บทที่ 225 ต้องการต่อรองอะไรกับฉัน![รีไรท์]
ฉู่ชวิ๋นรีบออกมาจากบ้าน มุ่งตรงไปยังเส้นชีพจรวิญญาณ
โลกเปลี่ยนไป พื้นดินขยายออก ระยะห่างจากภูเขาเฉียนหลง ไปยังจุดชีพจรวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว แต่ก่อนตอนที่ฉู่ชวิ๋นยังฝึกพลังลมปราณอยู่ การเดินทางครั้งหนึ่งใช้เวลาไปสองชั่วโมง
ในตอนนี้แม้ความสามารถของเขาจะเพิ่มขึ้น ความเร็วเหนือกว่าเสียงสามเท่า แต่เขาก็ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงเพราะโลกก็ขยายตัวออกไปอยู่ดี
เมื่อเข้าไปใกล้ชีพจรวิญญาณ ฉู่ชวิ๋นมองไปแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ ตอนนี้ชีพจรวิญญาณสูงตระหง่านเกินไปแล้ว ขยายออกไปหมื่นลี้สุดลูกหูลูกตา
ยิ่งไปกว่านั้นฐานของชีพจรวิญญาณยกตัวขึ้น ฉู่ชวิ๋นปีนก้อนหินขึ้นไปแล้วดีดตัวขึ้นไปให้ถึงยอด
บนยอดหินของชีพจรวิญญาณ แววตาของฉู่ชวิ๋นแข็งทื่อเล็กน้อย จากที่เห็นสิ่งปลูกสร้างตระการตาตรงหน้า
“ดูเหมือนพวกนั้น จะเจอกับชีพจรวิญญาณสินะ” ฉู่ชวิ๋นพึมพำ สภาพพื้นดินเปลี่ยนไปมาก ถ้าคนจะมาเจอชีพจรวิญญาณก็ไม่แปลก เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ คือคนเหล่านี้ตัดชีพจรวิญญาณไปได้ยังไง ?
เฉินฮั่นหลงและคนอื่น ๆ ที่กำลังฝึกฝนอยู่นั้น ต่างดูดพลังมาจากชีพจรวิญญาณนี้เพื่อฝึกวิชา แต่ชีพจรวิญญาณที่นี่ถูกหั่นออกไปทำให้จิตวิญญาณของพวกเฉินฮั่นหลงอ่อนแรง พวกเขาที่กำลังฝึกฝน ต่างก็ไม่รู้ตัวและสิ่งนี้อาจทำให้พวกเขาไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยก็เป็นได้
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกกลัวหลังจากคิดเรื่องนี้ แต่จู่ ๆ เขาก็ก้าวไปข้างหน้า
“นายเป็นใคร ?” ชายฉกรรจ์ใส่เครื่องแบบกลุ่มหนึ่งเห็น ฉู่ชวิ๋นจึงถามขึ้น
ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้ว “พวกแกล่ะ เป็นใครกัน ?”
ชายร่างกายกำยำคนหนึ่งตะโกนออกมากึกก้อง “ฟังให้ดีนะ พวกเราคือศิษย์สำนักจิตวิญญาณอสรพิษ แกล่ะเป็นใครกัน ?”
“ฉันมาหาเจ้าสำนักของแก” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
คนกลุ่มหนึ่งตะลึงเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนท่าที่เป็นสุภาพมากขึ้น คนหนึ่งในนั้นพูดออกมา “นายรู้จักเจ้าสำนักของเราเหรอ ?”
ฉู่ชวิ๋นส่ายหัว กล่าวว่า “ไม่รู้จัก ฉันเลยจะมาถามอะไรหน่อย”
“ไม่รู้จักแต่ก็จะมาถาม เจ้าสำนักเราเลยเหรอ คิดว่าตัวเองเป็นใครหะ ?”
“ฉัน ฉู่ชวิ๋น”
“ฉู่ชวิ๋นใครวะ ? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” คนในนั้นคนหนึ่งสบประมาทออกมา
“มาทางไหนก็ไปทางนั้นเถอะ เจ้าสำนักของพวกเรายุ่งมาก ไม่มีเวลามามองแกหรอก” ฉู่ชวิ๋นหน้านิ่ง เพราะยังไงเขาก็ไม่ใส่ใจกับคนพวกนี้ เลยพูดออกไปอย่างไม่แยแส
“จะมีหรือไม่มีเวลามามองฉัน พวกแกก็ควรจะไปบอกเขาก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน ?”
