บทที่ 153: ศัตรูที่มองไม่เห็น
ตู้ม…ภายในห้อง 315 มีเพียงฉินเย่ ผู้ที่ยืนอยู่ใกล้กับโจวเซียนหลงเท่านั้นที่รู้ว่าอีกฝ่ายน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด
อากาศรอบตัวของพวกเขากลายเป็นวัสดุที่เหมือนกับแก้วใส ๆ ชายสูงวัยเอื้อมมือออกไปและแตะที่อากาศเบื้องหน้าของตน
เพล้ง….เสียงแตกดังขึ้นในอากาศ แม้แต่ต้นไม้ที่อยู่ในวิทยาเขตเองก็เอนเอียงไปมาอย่างบ้าคลั่งและสั่นเทาราวกับกำลังหวาดกลัว
ฉินเย่ลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกระวนกระวาย
ความรู้สึกคุ้นเคยกับอาร์ทิสทำให้เขาลืมพลังของขั้นตุลาการนรกที่เขาเคยได้สัมผัสเมื่อตอนที่อาร์ทิสปลดปล่อยพลังของนางที่สามารถเชื่อมต่อได้กับทั้งสวรรค์และปฐพีไปเสียสนิท และในตอนนี้ทุกอย่างก็กำลังผุดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง
เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในพายุที่โหมกระหน่ำ เศษตราจ้าวนรกที่อกของเขาคือสิ่งเดียวที่ทำให้ความมุ่งมั่นของเขาดำเนินต่อไป ศีรษะของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ แต่เขาก็ยังไม่กล้าที่จะขยับตัวแม้แต่นิด เสียงในหัวบอกกับเขาว่าการขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อยของเขา เศษตราจ้าวนรกก็อาจจะไม่สามารถปกป้องเขาได้อีก
มันน่าเหลือเชื่อมาก…
พลังของคนตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าของอาร์ทิสเสียอีก!
นี่คือการสำแดงพลังของรองผู้ตรวจการของหน่วยสอบสวนพิเศษ!
หนึ่งนาทีผ่านไป คลื่นพายุที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่โดยรอบก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว โจวเซียนหลังจ้องมองมือของตนอย่างไม่พอใจนัก “อยู่ไหนกัน?”
“หรือว่า… มันจะหายไปแล้ว?”
เขามองมือทั้งสองข้างของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ “ก่อนหน้านี้คุณรู้สึกถึงมันได้ยังไง?”
“คุณรู้สึกถึงมันได้ยังไงทั้ง ๆ ที่ตัวผมเองยังสัมผัสมันไม่ได้เลย?”
“หากคุณไม่สัมผัสมันได้ก่อน วิญญาณตนนั้นคงดูกลืนพลังหยางทั้งหมดในร่างของเขาไปแล้ว และพรุ่งนี้เช้า มันก็จะเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เขาจ้องลึกเข้าไปในตาของฉินเย่อย่างสงสัย
โชคดีที่ฉินเย่เองเดาไว้แล้วว่าเขาจะตั้งคำถามแบบนี้ ตั้งแต่ที่เขารายงานสถานการณ์กับอีกฝ่ายแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงยิ้มออกมาบาง ๆ “หากคุณสนใจอีกไม่นานผมจะเสนอหัวข้อใหม่ในชั้นเรียนของผม ที่จริงผมเองค่อนข้างจะมีสัมผัสที่ไวต่อสิ่งพวกนี้ตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ผมหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะจากคุณในห้องบรรยายนะครับ”
โจวเซียนหลงพยักหน้า มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องสงสัยในตัวของฉินเย่ วิญญาณและมนุษย์คือสิ่งที่ต่อต้านกัน ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถความร่วมมือกับกองกำลังจากใต้พิภพเองได้ เนื่องจากภายในหัวของพวกมันนั้นเต็มไปด้วยความกระหายในเลือดและเนื้อสด ๆ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะเดินในเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับและให้ความร่วมมือกับพวกปีศาจ
ดังนั้นมันจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเชื่อใจชายหนุ่มได้ ตราบใดที่อีกฝ่ายมีเลือดเนื้ออุ่น ๆ และยังมีเงาสะท้อนอยู่
“คุณเดินมาถูกทางแล้ว หมั่นฝึกฝนให้ดี ผมค่อนข้างชอบความสามารถของคุณมาก” เขาเอ่ยตอบ “แต่สำหรับตอนนี้ ดูแลตัวให้ดี”
ฉินเย่แทบจะกู่ร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อเขาได้ยินคำของโจวเซียนหลัง
เขาเพิ่งถูกชม!
