บทที่ 213 ความละโมบ[รีไรท์]
จักรพรรดิโลหิตเดือดจัด เขารู้สึกอับอายมากต่อหน้าผู้คนจำนวนมากมายขนาดนี้ เขากลับลงมือล้มเหลวแล้วจะให้อดทนอยู่ได้อย่างไร ?
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ข่าวมาว่าฉู่ชวิ๋นครอบครองคัมภีร์ความลับฟ้า จึงมีเคล็ดวิชาลับที่ไม่เหมือนใคร และเมื่อดูจากเขตแดนที่แข็งแกร่งนี้แล้ว ดูเหมือนว่าข่าวลือนั้นจะเป็นความจริง
จักรพรรดิโลหิตอยากได้คัมภีร์ความลับฟ้าและเขตแดนที่ฉู่ชวิ๋นใช้ปกคลุมภูเขาลูกนี้จริง ๆ
ตู้มม!
เสื้อคลุมสีแดงสดของเขาปลิวไสว ลมหายใจพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ทำให้มวลอากาศรอบตัวสั่นไหว
ว่ากันว่าความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดินั้น ยากที่จะจินตนาการได้
พลังลมปราณของชายชรากระแทกเข้ากับม่านพลังเหมือนเกลียวคลื่นที่เกรี้ยวโกรธ ม่านพลังเป็นประกายสว่างไสว เสียงระเบิดดังสนั่น แม้แต่กลุ่มก้อนเมฆบนท้องฟ้าบนความสูงหลายพันเมตรยังต้องกระจัดกระจายหายไป
ม่านพลังเปร่งแสงวิบวับละลานตา เกิดระลอกคลื่นกระจายตัวไปทั่ว แต่ตัวม่านพลังก็ยังคงอยู่ ฉู่ชวิ๋นใช้เวลาไม่น้อยในการสร้างเขตแดนคุ้มกันภูเขาลูกนี้ และสิ่งที่เป็นรากฐานของเขตแดน ก็คือศิลาวิญญาณ โดยมีเขตแดนหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเขตแดนเวทมนตร์ เขตแดนสังหาร เขตแดนพรางตาและเขายังสร้างให้เขตแดนทั้งหมดนี้เชื่อมต่อกัน ถึงแม้จะมีฝีมือเก่งกาจขั้นจักรพรรดิ แต่ถ้าจะทำลายเขตแดนเหล่านี้ ก็ต้องใช้ความพยายามไม่น้อย!
ฟิ้ว!
ปรากฏลมพายุหมุนสีแดงห่อหุ้มร่างกายของจักรพรรดิโลหิต กินพื้นที่เป็นรัศมีสิบเมตร ไม่ว่าชายชราเดินไปที่ไหน ก้อนหินดินทรายต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ในบริเวณนั้น ก็จะถูกกระแสลมหมุนสีแดงนี้พัดกระจัดกระจายไปจนหมดสิ้น
พลัน มวลพลังรูปมือยักษ์สีแดงข้างหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับแรงกดดันจำนวนมหาศาลแล้วมวลพลังนั้นกำลังจะพุ่งตรงลงมา แล้วหมายจะทำลายเขตแดนให้สิ้นซาก
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เกิดเสียงคำรามดังมาแต่ไกล จนแม้แต่ท้องฟ้ายังต้องสั่นสะเทือน
คนผู้หนึ่งกระโดดออกมาจากม่านพลัง ที่แท้คนผู้นั้น ก็คือ หลงอ๋าวที่ถูกปลุกให้ตื่นจากการฝึกฝน
“ฉันรู้จักเขา ตอนที่ฉู่ชวิ๋นต่อสู้กับพวกสำนักสวรรค์ฟ้า เขาก็มากับฉู่ชวิ๋นด้วยพลังฝีมือของตาแก่คนนี้น่ากลัวมาก” ใครคนหนึ่งอุทานออกมา
“ดูเหมือนเขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับเก้าด้วยนะ”
“แต่ปรมาจารย์ระดับเก้า จะไปสู้กับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิได้เหรอ ?”