“ฉันบอกแล้วไง เจ้าสำนักของพวกเรายุ่งมาก แกทำมาเป็นใจเย็นเด็ดเดี่ยวแบบนี้ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนลงไม้ลงมือไปล่ะ!”
ตู้ม!
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงพื้น ทำให้พื้นดินระเบิดออกมา จนเกิดเป็นรอยแตกทางยาวหลายเมตร
“รีบไปบอกมันซะ” ฉู่ชวิ๋นเริ่มโมโหแล้ว
“แกกล้าทำวางมาดในสำนักจิตวิญญาณอสรพิษถิ่นของเราเลยงั้นเรอะ !?” คนในนั้นสบถออกมา คนกลุ่มนี้ไม่รู้สึกเกรงกลัว แค่กระทืบเท้าพื้นสั่น นี่มันก็แค่เรื่องขี้เล็บปรมาจารย์พวกเขาก็ทำได้
ปรมาจารย์ในสำนักจิตวิญญาณอสรพิษมีอยู่เป็นร้อย เจ้าสำนักก็เป็นถึงขั้นจักรพรรดิ ดูจากอายุของฉู่ชวิ๋นแล้ว เหมือนกับเด็กแรกเกิดเพิ่งจะฝึกวิชา ยังเทียบไม่ได้กับขั้นปรมาจารย์ระดับหนึ่งหรือสอง ไม่ได้ด้วยซ้ำ มีอะไรต้องให้กลัวล่ะ ?
“เด็กน้อยเอ๋ย กล้ามาดอย่างดีถึงหน้าประตูสำนักจิตวิญญาณอสรพิษแบบนี้ ฉันว่านะแกแกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้วว่ะ” หนึ่งในหมู่ชายฉกรรจ์ขำออกมา จากนั้นก็พูดจากระโชกโฮกฮากออกไปว่า “โจมตีมันเลย!”
ถึงเขาจะไม่ได้มีฝีมือมากแต่ฝีปากดีแน่นอน เขากระตุ้นพลังลมปราณออกมาตอนที่พูด เชื่อว่าคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดจะต้องได้ยิน ทันใดนั้นเงากลุ่มหนึ่งก็ปรากฏทันที
“ใครที่ไหนกล้าอวดดีในสำนักจิตวิญญาณอสรพิษของฉัน ?” ตัวยังไม่มา แต่เสียงนำมาก่อน
ไม่นานนักก็มีจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์สิบกว่าคนเดินเข้ามา
“ศัตรูอยู่ที่ไหน ?” จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับแปด ถามขึ้นมา ชายฉกรรจ์ที่เป็นคนตะโกนรีบโค้งคำนับ เขาชี้นิ้วไปที่ฉู่ชวิ๋น “เรียนท่านผู้อาวุโส เขาคนนี้ขอรับ”
กลุ่มจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์มองไปตามนิ้วก็เห็นฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วอยู่
“แกเป็นใครกัน ?” จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับแปด ถามออกมา
“ฉู่ชวิ๋น” ฉู่ชวิ๋นพูออกมาอย่างไม่แยแสใด ๆ
“แกว่าแกคือฉู่ชวิ๋นงั้นเหรอ ?” ฝั่งนั้นพูดออกมาเสียงหลง ทำเอาตกตะลึงกันไปหมด ฉู่ชวิ๋น มองอย่างเฉื่อนชา
จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์สำนักจิตวิญญาณอสรพิษ เหล่านี้ตกใจกันจนตัวสั่น แต่ยังมีความรู้สึกโลภและตื่นเต้นบางอย่างที่ทำให้พวกเขาสงบลง
“แกคือจอมมารฉู่จริงเหรอ ?” มีคนถามด้วยความไม่มั่นใจ
ครั้งนี้ฉู่ชวิ๋นเงียบ ผ่านไปสักพักถึงจะเอ่ยปาก “พวกแกดูท่าทางจะดีใจมากนะที่เห็นฉัน ทำไม ?” จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์กลุ่มนี้เลิกลั่กเล็กน้อย เมื่อเผชิญหน้ากับฉู่ชวิ๋น พวกเขายิ่งไม่กล้าลองดี ว่ากันว่าเมื่อสิบห้าปีที่แล้วจอมมารฉู่ฆ่าขั้นปรมาจารย์ระดับเก้าลงได้ ตอนนี้เขายิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นไปอีก
พวกเขาฉลาดที่เลือกทำให้ฉู่ชวิ๋นใจเย็นลง แล้วไปแจ้งเรื่องให้หวังอันรู้
“ชื่อเสียงของจอมมารฉู่เหมือนดั่งฟ้าผ่าข้างหู วันนี้ได้มาเจอ เหมือนกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ดีใจแบบบอกไม่ถูก” จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ที่พูดออกมานามว่า เหมียวจิ้งเยวี่ยน ทักษะการฝึกฝนของเขาถือว่าสูงที่สุดแล้ว และอีกไม่นานเขาน่าจะก็ก้าวข้ามไปสู่จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ระดับเก้า