เขาเพิ่งได้รับคำชมจากขั้นตุลาการนรก!
ความเข้าใจของเขาที่มีต่อพวกระดับขั้นตุลาการนรกนั้นมักเป็นพวก ปากไม่ดี เอาแต่ใจ และไม่สามารถต้านทานความต้องการที่จะคัดค้านและต่อต้านเขาได้ ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำชมหลุดออกมาจากปากของผู้ฝึกตนที่อยู่ขั้นตุลาการนรก!
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่ายได้ในทันที
ครืนนน…พื้นดินของสำนักฝึกตนแห่งแรกที่สงบสุขก่อนหน้านี้สั่นไหวเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นพลังปราณที่ห่อหุ้มร่างของโจวเซียนหลงได้ แต่เสื้อผ้าของเขากลับกระพืออย่างรุนแรงขณะที่โจวเซียนหลงค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น
เปรี้ยง! ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงบในตอนแรกเต็มไปด้วยเสียงของสายฟ้าฟาด ฉินเย่อ้าปากค้างและกระโดดขึ้นไปบนเตียงของเย่ซิงเฉินทันที
“บัญญัติแห่งสายฟ้าทั้งห้า” โจวเซียนหลงเอ่ยออกมาทีละคำ จากนั้นเขาก็ตบฝ่ามือลงด้านล่างและพุ่งออกไปด้านนอกทันที
ในวินาทีต่อมา ราวกับเทพแห่งสายฟ้าตอบรับคำเรียกร้องของเขา สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าลงมาที่สำนักฝึกตนแห่งแรก แทบจะเหมือนกับฉากที่หลุดออกมาจากภาพยนตร์ไซไฟ มันไม่ได้ทำร้ายใคร แต่มันก็ยังคงผ่าลงมาทั่วทั้งวิทยาเขตของสำนัก ไม่เหลือพื้นที่ที่ไม่โดนผ่าเลยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว!
“ให้ตายเถอะ…” ฉินเย่จ้องมองโจวเซียนหลงราวกับเห็นผี ในความมึนงงนั้น เขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นตามทางเดินเลยแม้แต่น้อย
“นั่นมันบ้าไปแล้ว…เทพแห่งความตายไม่คิดจะไว้ชีวิตมันเลยหรือไงนะ…เขาทิ้งระเบิดลงทั่วสำนักฝึกตนแล้ว….”
หนึ่งวินาทีต่อมา แสงไฟในห้องก็ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงดังคลิก
“เมื่อครู่มันคืออะไรน่ะ? บ้าไปแล้ว!”
“ฉันเคยได้ยินอะไรพวกนี้มาจากผู้อาวุโส พวกเขาบอกว่ามันเป็นวิชาสายฟ้าที่แข็งแกร่งกว่าฝ่ามืออัสนีเสียอีก”
“ใช่หัวหน้าสาขาหรือเปล่า?”
“เสี่ยวเย่? เกิดอะไรขึ้น? นายถูกพวกเขาจับได้หรือเปล่า?”
จากนั้นทั้งห้องก็ตกสู่ความเงียบ
ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียงกับเย่ซิงเฉิน โดยที่อีกฝ่ายยังคงสวมแค่กางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว ซ้ำร้ายมันยังเป็นกางเกงชั้นในที่มีคราบเปียกอีกต่างหาก….