หลายคนกระซิบกระซาบ บางคนอยากรู้อยากเห็น บางคนก็นึกเป็นห่วงหลงอ๋าวขึ้นมา
ตอนแรกจักรพรรดิโลหิต คิดว่าคนผู้นี้คือฉู่ชวิ๋น แต่เมื่อได้ยินกลุ่มคนดูพูดคุยกันก็รู้แล้วว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาตามหา
“แกเป็นใคร ไปตามฉู่ชวิ๋นออกมาเดี๋ยวนี้” จักรพรรดิโลหิตพูด
หลังจากพูดจบ จักรพรรดิโลหิตก็พลิกฝ่ามือและกดลงล่าง มวลพลังรูปมือคนก็ร่วงลงมาจากอากาศต่อจากเดิมพร้อมเสียงคำราม
ใบหน้าของหลงอ๋าวเต็มไปด้วยความตึงเครียด มวลพลังรูปมือคนยังไม่ทันจะตกกระทบถึงพื้น หลงอ๋าวก็ถูกแรงกดดันเล่นงานจนหายใจไม่ออกแล้ว
นี่สินะความน่ากลัวของจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ หลงอ๋าวเข้าใจขึ้นมาโดยทันที
หลงอ๋าวโคจรพลังลมปราณทั่วร่างกายและแล้วในมือของเขาก็ปรากฏกระจกแปดเหลี่ยมบานหนึ่ง
มวลอากาศรอบตัวเขาปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นกระจกสีบรอนซ์แปดเหลี่ยมพร้อมกับสลักสีทองแพรวพราว เสียงมังกรคำรามดังออกมาจากกระจกบานนั้น ก่อนที่มังกรทองคำตัวหนึ่งจะพุ่งออกมาจากกระจกแล้วพุ่งตรงเข้าไปหามวลพลังรูปมือคนบนท้องฟ้า
เปรี้ยง!
พื้นดินสั่นสะเทือน แรงระเบิดแผ่รัศมีไปทั่วบริเวณ มวลอากาศสั่นไหวอย่างรุนแรง
ร่างกายของหลงอ๋าวถูกมวลพลังกระแทกเข้าอย่างแรง เขากระอักเลือดออกมาจากมุมปาก แม้ว่าอาวุธวิเศษของเขาจะสามารถหยุดการโจมตีเอาไว้ได้ แต่ฝีมือของจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิก็น่ากลัวเหลือเกิน ฝีมือของทั้งสองห่างชั้นกันมากเกินไป
นี่เปรียบเสมือนภูเขาหลายลูกที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ภูเขาเหล่านั้นจะมีคูน้ำแบ่งแยกพื้นที่ตามธรรมชาติ ไม่มีทางที่ภูเขาเหล่านั้นจะมาบรรจบพบเจอกันได้ งานนี้คงต้องมีแต่เพียงผู้ที่โกงชะตาฟ้าดินอย่างเช่น ฉู่ชวิ๋นเท่านั้น ถึงจะรับมือไหว
จักรพรรดิโลหิตดวงตาเป็นประกายขณะที่จ้องมองกระจกทองเหลืองในมือของหลงอ๋าว หลังจากนั้น
จักรพรรดิโลหิตก็ยกมือขึ้นมา อยากรู้เสียจริงว่าของสิ่งนี้คืออะไร ดวงตาของเขาปรากฏความละโมบขึ้นมาแล้ว
เมื่อจักรพรรดิโลหิตหมุนมือในอากาศ ลมหมุนสีแดงก็พุ่งออกมา มองไปเหมือนกับทะเลเลือดที่กำลังกลืนกินทุกอย่างด้วยความน่าหวาดกลัว
หลงอ๋าวตกตะลึงถึงขีดสุด รีบดีดตัวหมายกระโดดกลับเข้าไปหลังม่านพลัง แต่น่าเสียดายที่เขาตัดสินใจช้าไปเพียงก้าวเดียว
พลั่ก!
