บทที่ 265 สอบปากคำ
คืนนั้น กลุ่มคนจากประตูวิญญาณสลายและกลุ่มชายฉกรรจ์ชาวต่างชาติ ต่างถูกนำตัวพากลับไปยังค่ายทหาร
“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าพวกแกวางแผนอะไรอยู่?” ในสนามฝึกซ้อมของค่ายทหาร ฉู่ชวิ๋นจ้องมองโม่เฉิงจุนและพวกพ้องที่ถูกควบคุมตัวอยู่ข้างหน้าด้วยสายตาเย็นชา
“พวกเรามาเพราะซากปรักหักพังโบราณที่อยู่นอกเมือง” โม่เฉิงจุนอยู่ในสภาพกระดูกสันหลังหัก ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ กลุ่มทหารก็ไม่ได้เบามือกับเขาเลย สภาพของโม่เฉิงจุนในตอนนี้จึงย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
ฉู่ชวิ๋นพูด “ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่า ฉันไม่ใช่คนดี ถ้าอยากตายสบาย ๆ ก็ บอกมา แต่ถ้าคิดว่าตัวเองกะโหลกหนาตายช้า ก็จงมองรอบ ๆ ตัวดูให้ดีๆ เสียก่อน”
โม่เฉิงจุนจ้องมองชายหนุ่มด้วยความหวาดกลัวจนเหงื่อท่วมตัว นายทหารที่อยู่รอบตัวเขามีแต่แววตาโกรธแค้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พร้อมที่จะพุ่งเข้ามาถลกหนังเลาะกระดูกโม่เฉิงจุนได้ทุกเมื่อ
ในขณะนี้ ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถช่วยเหลือเขาได้แล้วจริงๆ
กลุ่มนินจาหรือซามูไรญี่ปุ่นที่โจมตีค่ายทหารครั้งก่อน ทำให้มีทหารเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก แม้แต่นายทหารระดับสูงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไฟแค้นจึงสุมอยู่ในใจของนายทหารเหล่านี้มาตลอด
“พวกเรามาเพราะซากปรักหักพังโบราณนอกเมืองจริงๆ”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชา รังสีอำมหิตแผ่ออกมาตั้งแต่ไกล
“นายท่านกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมจะสอบปากคำพวกมันต่อเอง รับรองว่าก่อนรุ่งสาง พวกเราต้องได้คำตอบแน่นอน” เหลยเป้าพูด
ฉู่ชวิ๋น พูดออกมา “ก็ได้ หน้าที่นี้ใครๆ ก็ทำได้ เชิญพวกนายสอบปากคำพวกมันตามสบาย”
น้ำเสียงของฉู่ชวิ๋นราบเรียบ แต่ทำให้เหลยเป้าตื่นเต้นจนตัวสั่นเทา ในเขตโรงงานย่านตะวันตกของตัวเมือง เมื่อพวกเขาลงไปตรวจค้นอุโมงค์ใต้ดิน ก็ได้พบว่ามีสิ่งอื่นอยู่ด้วย สิ่งนี้ทำให้ทุกคนโกรธแค้นมากเพราะภายในอุโมงค์ใต้ดินมีเด็กสาวถูกจับตัวมากักขังไว้หลายสิบคน ทุกคนล้วนแล้วแต่อายุยังน้อย บางคนน่าจะยังเป็นเด็กเยาวชนอยู่ด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินคำสั่งของฉู่ชวิ๋น ทุกคนจึงตื่นเต้นมาก ดวงตาของบรรดานายทหารเป็นประกายระยิบระยับเหมือนหมาป่าอยากขย้ำเหยื่อ
ชายชาติทหารเกลียดชังสิ่งใดมากที่สุด? คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพวกขายชาติ! ประตูวิญญาณสลายร่วมมือกับชาวญี่ปุ่น จับตัวเด็กสาวไปสนองกามอารมณ์ของพวกวิปริต เมื่อรวมกับข้อหาโจมตีค่ายทหารแล้วคนพวกนี้จึงสมควรถูกนำตัวมาสับเป็นพัน ๆ ชิ้น
นายทหารผู้หนึ่งที่มีดวงตาแดงก่ำ เดินเข้าไปจับนิ้วมือของนินจาญี่ปุ่นคนหนึ่งมาหักทิ้งทันที
“@#¥%……” นินจาญี่ปุ่นผู้นั้นตาเหลือก พูดออกมาด้วยภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ
แต่ดูจากสีหน้า นั่นย่อมไม่ใช่ถ้อยคำที่ดีแน่นอน
ผลั่ก!
หมัดลุ่นๆ กระแทกซ้ำเข้าไปเต็มปาก เลือดเป็นสายไหลทะลักออกมา ริมฝีปากของนินจาญี่ปุ่นบิดเบี้ยว ฟันหลายซี่กระเด็นหลุดออกมา
“ไอ้พวกต่ำช้า ฉันจะให้แกได้เรียนรู้ความเจ็บปวดบ้าง” นายทหารตาแดงตบหน้านินจาญี่ปุ่นเสียงดังสนั่น
สุดท้ายแล้ว นินจาญี่ปุ่นก็ปากแตก ตาเหลือกค้างและหมดสติไปในที่สุด
ซ่า!
ถังน้ำเย็นๆ ถูกราดลดลงมาบนหัวของเขา เพื่อปลุกให้ฟื้นสติขึ้นมาอีกครั้ง
ผลั่ก!
แต่ก่อนที่นินจาผู้นั้นจะได้สติ เท้าของใครบางคนก็กระทืบลงมาบนใบหน้าของเขา จนเลือดสาดกระจาย ปรากฏเป็นรอยรองเท้าประทับเด่นหราอยู่บนใบหน้าครึ่งหนึ่ง
กลุ่มนินจาคนอื่นๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกัน ในขณะนี้ ทุกคนต่างถูกกลุ่มทหารรุมสหบาทากันอย่างพร้อมอกพร้อมใจ
แต่ในทันใดนั้นเอง เหลยเป้าและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็ร้องบอกให้หยุด
“หยุดก่อน!” ปันจือหาวไม่สามารถปล่อยให้เหตุการณ์เลยเถิดไปมากกว่านี้ได้ บรรดานายทหารรีบทำตามคำสั่งทันที “พวกนายนี่มันใจร้อนวู่วามเกินไปจริงๆ เราจะรีบฆ่ามันไม่ได้ จนกว่าจะรู้ว่าพวกมันวางแผนอะไรอยู่ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วครับ!” บรรดานายทหารรับคำอย่างพร้อมเพียง
หลังจากนั้น การสอบปากคำจึงกลับมาดำเนินต่ออีกครั้ง
“บอกมา พวกแกมาทําอะไรที่ประเทศจีน?”
โม่เฉิงจุนกำลังจะอ้าปากตอบ รองเท้าคอมแบทขนาดใหญ่ก็กระทืบลงมาบนปากของเขา
“ไอ้ชาติชั่ว ช่วยเหลือคนต่างชาติมาทำร้ายเพื่อนร่วมชาติได้ยังไง แกมันเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกวางแผนอะไรอยู่?”
“ฉัน…”
ผลั่ก!
กำปั้นหนักๆ กระแทกเข้าไปที่ลำคอของโม่เฉิงจุน ทำให้เขาพูดไม่ได้
พลัน ปันจือหาวออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “พอได้แล้ว ทุกคนถอยมาก่อน”
ทำตามคำสั่ง ห้ามถาม นี่คือสิ่งที่บรรดานายทหารได้รับการปลูกฝังมาตลอด ถึงอยากจะถามสักเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่มีวันได้ถาม
โม่เฉิงจุนอยากจะร้องไห้เต็มทีแล้ว ปากของเขาบิดเบี้ยว ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด เมื่อสักครู่นี้ไม่รู้เลยว่าใครกันอาศัยจังหวะชุลมุน เตะผ่าหมากเขาอย่างจัง เจ็บสะท้านสะเทือนไปถึงตับไตไส้พุงเลยทีเดียว
คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่า ถ้ายังคงถูกซ้อมอยู่แบบนี้ เขาต้องตายแน่ที่สำคัญก็คือฉู่ชวิ๋นปิดผนึกพลังของเขาเอาไว้ ทำให้โม่เฉิงจุนไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้นั่นเอง
บรรดานายทหารถอยกลับไปยืนดูอยู่ห่างๆ แล้ว
เหลยเป้าเดินเข้ามาและกระชากตัวนินจาคนหนึ่งลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะยิงฟันยิ้มกว้าง “บอกมานะ พวกแกตั้งใจมาทําอะไรที่ประเทศจีน?”
แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ตอบกลับมาด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจ เหลยเป้ารู้สึกหงุดหงิดจนเผลอต่อยหมัดใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความรุนแรง จนศีรษะของนินจาผู้นั้นแตกกระจายเหมือนกับลูกแตงโมไปในทันที
“อ้าว…โทษทีๆ ไม่ได้ตั้งใจ ฮ่าๆ ไม่ได้ตั้งใจ…”
เหลยเป้าพูดจบก็ดึงตัวนินจาญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งขึ้นมา ถามว่า “แกพูดภาษาจีนได้หรือเปล่า?”
“@#¥%……”
“อะไรกันวะ พูดภาษาจีนก็ไม่ได้ แต่กล้ามาทำเรื่องเลวร้ายบนแผ่นดินจีนได้ยังไง”
ขาดคำ ได้ยินเสียงดังแคว่ก เลือดสาดกระจายในอากาศแขนของนินจาคนนั้นก็ถูกเหลยเป้าฉีกกระชากขาดออกจากลำตัว
“มีใครพูดภาษาจีนได้บ้างไหม?” เหลยเป้ายิ้มกว้างขณะที่กวาดตามองกลุ่มนินจาญี่ปุ่น
กลุ่มนินจาหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาพยายามตะกายไปข้างหลัง เหมือนอยากจะอยู่ให้ห่างไกลจากเหลยเป้ามากที่สุด
“คุณทหาร ช่วยหาล่ามแปลภาษามาสักคนสิ หรือว่าคุณเข้าใจภาษาของพวกมันไม่ทราบ?” เหลยเป้าหันไปจ้องมองที่ปันจือหาว
เอ่อ…ปันจือหาวถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
“ผมเข้าใจภาษาญี่ปุ่นครับ” นายทหารคนหนึ่งส่งเสียงขึ้น
ทุกคนพากันหันไปมองที่นายทหารคนนั้นด้วยความประหลาดใจ แม้แต่ฉู่ชวิ๋นเองก็ด้วย ถ้าจำไม่ผิด นายทหารคนนี้เป็นคนเริ่มต้นเปิดฉากการตะลุมบอน ก่อนที่กลุ่มนินจาจะได้มีโอกาสพูดอะไรเสียอีก
แต่เมื่อถูกคนจำนวนมากจ้องมองมาแบบนี้ ใบหน้าของนายทหารหนุ่มผู้นั้นก็เกิดความวิตกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“นายเข้าใจภาษาญี่ปุ่นได้ยังไง?” เหลยเป้าถามด้วยความสงสัย
“ผม…ผมชอบดูหนังญี่ปุ่นครับ ก็เลยเรียนภาษาญี่ปุ่น” นายทหารหนุ่มตอบกลับมาหน้าเครียด
หลายคนยังคงมองเขาด้วยความสงสัย
“หนังญี่ปุ่นพูดน้อยกันจะตาย ในฉากก็ไม่เห็นมีอะไรตัวละครก็มีแค่ไม่กี่ตัว เนื้อเรื่องก็ราบเรียบ พูดกันอยู่แค่สองสามคำเท่านั้น แค่นี้ถึงกับต้องไปเรียนภาษาด้วยเหรอ?” เหลยเป้ายังคงไม่คลายความสงสัย
แต่หลังจากที่เหลยเป้าพูดจบ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเหลยเป้ารู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาชอบกล จนต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า
“อ่าๆ งั้นเดี๋ยวนายมาเป็นล่ามให้ฉันก็แล้วกัน” เหลยเป้าพูดจบก็หันไปมองหน้าโม่เฉิงจุน ก่อนที่จะเดินเข้าไปเตะอีกสองสามตุบ สะใจแล้วจึงตัวให้ลุกขึ้นมานั่ง พูดว่า “บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าพวกแกวางแผนอะไรอยู่? ถ้าตอบว่ามาเพราะซากปรักหักพังโบราณนอกเมืองอีกแม้แต่คำเดียว ฉันจะตัดนิ้วแกทีละนิ้ว เข้าใจไหม”
“พวกฉันไม่ได้โกหกนะ อ๊าก…” ก่อนที่โม่เฉิงจุนจะพูดจบ เขาก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาแล้ว นิ้วมือของเขานิ้วหนึ่งถูกเหลยเป้ากระชากจนหลุดออกไปต่อหน้าต่อตา
“ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง”
“ฉัน…อ๊าก…”
คราวนี้ เสียงกรีดร้องของโม่เฉิงจุนแทบจะไม่เป็นเสียงร้องของมนุษย์อีกแล้ว ทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับหนังหัวชายิบไปตาม ๆ กัน
โม่เฉิงจุนนอนตัวงอเหมือนกุ้งอยู่บนพื้นดิน สั่นระริกไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจดเท้า ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่เหลยเป้าด้วยความเกลียดชัง
แม่หม้ายสาวส่งเสียงจุ๊ปาก
ฉู่ชวิ๋นเอามือปิดตาจิ่วโยวและเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง เหลยเป้าก็กระโดดทิ้งเข่าลงไปตรงหว่างขาของโม่เฉิงจุน ได้ยินเหมือนเสียงไข่แตกดังชัดเจนเต็มสองรูหู
“ขอโทษที ไม่ได้ตั้งใจ สงสัยจะแรงไปหน่อย…” เหลยเป้ายกร่างโม่เฉิงจุนขึ้นมาโยนทิ้งเหมือนกับโยนเศษขยะ
สมาชิกของประตูวิญญาณสลายคนอื่นๆ พร้อมกับกลุ่มนินจาจากญี่ปุ่นเห็นดังนั้น ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่มีก่อนหน้านี้สลายหายไปสิ้น
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลง เริ่มรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อยและคิดจะใช้วิชาตรวจค้นวิญญาณกับฝ่ายตรงข้าม
แต่บุคคลเหล่านี้เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ ถ้าฝึกฝนมาจนมีฝีมือระดับนี้ได้ ย่อมต้องมีพลังจิตที่กล้าแข็งไม่ใช่เล่น ถ้าระมัดระวังไม่มากพออาจจะถูกพลังนั้นดีดสะท้อนกลับมาได้
“@#¥%……” พลัน นินจาญี่ปุ่นคนหนึ่งพูดอะไรบางอย่างออกมา
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้านายทหารที่ฟังภาษาญี่ปุ่นออกและถามว่า “มันพูดว่าอะไร?”
“หัวหน้าครับ เขาบอกว่าเขายินดีพูดทุกอย่าง แต่หัวหน้าต้องรับประกันความปลอดภัยให้เขา”
“กล้าดียังไงมาต่อรองวะ?” เหลยเป้าพูดพร้อมกับทำท่าจะเดินเข้าไปหา
“ไม่ต้อง” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง
เหลยเป้าหยุดชะงักและกลับมายืนที่เดิมทันที
“บอกไปว่าถ้าพูดความจริง ฉันก็จะไม่ฆ่าเขา”
นายทหารผู้นั้นแปลคำพูดของฉู่ชวิ๋นให้นินจาญี่ปุ่นฟัง
นินจาญี่ปุ่นผู้นั้นเดินโซเซมาคุกเข่าลงตรงหน้าฉู่ชวิ๋น และพูดภาษาญี่ปุ่นออกมารัวเร็ว
“เขาบอกว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรกับประตูวิญญาณสลาย ครั้งนี้ พวกมันให้พวกเขามาเพื่อเล่นงานคุณครับ” นายทหารพูดไปก็กลืนน้ำลายไปอย่างฝืดคอ มองหน้าฉู่ชวิ๋นเล็กน้อย ก่อนพูดต่อว่า “เขาบอกว่าประตูวิญญาณสลายสัญญาไว้ว่า ถ้าพวกเขาฆ่าคุณได้สำเร็จ นอกจากซากปรักหักพังโบราณที่อยู่นอกเมืองจะเป็นของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะยังได้หญ้าวิญญาณกับผลไม้วิญญาณอีกจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยครับ”
“ช่างอวดดีกันเหลือเกินนะ” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ดูเหมือนว่าการกวาดล้างประตูวิญญาณสลายครั้งล่าสุด จะทำให้พวกมันเจ็บแค้นจนอยากฆ่าเขาจริงๆ “ถามสิว่าพวกมันวางแผนจะฆ่าฉันยังไง?”
หลังจากนายทหารถามออกไป เขาก็แปลคำตอบให้ฉู่ชวิ๋นฟังว่า “เขาบอกว่าครั้งนี้ประตูวิญญาณสลายเตรียมการมาดีมากครับ พวกเขาสามารถรวบรวมจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 1 มาได้ถึง 30 คน ขั้นจักรพรรดิระดับ 2 อีก 10 คน ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 อีก 5 คน และขั้นจักรพรรดิระดับ 4 อีก 1 คน ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะเล่นงานคุณ ตอนที่ซากปรักหักพังโบราณปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”
ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูง ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาแล้ว
เหลยเป้าและอีกหลายคนก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 1 ไม่น่าเป็นกังวลสักเท่าไหร่ ขั้นจักรพรรดิระดับ 2 ก็พอรับมือได้ แต่การที่มีขั้นจักรพรรดิระดับ 3 ถึง 5 คนและขั้นจักรพรรดิระดับ 4 อีก 1 คนนับว่าคราวนี้อีกฝ่ายหนึ่งมีขุมกำลังที่น่าหวาดกลัวจริงๆ
“พวกมันคงไม่ได้เป็นพันธมิตรแค่กับนินจาญี่ปุ่นพวกเดียวหรอกมั้ง?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เขาบอกว่านอกจากพวกนินจาญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังมีสำนักอื่นๆ ด้วยครับเห็นว่าเป็นสำนักที่อยู่ในเมืองจีนนี่แหละ แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นสำนักไหน”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายแวววาว ตอนที่พูดว่า “ถามสิว่าตอนนี้คนพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”
“เขาบอกว่าเขาไม่รู้ครับ พวกเขาไม่ได้ติดต่อกัน แต่จะนัดพบกันตอนที่ซากปรักหักพังโบราณปรากฏขึ้นอีกครั้ง”
ฉู่ชวิ๋นเงียบไปแล้ว ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาข้อมูลได้มากกว่านี้
“คุมตัวพวกเขาไปขังไว้ก่อน” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่งและกล่าวเสริมว่า “อย่าเพิ่งฆ่าทิ้งล่ะ”
นายทหารเหล่านี้มีความโกรธแค้นอยู่เต็มหัวใจ พวกเขาเกลียดชังนินจาญี่ปุ่นจนถึงกระดูกดำ ถ้าไม่ออกคำสั่งเอาไว้ก่อนเกรงว่านินจาญี่ปุ่นเหล่านี้คงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงรุ่งเช้าแน่นอน
“นายท่านคะ พวกเราจะทำยังไงกันดี?” ดวงตาของแม่หม้ายสาวมีแววเศร้า คราวนี้ถือว่าประตูวิญญาณสลายเตรียมตัวมาได้น่าหวาดกลัวจริงๆ
ฉู่ชวิ๋นมีแววตาเป็นประกาย ดวงจันทร์สีนวลที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าสะท้อนประกายในดวงตาของเขา ราวกับว่าทั้งดวงจันทร์และดวงดาราที่อยู่บนท้องฟ้า ต่างก็เข้ามาอยู่ในดวงตาของเขาหมดสิ้น
“นายท่านครับ พวกเราไปตั้งหลักกันก่อนดีไหม” เหลยเป้ามักจะให้คำแนะนำอย่างไม่ถูกกาละเทศะเสมอ แต่ครั้งนี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลที่แท้จริง
จิ่วโยวจับมือของฉู่ชวิ๋นแนบแน่น ใบหน้าของเด็กหญิงเงยมองหน้าชายหนุ่มตลอดเวลา
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงจันทร์และดวงดาวยังคงสะท้อนประกายอยู่ในดวงตาของเขาแล้วชายหนุ่มก็ตอบมาว่า “ถ้าพวกมันอยากจะสู้ ฉันก็จะสู้”
เหลยเป้าและแม่หม้ายสาวหันมองหน้ากัน
“ได้เลยครับ ถ้าอย่างนั้นเราก็จะเตรียมตัวทำสงคราม ถ้าเราต้องตาย เราก็จะลากพวกมันมาตายไปพร้อมกัน” เหลยเป้าว่า
“ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นฉันคนเดียว!” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ
“นายท่าน…” เหลยเป้าและแม่หม้ายสาวอุทานออกมา ฉู่ชวิ๋นตั้งใจที่จะไปเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยตัวเพียงคนเดียว
ฉู่ชวิ๋นโบกมือไม่ให้พวกเขาพูดอะไรอีก ก่อนที่จะกล่าวเสริมออกมาว่า
“นี่เป็นคำสั่ง”