ฉู่ชวิ๋นนิ่งเงียบ จ้องมองไปที่เหมียวจิ้งเยวี่ยนด้วยรอยยิ้ม“ฉันมีเรื่องจะถาม พอถามเสร็จก็จะไป” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
เหมียวจิ้งเยวี่ยนนิ่งเงียบไป แล้วทำท่าคารวะแบบจีน “ท่านฉู่โปรดถามมาได้เลย”
“พวกนายเจอชีพจรวิญญาณที่นี่เหรอ ?” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างตรงไปตรงมา เหมียวจิ้งเยวี่ยนและกลุ่มปรมาจารย์อึ้งเล็กน้อยสักพัก แววตาเป็นประกายและยิ้มออกมา
“ท่านฉู่ ชีพจรวิญญาณหมายถึงอะไรครับ ? ผมเพิ่งจะเคยได้ยิน” ฉู่ชวิ๋นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วผงกหัว
“แบบนี้นี่เอง งั้นฉันไปก่อนแล้วกัน” พอพูดจบฉู่ชวิ๋นก็หันหลังกลับไป
“จอมมารฉู่ พักที่นี่ก่อนเถิด วันนี้คุณน่าจะกลับไม่ได้แล้วล่ะ” มีเสียงหนึ่งโพล่งออกมาเหนือศีรษะของฉู่ชวิ๋น และแฝงด้วยความดูถูก จากนั้นร่างนับสิบก็มารวมตัวกัน
ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมอง จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความเหยียดหยาม “ฉันจะไป ใครกล้าห้าม ?” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ทำเอาคนที่นั่นตะลึงตัวค้างไปสักพัก
“ฉู่ชวิ๋น ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่แกจะมาโอหังนะ” ปรมาจารย์ระดับเก้า คนหนึ่งพูดเยาะเย้ยออกมา
“โอ๊ะ ๆ อยากลองดีสินะ แกคิดว่าแกสู้ฉันได้งั้นเหรอ ?” น้ำเสียงของฉู่ชวิ๋นดูเฉยเมยไม่แยแส
“แก…” ปรมาจารย์ระดับเก้า มีสีหน้าโกรธออกมา แต่ก็ยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “สมกับเป็นจอมมารฉู่ เย่อหยิ่งไม่มีใครเทียบ แกคงจะรู้จักกับตาแก่คนหนึ่งดีสินะ เขาอยู่ในเงื้อมมือของพวกฉัน ดูเหมือนตัวเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแกนะ” ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วสงสัย ตาแก่คนไหน ?
ในอึดใจต่อมา ภายในจิตใจของเขา ก็ปล่อยคลื่นพลังราวกับสายน้ำสำรวจพื้นที่ โดยรอบอย่างละเอียดกว่าหลายพันเมตร
สายตาของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาเห็นหลงอ๋าวอยู่ที่นี่
“ปล่อยเขาซะ” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมา น้ำเสียงเย็นยะเยือก
“คำพูดช่างดูยิ่งใหญ่นัก แต่แค่บอกให้ปล่อย แกคิดว่า….” ปรมาจารย์ระดับแปด ยังพูดไม่จบ ตาสองข้างก็เบิกโพลงในทันที เขาไม่พูดต่อไม่สิไม่อาจพูดออกมาได้แล้วต่างหาก
ตู้ม!
หน้าอกของเขาระเบิดเลือดสาดกระจาย หน้าอกเป็นรูใหญ่ทะลุมองเห็นอีกฝั่ง
ใบหน้าของปรมาจารย์ระดับเก้า ตื่นตระหนก ตาสองข้างเบิกกว้าง ร่างกายร่วงลงไปกับพื้นแบบไม่รู้ตัว ทุกคนตัวแข็งทื่อ ไม่คิดว่า จู่ ๆ ฉู่ชวิ๋นจะปล่อยพลังออกมาแบบนี้
“ฉู่ชวิ๋น แกกล้าก่อเรื่องที่นี่เชียวงั้นเรอะ !?” เหมียวจิ้งเยวี่ยนตะโกนออกมาด้วยความโมโห แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ต้องรู้สึกตกใจจนกรีดร้อง เพราะพบว่าฉู่ชวิ๋นวิ่งตรงมาหาเขาแล้ว พร้อมกับกำปั้นที่มีควันสีม่วงล้อมรอบ
“แกช่างกล้านักนะ” ปรมาจารย์ระดับเก้า คนหนึ่งโมโห คันไม้คันมือปล่อยฝ่ามือมรณะใส่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นอาศัยความเร็วซัดพลังสวนกลับไป
ตู้ม!