“นี่…มันไม่ใช่อย่างที่พวกคุณเห็น….เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งปิดประตู! ฟังที่ฉันจะพูดก่อน! ให้ตายเถอะ! กลับเข้ามาในห้องเดี๋ยวนี้!!”
สิบนาทีต่อมา ฉินเย่เดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเองด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
แม้ว่าจะได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้พวกนักเรียนฟังอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมองเขาด้วยสายตาที่บอกว่าเขาเป็น ‘อาจารย์ประเภทนั้น’ อยู่ดี หัวใจของเขารู้สึกห่อเหี่ยวเหลือเกิน
เขาคงได้แต่หวังว่าเย่ซิงเฉินจะจำชื่อของเขาได้เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันพรุ่งนี้!
“คุณได้ยินหรือเปล่า? มีอาจารย์คนหนึ่งลวนลามนักเรียนของตัวเองล่ะ!” นายอันธพาลท้องถิ่นส่งข้อความไปในกลุ่มแชทของสาขาการต่อสู้อย่างตื่นเต้น “นั่นมันบ้าชะมัด! ผมแทบอยากจะยกนิ้วให้อาจารย์คนนั้นทันทีที่ได้ยินข่าวนี้เลย!”
“ฉันเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน” ชื่อบัญชีของหลี่หยุนเซวี่ยคือ ‘หิมะที่บ่งบอกถึงฤดูเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์’ เธอยังเสริมอีกว่า “ฉันได้ยินมาว่าอาจารย์คนนั้นอยู่ในสาขาของเราด้วย”
ฉินเย่ออกจากแอปโม่โม่อย่างพูดอะไรไม่ออก เขาปิดประตูห้อง และมองไปยังอาร์ทิสขณะที่พึมพำออกมาอย่างไม่พอใจนัก “ท่านช่วยหาโอกาสที่ดีกว่านี้ในการ….”
เขาไม่สามารถพูดต่อได้ คำพูดทั้งหมดมันติดอยู่ที่ลำคอ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าบรรยากาศภายในห้องนั้นแปลกประหลาดเกินไป
อาร์ทิสไม่ได้นั่งตามดูซีรีส์ของนาง
และนางก็ไม่ได้กำลังเล่นเกมคิงออฟกลอรีด้วยเช่นกัน
หมิงชีหยินอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่าย และทั้งคู่ก็ไม่พูดอะไรเลยสักนิด
นี่มันแปลกเกินไปแล้ว! นี่มันไม่ใช่ภาพที่เขาจะได้เห็นตามปกติเลยสักนิด!
“เกิดอะไรขึ้น…” เด็กหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อว่า “วัยหมดประจำเดือนหรือ?”
ปัง! ทันใดนั้น แสงสีแดงก็พุ่งตรงมาที่หน้าของเขา ส่งผลให้ร่างของเด็กหนุ่มกระเด็นไปกระแทกกับบานประตูที่อยู่ด้านหลัง
โอเค
อีกฝ่ายยังคงเป็นอาร์ทิสคนเดิมที่เขารู้จัก
“ในอีกไม่นานหลังจากนี้ เจ้าจะต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ” อาร์ทิสเอ่ย “มีอะไรบางอย่างที่ชั่วร้ายกำลังซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ นี้”
“ใกล้ ๆ?” ฉินเย่ยกมือขึ้นถูบริเวณคิ้วของตน “บางอย่างที่ชั่วร้าย? วิญญาณ?”