มวลพลังลมหมุนสีแดงของจักรพรรดิโลหิต พุ่งเข้ากระแทกใส่หลงอ๋าวเข้าอย่างจัง ในวินาทีนั้น ชายชราก็สะบัดฝ่ามือและปล่อยพลังลมปราณโจมตีสวนกลับไป
หลงอ๋าวสามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ก็ถูกกระแทกจนลอยกระเด็นไปไกล และกระจกแปดเหลี่ยมในมือก็ถูกอีกฝ่ายแย่งชิงเอาไปได้อย่างง่ายดาย
“แกเอาของข้าคืนมานะ!” หลงอ๋าวคำรามเสียงดัง
กระจกแปดเหลี่ยมบานนี้เป็นของขวัญจากมังกรโบราณ ถือเป็นของขวัญที่สวรรค์มอบให้กับเขา จะให้ใครแย่งชิงไปไม่ได้เด็ดขาด หลงอ๋าวโคจรพลังทั้งหมดแล้ว เตรียมทำการแย่งชิงกระจกกลับคืนมา
“คิดจะมาสู้กับฉัน ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่ไหม” จักรพรรดิโลหิตกล่าวอย่างดูถูก เขาโบกสะบัดมือจนปลายเสื้อคลุมปลิวไสวและในขณะเดียวกันนั้นเอง จักรพรรดิโลหิตก็ประกบมือเข้าด้วยกันสร้างเป็นคลื่นพลังซัดใส่หลงอ๋าวอีกครั้ง
พลั่ก!
หลงอ๋าวกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ในขณะที่ร่างปลิวกระเด็นไปเหมือนกับว่าวที่สายป่านขาด
ทุกคนไม่อยากเชื่อสายตา ปรมาจารย์ระดับเก้า มีความแข็งแกร่งแค่ไหนใครก็รู้ แต่เมื่อมาปะทะเข้ากับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ ก็เรียกได้ว่าพวกเขาคนละชั้นจริง ๆ
จักรพรรดิโลหิตมีสีหน้าเปี่ยมสุข เมื่อมองกระจกแปดเหลี่ยมในมือ หลังจากที่โคจรพลังลมปราณเข้าใส่กระจกแล้ว ตัวกระจกทองคำก็เปล่งแสงสว่างไสว พร้อมกับที่มีเสียงมังกรคำรามดังกังวานในอากาศ
“จงตายด้วยอาวุธของแกเองซะเถอะ!” จักรพรรดิโลหิตปล่อยมังกรออกมา มังกรทองคำพุ่งออกมาจากกระจกแปดเหลี่ยม ตรงเข้าใส่หลงอ๋าวด้วยความดุร้าย
เมื่อตกไปอยู่ในมือของจักรพรรดิโลหิต กระจกแปดเหลี่ยมบานนี้ ก็มีอานุภาพรุนแรงมากยิ่งขึ้นและมังกรที่กำลังพุ่งเข้าหาหลงอ๋าวก็มีความแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัว
กลุ่มคนดูพลันเบิกตาโต หรือว่าปรมาจารย์ระดับเก้าคนนี้ จะต้องมาตายด้วยอาวุธของตัวเอง ?
มังกรทองคำส่งเสียงคำราม ลำแสงสีทองสว่างไสว มันพุ่งเข้าใส่หลงอ๋าวราวกับสายฟ้าฟาด อีกเพียงนิดเดียวก็จะกระแทกถูกร่างกายแล้ว พลัน หลงอ๋าวก็หายวับไปกลางอากาศ
เปรี้ยง!
ส่วนมังกรทองคำกระแทกไปชนกับภูเขาที่ตั้งอยู่ห่างไปหลายร้อยเมตร แรงกระแทกทำให้เกิดเสียงดังสั่นสะเทือน ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันและฝุ่นผง ส่วนที่เป็นยอดเขาของภูเขาลูกนั้น ก็ถล่มทลายลงมาในพริบตา แต่เกิดอะไรขึ้นกับหลงอ๋าว ?
ทุกคนหันไปมองด้วยความประหลาดใจ ไม่มีใครรู้เลยว่าหลงอ๋าวหายตัวไปได้อย่างไร ?
จักรพรรดิโลหิตก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แม้แต่เขาเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหลงอ๋าวหายตัวไปได้อย่างไร
โฮก!