พลังลมปราณพัดผ่าน ฝ่ามือยักษ์โดนระเบิด ทำใหเหล่าปรมาจารย์ที่อยู่ใกล้เคียง โดนพลังลมปราณกวาดกระเด็นไปไกล พร้อมส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น
ฝ่ามือยักษ์แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เงาของฉู่ชวิ๋นหายวับไปในพริบตา
พริบตาเดียวก็ไปอยู่ตรงหน้าเหมียวจิ้งเยวี่ยน หมัดของเขารวดเร็วดั่งสายฟ้า เหมียวจิ้งเยวี่ยนหวาดกลัวสุดหัวใจ เมื่อสิบห้าปีที่แล้วฉู่ชวิ๋น ก็สามารถฆ่าปรมาจารย์ระดับเก้าได้อย่างเลือดเย็น หากเขาจะฆ่าปรมาจารย์ระดับแปด ย่อมง่ายราวกับฆ่ามดฆ่าแมลง
ความตายกำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว หนียังไงก็ไม่พ้น พลังในตัวเหมียวจิ้งเยวี่ยนระเบิดออกมา เขาคำรามเสียงดัง ยกกำปั้นทั้งสองข้างขึ้น
ปั้ง….ตู้มมมม…!
แขนสองข้างของเหมียวจิ้งเยวี่ยน โดนฉู่ชวิ๋นรัวหมัดใส่กลายเป็นหมอกเลือด ช่องอกบุบลงไปกระดูกซี่โครงถอยไปรวมกับกระดูกสันหลังตายคาที่ “เด็กนี่จองหองนัก!!”
ปรมาจารย์ระดับเก้า คนหนึ่งเสียสติไปแล้ว หน้าตาเกรี้ยวกราดเมื่อเห็น ฉู่ชวิ๋นฆ่าเหมียวจิ้งเยวี่ยนแบบนี้ มันหยามหน้ากันชัด ๆ
“ไปตายซะ!!”
เขาคำรามออกมาอย่างดุเดือด พลังจากหมัดของเขารายล้อมไปด้วยลมปราณที่น่ากลัว ตามไปบดขยี้ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นหันตัวกลับมาและยกกำปั้นขึ้น กลุ่มควันสีม่วงระเบิดออกมาจากกำปั้น ซึ่งควันสีม่วงลอยไปหาปรมาจารย์ระดับเก้า ที่กำลังวิ่งเข้ามา
ปัง!
ท้องฟ้าปรากฏเป็นฝนเลือด แขนของอีกฝ่ายระเบิดออกมา กลุ่มควันสีม่วงลอยไปอย่างสม่ำเสมอ แทรกตัวเข้าไปที่ช่องอกของเขา
ตู้ม!!
เสียงระเบิดดังก้อง ภูเขาสั่นสะเทือน หมอกเลือดพลุ่งออกมา ท่อนบนของปรมาจารย์ระดับเก้า ระเบิดออก และตายแบบไม่รู้จะตายยังไงแล้ว
ทุกคนรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อพยายามถอยให้ห่างไกลจากฉู่ชวิ๋น
หน้าตาทุกคนแข็งทื่อ ตื่นตระหนก พริบตาเดียวก็ฆ่าปรมาจารย์ถึงสามคน และหนึ่งในนั้นมีปรมาจารย์ระดับเก้าอยู่ด้วย
พอมาถึงเวลานี้ พวกเขาถึงจะเข้าใจ จอมมารฉู่ นี่ไม่ใช่ฉายาที่ได้มาง่าย ๆ
ฉู่ชวิ๋นมองอย่างนิ่ง ๆ สายตาเย็นชา เขามองดูไปที่กลุ่มคนที่กำลังเงียบงัน เขากวาดต้อนพวกมันกลับเข้าไปข้างในสำนักจิตวิญญาณอสรพิษ
ที่จุดชีพจรวิญญาณ หวังซุนคุยโทรศัพท์เสร็จ หน้าตาดูกระวนกระวายเล็กน้อย
“เกิดเรื่องอะไร ?” หวังอันมองไปที่ลูกเขา
“ท่านพ่อ ฉู่…ฉู่ชวิ๋นมาแล้ว” หวังซุนกัดฟันกรอด “เขาฆ่าปรมาจารย์ของพวกเราไปสามคน” หวังอันตะลึง สติเตลิด และจากนั้นทั้งอากาศรอบตัวทั้งสี่ทิศก็ระเบิด เพราะพลังของเขา
หลงอ๋าวที่กำลังท้อแท้สิ้นหวัง เมื่อได้ยินคำว่าฉู่ชวิ๋นสายตาก็กลับมาเป็นประกายโชติช่วง บอกได้เลยว่าเขาตกตะลึงและตื่นเต้นมากเลยทีเดียว
สายฟ้าสีขาวพุ่งทะลุท้องฟ้า ทำให้เกิดเสียงแหลมแสบแก้วหู ดวงตาของหวังอันหดตัว ความเร็วขนาดนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ
ฉู่ชวิ๋นหยุดร่างของเขา มองหวังอันที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านผู้แข็งแกร่งผู้นี้คือฉู่ชวิ๋นสินะ ?” หวังอันถาม
ฉู่ชวิ๋นไม่แยแส สายตามองหลงอ๋าวที่กำลังอ่อนโรยด้วยสายตาเยือกเย็น
“ไอ้เด็กฉู่ ข้าดีใจที่ได้เจอเอ็งนะ” หลงอ๋าวยิ้มกว้างแล้วพูดออกมา
ฉู่ชวิ๋นยิ้มแล้วบอกว่า “ผมก็เหมือนกัน”
จากนั้นเขาก็เพ่งเล็งไปที่ตัวของหวังอัน และพูดนิ่ง ๆ “ปล่อยเขาซะ”
หวังอันขำคิกคัก “แลกกับอะไร ?”
“ปล่อยเขาไป ฉันจะไว้ชีวิตแก”
หวังอันรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม เขาหัวเราะออกมาดังลั่น
“สมกับที่เป็นจอมมารฉู่! ตัวฉันเมื่อสิบห้าปีที่แล้วก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแกมามาก จอมมารฉู่ เทพแห่งความตาย ฉู่ชวิ๋นผู้ไร้ความปรานี”
แม้ว่าหวังอันจะพูดสบประมาทฉู่ชวิ๋นออกมา แต่ในใจกลับรู้สึกเกรงกลัว เพราะถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ถึงระดับพลังของฉู่ชวิ๋นอย่างชัดเจนและเขาสัมผัสถึงลมปราณของอีกฝ่ายไม่ได้เลย นี่มันแปลกเกินไป ดังนั้นเขาเลยใช้พลังล็อกตัวหลงอ๋าว แน่นขึ้น ขอแค่ฉู่ชวิ๋นขยับเพียงนิดเดียว เขาก็จะปิดเกมนี้ด้วยชีวิตของหลงอ๋าว
“ฉู่ชวิ๋น เรามาแลกเปลี่ยนอะไรกันหน่อยดีไหม ?” หวังอันกล่าว
“แลกเปลี่ยนอะไร ?”
“บอกวิธีที่ทำให้แกเข้าไปในเขตแดนนี้ได้มา และส่งคัมภีร์ความลับฟ้ามาให้ฉัน ฉันจะปล่อยเขาไปหลังจากนี้ น้ำในบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แกคิดว่ายังไง ?” หวังอันถาม
ฉู่ชวิ๋นครุ่นคิดสักพักจากนั้นก็กล่าวว่า “เป็นการแลกเปลี่ยนที่ดี ฉันตกลง” แววตาหวังอันร่าเริง รีบเปลี่ยนท่าทีอ่อนโยนลงทันที
“เถรตรง รวดเร็วจริง งั้นส่งคัมภีร์ความลับฟ้ามาก่อน”
“ถ้าฉันให้ไปแล้วแต่แกไม่ทำตามคำพูดล่ะ ?”
หวังอันสูดหายใจรวบรวมสมาธิ จากนั้นมองหยอกล้อฉู่ชวิ๋น กล่าวว่า “ฉันว่าแบบนี้มันดูเท่าเทียมดีแล้วนะ เพราะแกไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!!!” พอพูดจบก็หวังอันแทงไปที่หลงอ๋าวอย่างไม่บอกไม่กล่าวใด ๆ ฉู่ชวิ๋นนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นก็หัวเราะเบา ๆ
“หึหึ ดูเหมือนว่าฉันจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสิ”