมยสูตรน้ำยาเทวะ โดยลายเซ็นผู้ออกคำสั่งนั้นก็คือหัวหน้าหมายเลขหนึ่งแต่ตอนนี้ ดูจากสีหน้าของหัวหน้าหมายเลขหนึ่งแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำยาเทวะคืออะไร ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนริอ่านปลอมลายมือของหัวหน้าหมายเลขหนึ่งเสียแล้ว
มังกรเขียวมีเหงื่อออกท่วมตัว น่ากลัวเหลือเกิน เรื่องนี้จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เขาคงต้องขอคำแนะนำจากผู้อาวุโสอีกไม่น้อย ก่อนที่จะเตรียมตัวเริ่มต้นสืบสวนเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
เมื่อหันมองไปที่รูปภาพอันว่างเปล่าภาพนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ส่ายศีรษะและพูดว่า “พยัคฆ์สองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้จริง ๆ ยกเว้นแต่ว่า ตัวหนึ่งเป็นตัวผู้และอีกตัวหนึ่งเป็นตัวเมียเท่านั้น”
หลังจากนั้น เขาก็หันมาพูดหยอกเย้ากับหัวหน้าหมายเลขหนึ่งว่า “ถ้าคุณจ้างศิลปินมาวาดพยัคฆ์บนภาพวาดใบนี้ อย่าลืมบอกให้เขาวาดเป็นพยัคฆ์ตัวเมียด้วยล่ะ”
“ฝันไปเถอะ” ด้วยความโกรธแค้นและอับอาย หัวหน้าหมายเลขหนึ่งเดินเข้าไปฉีกกระชากภาพวาดบนผนังจนไม่เหลือชิ้นดี เขาสาบานกับตัวเองว่า ชีวิตนี้จะไม่แขวนภาพพยัคฆ์ไว้หลังโต๊ะทำงานอีกแล้ว
“ว่าแต่คุณไปได้ภาพนี้มาจากไหน?” มังกรเขียวถาม
หัวหน้าหมายเลขหนึ่งนิ่งคิดเล็กน้อย จากนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์ ก่อนพูดว่า “หลิวเจี่ยเฟยให้ฉันเป็นของขวัญ”
ตอนแรก ถึงแม้ว่าภาพวาดภาพนี้จะไม่ได้ถูกวาดโดยศิลปินชื่อดัง แต่หัวหน้าหมายเลขหนึ่งก็เห็นว่ามันเป็นภาพที่สวยงามและดูดุดันอยู่ในตัว เขาจึงรู้สึกชอบมากอย่างไม่มีเหตุผล ถึงขนาดนำมาแขวนไว้ในห้องทำงาน แต่สุดท้าย ต้องเกือบตายเพราะภาพนี้ไปเสียได้
ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงไปไม่น้อย นี่คือบาปที่ไม่สามารถให้อภัยได้อีกแล้ว ตระกูลหลิวจะต้องถูกโค่นล้ม
“รอให้ฉันกลับมาจากสำนักกระบี่ทองคำก่อนเถอะ ฉันจะส่งพวกแกทุกคนลงนรกด้วยมือของฉันเอง”