“ไม่ใช่” หมิงชีหยินตอบอย่างรวดเร็ว “พวกเราเองก็เป็นวิญญาณเช่นกัน ข้าคือจิตวิญญาณของวัตถุหยิน ในขณะที่อาร์ทิสคืออรากษส เจ้าไม่คิดหรือว่าพวกเราเองก็เข้าใกล้กับคำว่า ‘ชั่วร้าย’ เช่นกัน? แต่สิ่งนั้น…มันชั่วร้ายยิ่งกว่าพวกเราเสียอีก”
อาร์ทิสเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ “ศัตรูของยมโลกตนนี้มีความสำคัญยิ่งกว่าราชาผีทั้งสามตนเสียอีก”
ฉินเย่ลดมือลงและปรับสีหน้าของตนขณะที่จ้องลึกเข้าไปในตาของอาร์ทิส
“อย่างที่ข้าพูดไป มันยังมีบางสิ่งที่เจ้ายังไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้ และเรื่องนี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน ยิ่งเจ้ารู้มากเจ้าก็จะยิ่งคิดมาก ยิ่งกว่านั้นพวกเรายังไม่สามารถแน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นเล็งเป้าหมายมาที่สำนักฝึกตนแห่งแรก หรือว่าเพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น”
“ท่านหาไม่เจออย่างนั้นหรือ?”
อาร์ทิสส่ายหน้า “ผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกคนนั้นแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าไม่กล้ากล้าที่จะใช้ดวงเนตรแห่งนรกของตัวเองอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังในสถานที่แบบนี้ และมันก็มีแต่พวกเรายมบาลเท่านั้น ที่สามารถมองเห็นพวกมันได้…”
ทว่าก่อนที่จะพูดจนจบประโยค หมิงชีหยินก็แทรกขึ้นมาด้วยข้อความแถวหนึ่ง “เงียบไปซะเจ้าโง่!”
อาร์ทิสเงียบไปก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง “หากอีกฝ่ายแค่ผ่านมามันก็คงจะไม่เป็นอะไร เพราะอย่างไรเสีย ยมโลกของที่นี่ก็ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ แต่หากมันเล็งเป้ามาที่สำนักฝึกตนแห่งแรกละก็….”
นางหยุดพูดไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าในท้ายที่สุดว่า “จับตาดูคนใกล้ตัวให้ดี หากสังเกตเห็นอะไรผิดปกติให้บอกข้าทันที และมันจะเป็นการดีอย่างมากหากเจ้าสามารถหลอกล่อมันให้มาที่นี่ได้ ด้วยวิธีนั้น ข้าจึงจะสามารถตรวจดูมันอย่างละเอียดได้”
“สรุปแล้วนั่นมันตัวอะไรกันแน่?”
อาร์ทิสเลือกที่จะเมินคำถามของอีกฝ่าย “หากเป้าหมายของพวกมันคือสำนักฝึกตนแห่งแรก…เราคงต้องมาคิดกันอย่างจริงจังแล้วว่าพวกมันมาที่นี่ทำไม“
ฉินเย่ครางในลำคออย่างหงุดหงิดและล้มตัวลงนอนบนเตียง จากนั้นจึงหันหน้าไปทางอาร์ทิสและหมิงชีหยิน “คำว่า ‘เรา’ ของท่านไม่ได้รวมข้าด้วยใช่หรือไม่? มันเป็นความคิดที่ดีจริง ๆ น่ะหรือที่จะกันไม่ให้ว่าที่เจ้านรกคนต่อไปเข้าร่วมการหารือนี้?”
“เรากำลังปกป้องเจ้า” หมิงชีหยินตอบ “เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดเราถึงติดตามผู้ที่อยู่แค่ขั้นนักล่าวิญญาณอย่างเจ้ากัน? หากไม่ใช่เพราะว่าเราทั้งคู่มองเห็นความหวังความเป็นจ้าวนรกในตัวเจ้า เจ้าคิดว่าพวกเราจะยอมติดตามเจ้าอย่างนั้นหรือ? อาร์ทิสพูดถูกแล้ว มันยังมีสิ่งที่เจ้ายังไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ในตอนนี้อยู่…”
“ท่านช่วยระวังคำพูดของตัวเองสักนิดได้หรือไม่? ข้ายอมให้ท่านเรียกข้าว่าอาร์ทิสตั้งแต่เมื่อไหร่? ข้ายังสามารถมองข้ามความจริงที่ว่าชื่อของตัวเองถูกเปลี่ยนไปได้หรอกนะ เพราะชื่อบ้านี้มันทำให้เพศของข้าเปลี่ยนไปด้วย!”