ในทันใดนั้นเอง เสียงคำรามเหมือนฟ้าคำรณก็ดังขึ้นกลางท้องฟ้า พื้นดินสั่นสะเทือน
ทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว และเห็นว่าท้องฟ้าเต็มไปด้วยลำแสงเป็นประกายแวววาว
ต้องใช้เวลาสักครู่ใหญ่กว่าที่ทุกคนจะมองเห็นว่า ลำแสงเหล่านั้นเปล่งประกายออกมาจากตัวงูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ส่วนหัวของมันมีขนาดเท่ากับภูเขาลูกเล็ก ๆ เมื่อมันก้มมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่าง ท้องฟ้าก็ถูกบดบังจนหมดสิ้น
“แม่เจ้า…” บางคนอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงสุดขีด ทุกคนหนังหัวชายิบ เสียวสันหลังวาบ น่ากลัวเหลือเกิน มีงูเหลือมที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ อยู่ในโลกตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
จักรพรรดิโลหิตก็ตกตะลึงไปกับการปรากฏตัวของงูเหลือมยักษ์อยู่ไม่น้อย เนื่องจากมันมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่โตเท่ากับภูเขาลูกหนึ่ง จึงทำให้ทุกคนรู้สึกตัวเล็กจ้อยไปทันที
“ทุกคนรีบหนีไป อยู่ให้ห่างจากที่นี่ไม่ต่ำกว่าห้ากิโลเมตร” ในขณะนั้น เสียงทุ้มต่ำของชายคนหนึ่ง ดังกังวานมาถึงหูของทุกคน
กลุ่มคนดูต่างก็อยากรู้อยากเห็น ว่าใครกันแน่เป็นผู้ที่พูดประโยคนี้ออกมา แล้วทุกคนก็ได้เห็นชายชราคนหนึ่งที่สวมใส่มงกุฎ ยืนอยู่บนหัวของงูเหลือมยักษ์ตัวนั้น
กลุ่มคนดูต่างก็ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากงูเหลือมยักษ์มีขนาดตัวใหญ่มาก จึงทำให้มองไม่เห็นชายชราคนนี้ตั้งแต่แรก
คนหนึ่งคนกับ งูหนึ่งตัว ก็คือ จักรพรรดิอ๋าวฮวงและจิ่วโยวที่เดินทางไกลมานั่นเอง ไม่สิ ต้องพูดว่าคนหนึ่งคนบนงูหนึ่งตัวต่างหาก
ในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังจักรพรรดิอ๋าวฮวง พวกเขาก็ได้เห็นสิ่งที่น่าประหลาดใจอีกครั้ง
งูเหลือมตัวใหญ่ยักษ์ที่น่ากลัวแทบตายนั้นอยู่ดี ๆ ก็อ้าปากกว้างและเริ่มอาเจียนออกมา แต่ถึงจะบอกว่าเป็นการอาเจียน แต่สิ่งที่มันสำรอกออกมา ก็มีเพียงแค่ลำแสงสว่างไสวเท่านั้น
จักรพรรดิอ๋าวฮวงกระโดดลงมาจากหัวงู และหันไปมองจิ่วโยวด้วยสายตาเหนื่อยใจ
“ขออภัย!” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วโยวพูดออกมาสื่อได้ชัดเจนว่า มันกำลังอับอายอยู่ไม่น้อย ความจริงแล้วมันกำลังโกรธ แต่ก็ไม่กล้าทำตัวแข็งข้อกับจักรพรรดิอ๋าวฮวง
ในที่สุด จิ่วโยวก็ได้รู้แล้วว่าการบินบนท้องฟ้ามันเป็นยังไง มันให้ความรู้สึกเหมือนตนเองเป็นสายรุ้งท่ามกลางแสงอาทิตย์ เพียงพริบตาเดียวก็สามารถเคลื่อนที่ได้หลายร้อยกิโลเมตร
จากเมืองหลวงมายังเมืองกู่เจียง เครื่องบินยังต้องใช้เวลาเดินทางกว่าห้าถึงหกชั่วโมง แต่จักรพรรดิอ๋าวฮวงมาถึงจุดหมายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น
จิ่วโยวรู้สึกเวียนหัวและอาเจียนออกมาอีกครั้ง
จักรพรรดิอ๋าวฮวงส่ายศีรษะและบ่นพึมพำว่า จิ่วโยวช่างใจเสาะเหลือเกิน หลังจากนั้น จักรพรรดิอ๋าวฮวง ก็หันหน้าไปมองจักรพรรดิโลหิตและเดินเข้าไปหาทีละก้าว
“เอาคืนมา!”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงจ้องมองกระจกแปดเหลี่ยมที่อยู่ในมือของจักรพรรดิโลหิต
ดวงตาของจักรพรรดิโลหิตเปร่งประกาย เขาตรวจสอบแล้วไม่มีมวลพลังลมปราณลอยออกมาจาก ร่างของจักรพรรดิอ๋าวฮวงเลยสักนิดเดียว แต่อีกฝ่ายกลับทำให้จักรพรรดิโลหิตรู้สึกขนลุกมากในทุกย่างก้าวที่เดินใกล้เข้ามาอย่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก!