บทที่ 152 คนแค้นตายยาก[รีไรท์]
“ฉู่ชวิ๋น แกมีธุระอะไรถึงได้มาที่สำนักกระบี่ทองคำของพวกเรา?”
หยานซงพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว บุคลิกของฉู่ชวิ๋นทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ ดังนั้น น้ำเสียงของเขาจึงบอกชัดว่าไม่รับแขก
ฉู่ชวิ๋นหันมองไปทางป้ายศิลาที่แกะสลักชื่อของสำนักกระบี่ทองคำ ก่อนที่จะหันกลับมามองผู้เป็นเจ้าสำนัก และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ฉันอยากมาขอของจากสำนักกระบี่ทองคำสักหน่อย”
“ไม่ให้!” หยานซงตอบโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด เขาปฏิเสธก่อนที่จะหัวเราะเยาะต่อว่า “ฉู่ชวิ๋น ไม่ว่าแกมาที่นี่เพื่อขออะไร แต่คำตอบมีแค่สองพยางค์เท่านั้นคือ ไม่ให้”
ฉู่ชวิ๋นมองหน้าหยานซง แล้วยิ้มด้วยความเย็นชา “แต่ถ้าฉันจะขอยืมล่ะ?”
“ไม่ว่าแกจะขอยืมอะไร ต่อให้มีพวกเราก็ไม่ให้ยืม” น้ำเสียงของหยานซงค่อนข้างดุดัน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เห็นฉู่ชวิ๋นอยู่ในสายตาเลยสักนิด หยานซงตวัดกระบี่ที่พาดบนไหล่ลงมาตั้งบนพื้นดิน เกิดเสียงกระบี่กระแทกพื้นดินดัง ‘โครม’ พื้นดินแตกร้าว แสดงให้เห็นว่ากระบี่ทองคำเล่มนี้มีน้ำหนักมากมายมหาศาลแค่ไหน
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเยาะหยัน
หยานซงเดือดดาลสุดขีด กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง เชียนเหลยก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า “ฉันได้ยินวีรกรรมของน้องฉู่มาตั้งนานแล้ว ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันคือเชียนเหลย เป็นรองเจ้าสำนักกระบี่ทองคำ นายอยากมาหยิบยืมอะไรไปจากเราหรือ น้องฉู่?” เชียนเหลยยกมือทำความเคารพแก่ฉู่ชวิ๋นมาตั้งแต่ไกล
“แกมีอำนาจตัดสินใจด้วยเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
เชียนเหลยหน้ากระตุกเล็กน้อย นี่มันดูถูกกันชัดๆ แต่ถึงแม้จะเดือดดาลสักเท่าไหร่ เชียนเหลยก็ต้องฝืนยิ้มและพูดต่อไปว่า “ทำไมน้องฉู่ถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ฉันเป็นผู้อาวุโสภายในสำนัก ย่อมตัดสินใจได้อยู่แล้ว”
ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าแกยังไม่รู้ว่าฉันจะมายืมอะไร งั้นก็เปิดห้องเก็บสมบัติของสำนักกระบี่ทองคำ ให้ฉันเข้าไปเลือกเองก็แล้วกัน”
“ฝันไปเถอะ!” หยานซงคำรามขึ้นทันทีด้วยความโกรธแค้น
เชียนเหลยก็กำลังรู้สึกแบบเดียวกัน
ส่วนผู้อาวุโสภายในสำนักคนอื่น ๆ เดือดดาลยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก
ห้องเก็บสมบัติเป็นรากฐานของสำนัก แม้แต่สมาชิกภายในสำนักก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป แล้วจะเปิดให้คนนอกเข้าไปดูง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ให้เกียรติสำนักกระบี่ทองคำสักนิด ทำไมชายหนุ่มผู้นี้ถึงไม่รู้จักร้องขออย่างสุภาพบ้างนะ
“ท่าทางพวกแกไม่ชอบใจกันล่ะสิ” ฉู่ชวิ๋นหรี่ตามองกลุ่มคนฝ่ายตรงข้าม
เชียนเหลยเหยียดยิ้มเย้ยหยันขณะพูดว่า “น้องฉู่ แบบนี้มันออกจะหยาบคายเกินไปหน่อยไหม?”
“มีแต่หัวขโมยเท่านั้นแหละที่หยาบคายแบบนี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ
“ฉู่ชวิ๋น ที่นี่ไม่ต้อนรับแก” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งส่งเสียงตะโกน
“คนอื่นอาจจะหวาดกลัวแก แต่พวกเราไม่กลัวแกเลยสักนิด ถ้าวันนี้แกยอมกลับไปแต่โดยดี เราจะไม่ถือสาหาความพฤติกรรมที่หยาบคายของแก ไม่งั้น ฉันจะสอนให้แกได้รู้จักความน่ากลัวของสำนักกระบี่ทองคำเอง”
……
……
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนขับไล่จากคนของสำนักกระบี่ทองคำ สีหน้าของฉู่ชวิ๋นยังคงเรียบเฉย ดวงตาของเขาฉายแววนิ่งงันอยู่ตลอด
เมื่อเห็นว่าฉู่ชวิ๋นมีสีหน้าแบบนั้น เสียงตะโกนจากคนของสำนักกระบี่ทองคำก็ค่อย ๆ จางหายไป
“น้องฉู่ ฉันต้องขอโทษจริงๆนะ กลับไปเถอะ คำขอของนายถูกสมาชิกส่วนใหญ่ปฏิเสธ ฉันคงช่วยไม่ได้แล้ว ได้โปรดกลับไปดีกว่านะ”
เชียนเหลยพูดออกมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“มันไม่สำคัญแล้ว” ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
สมาชิกของสำนักกระบี่ทองคำเหยียดหยามเขาอยู่แล้ว ยิ่งเห็นว่าฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาเช่นนี้ ทุกคนจึงรู้สึกเหมือนกับโดนดูถูก ฉู่ชวิ๋นจอมอำมหิตใช่ไหม? ฉู่ชวิ๋นจอมมารใช่ไหม? เมื่อมาอยู่ต่อหน้าสำนักกระบี่ทองคำ พวกเขาจะไม่ยอมทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองเด็ดขาด
“วันนั้นพวกแกยกพวกไปที่ภูเขาเฉียนหลงและข่มขู่ครอบครัวของฉัน พวกแกอยากจะแย่งชิงสมบัติของฉัน แต่โชคร้ายที่คนของพวกแกถูกฆ่าตายหมด และนั่นก็เป็นเพราะว่าสำนักของแกมันอ่อนด้อยมากเกินไป วันนี้ฉันมาเพื่อบอกให้พวกแกรู้ความจริง แต่พวกแกกลับพูดจาดูถูกฉัน แถมยังไม่ให้ฉันยืมของอีก งั้นฉันคงต้องเข้าไปเอาด้วยตัวเองเสียแล้ว พวกแกเจอปัญหาใหญ่แน่”
คำพูดของฉู่ชวิ๋นทำให้คนของสำนักกระบี่ทองคำแทบหยุดหายใจ
“ถ้าวันนี้สำนักกระบี่ทองคำไม่ถูกกำจัด ยากที่ไฟโทสะในใจฉันจะดับลง!” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและสีหน้าเรียบเฉย เขาหันไปจ้องมองป้ายศิลาที่สลักชื่อสำนักกระบี่ทองคำ ก่อนโคจรพลังมาที่กำปั้นของตัวเอง หลังจากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไป เกิดเป็นลำแสงสีขาวสว่างจ้า พุ่งออกจากหมัดของเขาไปกระแทกเข้ากับป้ายศิลาขนาดใหญ่นั้นทันที
โครม!
ป้ายศิลาที่ตั้งอยู่บนหินขนาดใหญ่ ระเบิดตัวออกกระจัดกระจายจากพลังของฉู่ชวิ๋น ส่งเศษดินเศษหินปลิวกระจายไปทั่ว
“ฉันจะฆ่าแก!!”
หยานซงคำราม
ดวงตาของคนจากสำนักกระบี่ทองคำแดงก่ำ ป้ายศิลาและหินก้อนใหญ่ก้อนนี้ส่งต่อกันมาภายในสำนักเป็นเวลาหลายร้อยปี มันคือสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของสำนักกระบี่ทองคำ มันคือสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของพวกเขา แต่วันนี้ ฉู่ชวิ๋นกลับทำลายมันลงไปด้วยหมัดเพียงแค่หมัดเดียว
เมื่อเศษฝุ่นจางหายไป สายตาของทุกคนก็พบเข้ากับสิ่งหนึ่ง
มันอยู่ตรงตำแหน่งที่เคยเป็นก้อนหินใหญ่ มันคือก้อนหินที่มีขนาดเท่ากับกำปั้น มีสีแดงสดเหมือนสีเลือด ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับดูสวยงาม
ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่ใจได้เลยก็คือมันต้องไม่ใช่ของธรรมดา
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายแจ่มใสขณะที่เดินเข้าไปหา เขาหยิบก้อนหินสีแดงนั้นขึ้นมาและใส่ไว้ในแหวนมิติ
ศิลาวิญญาณโลหิต เป็นของวิเศษที่ช่วยกระตุ้นเรื่องการไหลเวียนของเลือด ช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นราวกับมีเวทมนตร์
ฉู่ชวิ๋นสัมผัสได้ตั้งแต่แรกว่าในก้อนหินใหญ่มีศิลาวิญญาณโลหิต เขาจึงหาโอกาสทำลายมันทิ้งอยู่แล้ว
“ฉู่ชวิ๋น คืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ตอนที่หยานซงเดินมาถึง กระบี่ที่ยาว 3 เมตรก็พุ่งตัดอากาศ เศษหินดินทรายปลิวกระจายจากแรงลมของตัวกระบี่
ฉู่ชวิ๋นหันขวับกลับไปและยกกำปั้นขึ้นต่อยหมัดเต็มแรง
โครม!
กำปั้นของเขากระแทกเข้ากับตัวกระบี่ บังเกิดเสียงการปะทะกันของโลหะดังขึ้น เช่นเดียวกับเสียงของการตัดสายลม กระบี่ทองคำกระเด้งกลับไปเพราะพ่ายแพ้ให้แก่พลังหมัดของฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นดีดตัวถอยไปเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่าง ดวงตาของเขาปรากฏแววเอาจริงขึ้นมาแล้ว
เขาจะประเมินฝีมือของหยานซงต่ำเกินไปไม่ได้ อย่างน้อยหยานซงก็เป็นถึงขั้นปรมาจารย์ระดับ 7 เลยทีเดียว
“ฉู่ชวิ๋น ส่งของมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าวันนี้จะได้กลับออกไปจากภูเขาเหลาหยิงอีก” หยานซงคำรามด้วยความดุเดือด
สีหน้าของฉู่ชวิ๋นยังคงเยือกเย็น เท้าของเขาขยับวูบวาบ พริบตาเดียวก็เข้ามาถึงตัวหยานซง ชายหนุ่มก้มหยิบใบไม้ที่ตกอยู่บนพื้นและโปรยมันขึ้นไปในอากาศเหมือนกับปลดปล่อยมังกรบิน
หลังจากนั้นเขาก็ต่อยหมัดต่อไป กลายเป็นพลังหมัดมังกรคำรน ที่สั่นสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น
หยานซงไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมา จึงรีบโคจรกําลังภายในขึ้นมาต้านทานเอาไว้ กระบี่ทองคำในมือเขาไหวเอนไปมา หยานซงโน้มตัวมาข้างหน้าและใช้เท้าดีดตัวขึ้นกลางอากาศเพื่อโจมตีใส่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นหมุนกายหลบคมกระบี่ทองคำได้อย่างรวดเร็ว และอาศัยจังหวะนั้น ต่อยหมัดออกไปกระแทกเข้ากับตัวกระบี่
พลั่ก!
พลังลมปราณที่ห่อหุ้มกระบี่อยู่กระจายตัวหายไป กระบี่ทองคำฟันไม่โดนเป้าหมาย สุดท้ายก็กระแทกเข้ากับพื้นดินเสียงดังสนั่น พื้นดินแตกตัวออก กลายเป็นรอยแยกที่กินพื้นที่ยาวมากกว่า 10 เมตร
“แก…”
หยานซงสบถกลางอากาศด้วยความเดือดดาล เขาได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากข้างหลัง และเมื่อหันไปมอง ก็เห็นว่าคนของสำนักกระบี่ทองคำได้ตกไปอยู่ในมือของฉู่ชวิ๋นเสียแล้ว
“ฉู่ชวิ๋น ฉันจะผ่าแกออกทั้งเป็น!” หยานซงพูดอย่างโกรธแค้นสุดขีด
มือซ้ายของฉู่ชวิ๋นผละออกจากลำคอของผู้อาวุโสคนหนึ่ง เขาล้มลงไปอย่างเจ็บใจ คอห้อยด้วยความหมดแรง เขาเป็นคนที่ตะโกนบอกว่า วันนี้ฉู่ชวิ๋นจะไม่ได้กลับออกไปจากที่นี่ แต่กลับถูกฉู่ชวิ๋นหักคอตายไปเสียเอง
นิ้วมือของฉู่ชวิ๋นขยับไปมา เส้นไหมสีขาวที่มีลักษณะเหมือนงูขาวตัวหนึ่งก็เลื้อยวนในอากาศ มันพุ่งเข้าไปหาผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง ก่อนที่จะรัดพันลำคอของผู้อาวุโสคนนั้นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
บัดนี้ ฉู่ชวิ๋นยืนอยู่ห่างออกไปไกลมากกว่า 10 เมตร กระบี่ของหยานซงปักอยู่ตรงตำแหน่งที่ชายหนุ่มเคยยืนอยู่ บนพื้นดินเกิดเป็นรอยแยกที่กินความยาวหลายเมตร ซึ่งดูแล้วน่าสะเทือนขวัญเป็นอย่างยิ่ง
หยานซงดึงกระบี่กลับขึ้นมา สีหน้าของเขาโกรธแค้น ดวงตาของเขาโกรธแค้น
แต่หยานซงก็พบว่าดวงตาของฉู่ชวิ๋นยังเยือกเย็นเหมือนเดิม แล้วในวินาทีนั้นเอง มือที่กางออกทั้งห้านิ้วของชายหนุ่ม พลันรวบเข้ามาเป็นกำปั้นอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่หยานซงจะทันได้รู้ตัว เขาก็ได้ยินเสียงดัง “ขวับ” หลังศีรษะของเขารู้สึกได้ถึงความร้อนวูบวาบ หยานซงยกมือลูบหลังศีรษะของตนเองและนำมาดู จึงพบว่ามือของตนเองเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด
หยานซงหันขวับไปมองข้างหลังทันที และสิ่งที่ได้เห็นก็คือศพไร้หัวจำนวนนับไม่ถ้วนนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นดิน ส่วนหัวที่ถูกตัดออกมาก็กลิ้งอยู่บนพื้น ดวงตาเบิกโตเหมือนไม่อยากยอมรับความตายที่มาถึงตัว
“ฉู่ชวิ๋น…!” หยานซงคำรามอย่างบ้าคลั่ง หัวใจของเขาหลั่งน้ำตา เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความรู้สึกอยากฆ่าอีกฝ่ายให้ได้ ทำให้หยานซงสั่นไปทั้งตัว
บรรดาสมาชิกสำนักกระบี่ทองคำที่รอดชีวิตอยู่มีดวงตาแดงก่ำ พวกเขากัดฟันกรอด จ้องมองมาที่ฉู่ชวิ๋นเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อ และพร้อมที่จะถลกหนังเขาทั้งเป็นด้วยความโกรธแค้นสุดขีด