“ให้ตายเถอะ แต่เจ้าก็ยังตอบรับเจ้าเด็กนี้ทุกครั้งที่เรียกเจ้าด้วยชื่อนั้นน่ะหรือ? ทำไม? ผู้ชายสามารถแตะตัวของเจ้าได้ แต่ข้าทำไมได้อย่างนั้นหรือ?”
“….นี่ท่านอ่านวรรณกรรมของหลู่ซวิ่นมานานแค่ไหนแล้ว? แถมยังเป็นเรื่องประวัติจริงของอาคิวเสียด้วย…” [1]
ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนกับก้อนกรวดเล็ก ๆ ที่กระทบกับผิวน้ำของทะเลสาบที่เงียบสงบ เกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆที่แพร่กระจายไปทั่ว แต่หลังจากที่มันเกิดขึ้นแล้ว น้ำในทะเลสาบก็ยังคงเป็นน้ำในทะเลสาบดังเดิม
ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าในค่ำคืนเดียวกันนั้น โจวเซียนหลงได้เรียกศาสตราจารย์ขั้นยมทูตขาวดำทุกคนมาและตรวจสอบไปทั่วทั้งสำนักฝึกตนแห่งแรกอย่างละเอียด แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
มันเหมือนกับว่าตัวตนลึกลับตนนั้นได้มาและจากไปโดยไร้ร่องรอย
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ในวันต่อมา ฉินเย่ตื่นมาในช่วงบ่าย ชั้นเรียนจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ และเขาก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะรักษาพลังงานของตัวเองเอาไว้และทำให้จิตวิญญาณกระปรี้กระเปร่าขึ้น
วันสุดท้ายของการพักผ่อนก่อนเริ่มงานจริงคือวันที่มีค่ามากที่สุด เขาตื่นขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีและตั้งตารอสำหรับวันต่อไป
แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มเปิดประตูออก อารมณ์ที่สดใสของเขาก็หายวับไปกับตา หางตาของเขากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเขาเห็นเด็กนักเรียนตัวสูงสองคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง ตามหลังมาด้วยนักเรียนคนอื่น ๆ ฉินเย่แทบจะปิดประตูใส่หน้าคนทั้งหมดทันที
หวังเฉิงห่าว และเย่ซิงเฉิน
“พวกนายมาทำอะไรที่นี่?” เขาไม่มีความคิดที่จะให้คนทั้งหมดเข้าไปในห้อง ห้องนอนของเขาคือสถานที่ต้องห้ามสำหรับทุกคน ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบปิดประตูที่อยู่ด้านหลังลงและมองไปยังหวังเฉิงห่าว อีกฝ่ายแต่งตัวด้วยชุดลายพรางเหรอ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ทว่าคำตอบของหวังเฉิงห่าวแทบจะทำให้เขาอ้าปากค้างถึงพื้น
“ฉันผ่านการทดสอบคุณสมบัติสำหรับเข้าเรียนในสำนักฝึกตนแห่งแรกแล้ว” หวังเฉิงห่าวมองประตูหน้าหลังของฉินเย่ด้วยสีหน้างุนงง “และฉันก็เลือกให้นายเป็นอาจารย์ของฉัน อีกอย่างฉันขยิบตาให้นายตอนที่เรียกรวมพลด่วนด้วยนะ นายไม่เห็นฉันเลยเหรอ?”
อ่าาาา….เมื่อคืนนี้มีคนอยู่ตั้งเยอะนะเฟ้ย! นายคิดว่าฉันจะสังเกตเห็นการขยิบตาของกุ้งตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่งหรือไง?!
“แล้วคุณล่ะ?” ฉินเย่เลื่อนสายตาไปทางเย่ซิงเฉิน อีกฝ่ายดูหน้าซีดเซียวเล็กน้อย แต่ทันทีที่ได้ยินคำถามที่พุ่งเป้าไปที่ตัวเอง เขาก็โค้งคำนับ 90 องศาให้กับคนตรงหน้า “ขอโทษครับ! อาจารย์ฉิน ผมเข้าใจคุณผิดไป!”
“ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…เดี๋ยวก่อนนะ!” ฉินเย่ตอบออกไปตามโดยอัตโนมัติก่อนที่เขาจะนึกขึ้นได้และหยุดตัวเอง ในตอนนั้น เขาแทบจะตบเข้าที่หน้าของเย่ซิงเฉิน
เข้าใจผิด?!
แล้วนายคิดว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นไม่ทราบ? ในหัวของเด็กวัยรุ่นสมัยนี้มันคิดอะไรอยู่กันแน่นะ?!
“เกี่ยวกับเรื่องนั้น…คุณรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเข้าใจผิด?” ริมฝีปากของฉินเย่แข็งค้าง และเขาก็พยายามฉีกยิ้มออกมาพร้อมกับถามอีกฝ่าย
เย่ซิงเฉินกระแอมเบา ๆ และข้ามรายละเอียดทั้งหมด เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่การให้คนอื่น ๆ รู้เรื่องสถานการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ “เมื่อเช้านี้หัวหน้าสาขาโจวได้เรียกผมไปพบ ตอนนั้นผมถึงรู้ว่าเมื่อคืนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ขอบคุณมากครับอาจารย์ฉิน ถ้าไม่ใช่เพราะคุณสัมผัสถึงมันได้ ผมก็คง…คง…”
เขารู้สึกว่าคำว่า ‘ตายเพราะความสุข’ นั้นค่อนข้างน่าอับอายเกินไปที่จะพูดมันออกมา…
มันโอเค ตราบใดที่คุณเข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อ….
ฉินเย่พยักหน้า “คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว ลองนึกดูดี ๆ ว่าเมื่อเร็วนี้ๆคุณเจออะไรแปลก ๆ มาบ้างหรือเปล่า และพวกคุณก็ไม่ควรอยู่ในห้องนั้นต่อเช่นกัน เขียนรายงานให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาพบผมอีกครั้ง แล้วผมจะจัดการหาห้องใหม่ให้”
เมื่อพิจารณาแล้ว นักเรียนเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของเขา และเขาก็ต้องดูแลอีกฝ่ายให้ดี
“เดี๋ยวฉันช่วยจัดการทุกอย่างแล้วพาเขาไปที่นั่นเอง” หวังเฉิงห่าวเอ่ยพร้อมหันไปตบไหล่เย่ซิงเฉิน “ฉันอยู่หอตรงข้ามกับเขา เมื่อคืนตอนที่พวกเขากล่าวหาว่านาย…อะแฮ่ม….เอ่อ ฉันคืนคนแรกที่ลุกขึ้นและบอกว่านายไม่ใช่คนแบบนั้น!”
ฉินเย่มองอีกฝ่ายอย่างซาบซึ้ง นายยังเป็นคนที่รู้จักฉันดีที่สุดอยู่ดี
“เพราะสุดท้ายแล้ว ด้วยรูปลักษณ์ของฉันแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานายยังไม่ได้ทำอะไรฉันเลยสักนิด เพราะฉะนั้นฉันถึงเชื่อใจนาย”
ไปซะ
ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!
แล้วก็จะไปไหนก็เชิญ!
[1] หลู่ซวิ่นคือนักเขียนที่โด่งดังในเรื่องของการเขียนวรรณกรรมจีนสมัยใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 (1881-1936)