ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 219: ความเกี่ยวข้อง (2)

บทที่ 219: ความเกี่ยวข้อง (2)

ขั้นนักล่าวิญญาณ… ฉินเย่สามารถระบุถึงระดับความสามารถของอีกฝ่ายได้ทันทีที่เขาก้าวออกมาจากความมืด แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้ว

ในฐานะที่เป็นยมทูตขาวดำมือใหม่ ฉินเย่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างพลังของขั้นยมทูตขาวดำและขั้นนักล่าวิญญาณเป็นอย่างดี หากพูดกันตรง ๆ ก็คือ หากเขาต้องการจะเอาชีวิตทุกคนที่อยู่ที่นี่ มันก็จะไม่มีใครที่สามารถมาขวางเขาได้

แต่ขั้นนักล่าวิญญาณคนนี้กลับแตกต่างออกไป

หน้ากากที่ปกปิดใบหน้าของเขาไม่มีรูอยู่เลยแม้แต่รูเดียว นอกจากนี้ ในฐานะของยมทูต ฉินเย่สามารถบอกได้ว่าร่างของชายสวมหน้ากากถังซัมจั๋งคนนี้ไม่มีพลังหยางอยู่เลยสักนิด

อันที่จริง… กลิ่นของความตายรุนแรงกว่าหัวหน้าไป๋เสียอีก หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอยู่ เขาก็คงไม่ตระหนักถึงสิ่งนี้ด้วยซ้ำ

เรื่องบ้านี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง ?

“คุณจะช่วยเขาอย่างนั้นเหรอ ?” ฉินเย่ยิ้ม “จะลองดูก็ได้นะ”

ฟิ้ว… ใบไม้บนพื้นดินเริ่มสั่นไหวและพัดปลิวโดยปราศจากสายลม มันค่อย ๆ หมุนรอบพวกเขา ต้นไทรต้นใหญ่โน้มกิ่งของมันลงมา ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาผลักมัน

“คุณจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ !” ร่างของหัวหน้าไป๋สั่นเทา ฉินเย่เป็นเหมือนกับแหล่งพลังที่เหนือกว่า เขารู้สึกได้ว่าคมมีดถูกแนบลงมาที่ลำคอของตัวเองขณะที่ร่างของฉินเย่ให้ความรู้สึกเหมือนกับอสูรร้ายที่กดทับลงมา ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัดอย่างเห็นได้ชัด

เขาหยิบผ้าพันคอออกมาและเช็ดบริเวณหน้าผากของตัวเอง “โรงประมูลเจียเต๋อมี….”

“ผมไม่สนว่าคุณคือใคร” ฉินเย่ตะคอกใส่ “ผมเรียนรู้มาตั้งนานแล้ว… ว่าในโลกนี้ ทุกอย่างล้วนมีราคาของมัน และผมก็แน่ใจด้วยว่าระหว่างคุณ ที่เป็นพ่อค้าขายของเก่า และผม… การให้ความสำคัญย่อมเอนเอียงมาทางผมมากกว่า มันไม่แปลกเลยที่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคุณจะไปถามอะไรเลยแม้แต่น้อย”

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา

ความเงียบสงัดของสุสานนั้นเป็นเหมือนกับเส้นลวดที่ถูกขึงจนตึง ไป๋อี้ชานและหน้ากากตือโป๊ยก่ายหันไปมองหน้าชายผู้สวมหน้ากากถังซัมจั๋ง หลังจากผ่านครู่หนึ่ง หน้ากากถังซัมจั๋งก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณพูดถูก”

เมื่อเอ่ยจบเขาก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะค่อย ๆ ถอดหน้ากากที่สวมอยู่ออก

จากนั้น วินาทีที่เขายกหน้ากากขึ้น มืออีกข้างหนึ่งของเขาพลันสั่นไหวและลำแสงที่ส่องประกายของโลหะก็พุ่งมาที่แขนของฉินเย่ !

ฟึ่บ !

การโจมตีที่รวดเร็วนั้นมาพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น หน้ากากถังซัมจั๋งรวบรวมแรงทั้งหมดภายในครั้งเดียว ไม่ใช่เพื่อฆ่า แต่เพื่อขัดขวาง

เพล้ง ! หน้ากากในมือของเขาพังเป็นเสี่ยง ๆ ทันทีที่ประกายแสงโลหะแทงเข้ามาที่แขนของฉินเย่ แต่แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าใบมีดของตนไม่สามารถแทงเข้าไปในผิวของฉินเย่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว !

ชายผู้อยู่ภายใต้หน้ากากมีรอยแผลเป็นเต็มไปหมด รวมไปถึงรูโบ๋สองรูในจุดที่ควรจะเป็นตำแหน่งของเบ้าตา นอกจากนี้… บนใบหน้าของเขายังไม่มีสีแดงฝาดของเลือดเลยแม้แต่น้อย ผิว กระดูก ดวงตา จมูก และปากของเขาทั้งหมดล้วนถูกเย็บเข้าด้วยกัน !

ตู้ม !

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว และไม่กี่วินาทีต่อมา เสื้อคลุมยาวของเขาก็ถูกฉีกกระชากออก และศีรษะของเขาก็ถูกกระแทกไปด้านหลังราวกับว่าถูกปะทะด้วยฝ่ามือที่มองไม่เห็น !

“นี่มัน…” สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที “ศพ ?”

“ผมทรงซามูไร [1] ผู้ชายคนนี้… เป็นคนญี่ปุ่น ?” ฉินเย่หันกลับไปมอง แต่ครั้งนี้เขาเลื่อนสายตาผ่านไป๋อี้ชานและมองไปยังชายในหน้ากากตือโป๊ยก่าย ดวงตาของเขาวาวโรจน์ “ศพนี้มีอายุอย่างน้อย 300 ปี… ศพคนญี่ปุ่นที่อายุมากกว่า 300 ปี… ช่วงยุค… และถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี… คุณยังบอกอีกหรือว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน ?”

“นอกจากนี้ผมยังมองออกด้วยว่าคุณคือช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ และคุณก็เป็นคนปิดทวารทั้งเจ็ดของศพเพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นเหม็นของศพรั่วไหลออกไปโดยรอบ… คุณเป็นใครกันแน่ ? คนที่จัดการเรื่องทั้งหมดนี้… คือคุณจริง ๆ น่ะเหรอ ?”

แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาฉายให้เห็นเส้นด้ายที่แทบจะมองไม่เห็นที่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อของชายสวมหน้ากากตือโป๊ยก่าย อีกฝ่ายก้มหน้าและไม่เอ่ยอะไรออกมา

มันคือเส้นไหม

หากลงรายละเอียดเจาะจงกว่านี้ เส้นไหมพวกนี้ถูกใช้เพื่อควบคุมศพ

ผู้เดียวที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็คือหนึ่งในช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ คนขับรถขนศพ

ความเงียบที่น่าอึดอัดก่อตัวขึ้น

มีดเล่มหนึ่งที่เชื่อมต่อกับโซ่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อของศพ ทว่าคมมีดของมันกลับไม่แม้แต่จะสามารถแทงทะลุเข้าผิวหนังชั้นบนสุดของฉินเย่ได้

นี่คือความแตกต่างระหว่างขั้นยมทูตขาวดำและนักล่าวิญญาณ ฉินเย่ในตอนนี้สามารถต้านการโจมตีที่ทรงพลังจากฝ่ามือของอาร์ทิสได้ ร่างกายทางกายภาพของเขาแข็งแกร่งมาเสียจนสามารถเปรียบได้ว่าเป็นอาวุธมนุษย์ก็มิปาน แม้แต่ปืนก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้แล้วเขาจะสามารถได้รับบาดเจ็บโดยการโจมตีแบบนี้ได้อย่างไร ?

อีกฝ่ายยังคงเงียบ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและถอดหน้ากากของตนออก

ครู่ต่อมาดวงตาของฉินเย่ก็ต้องวูบไหวอย่างตกใจ ชายที่อยู่ภายใต้หน้ากากมีใบหน้าเหมือนกับไป๋อี้ชานไม่มีผิด !

ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างทั้งสองก็คือชายคนนี้ผิวซีดมาก เบ้าตาของเขาจมลึกและดวงตาแดงก่ำ ราวกับไม่ได้นอนมาหลายวัน อันที่จริง มันดูเหมือนกับว่าที่เขาสามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้เป็นเพราะเจตจำนงที่แรงกล้าของตัวเอง ฉินเย่สามารถบอกได้เลยว่าแค่ตีเบา ๆ เขาก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้

เกิดอะไรขึ้นกับโรงประมูลเจียเต๋อ… แววตาของฉินเย่เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี เขาไม่อยากที่จะรับมือกับความยุ่งยากไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“คุณคือ… ไป๋อี้ชานตัวจริง ?”

ไป๋อี้ชานตัวจริงพยักหน้า จากนั้น ก่อนที่ฉินเย่จะได้เอ่ยอะไรต่อ เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นและจับมือของฉินเย่แน่นราวกับคนจมน้ำที่พยายามหาที่ยึดเกาะ “ช่วยผมด้วย….”

“ผมขอร้องล่ะ… ช่วยผมด้วย !”

“ผมยอมทำตามที่คุณขอทุกอย่าง… แค่ช่วยผม ! มันมาแล้ว… มันอยู่ที่นี่แล้ว ! มันกำลังจะมาหาผม !”

ไป๋อี้ชานตัวจริงดูเหมือนกับจะกรีดร้องออกมาสุดเสียงในทุกครั้งที่เขาพูดคำว่า ‘มัน’ แต่คล้ายกับว่าคลื่นความหวาดกลัวได้ถาโถมใส่ เสียงที่ออกมาจึงเบาและสั่นเทาเพียงเท่านั้น

ดวงตาของฉินเย่ไหววูบ “มันไหน ? เกิดอะไรขึ้น ? อย่าบอกนะ… มีอะไรเกิดขึ้นกับถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีอย่างนั้นเหรอ ?”

“โมริรันมารุ… เขาบอกว่าชื่อของมันคือโมริรันมารุ !” สุดท้ายน้ำตาเม็ดโตก็ไหลออกมาจากหางตาของหัวหน้าไป๋ “คุณฉิน…ช่วยผมด้วย ! มันคือผีร้าย ! ผมไม่เคยเห็นอะไรที่โหดเหี้ยมอย่างมันมาก่อน ! มะ มัน… มันน่ากลัวเกินไป ! มันตามผมมาตั้งแต่ที่เมืองเยียนจิง และตอนนี้มันก็อยู่แถว ๆ นี้ ! ผมรู้สึกได้ ! ผมไม่น่าเลย… ผมไม่น่าทำแบบนั้นเลย… ไม่น่าทำแบบนั้นเลยจริง ๆ! อ๊ากกกกก !!”

ฉินเย่ปัดมือของคนตรงหน้าออก

เขาสามารถบอกได้ว่าสติของไป๋อี้ชายใกล้จะพังทลายเต็มที คนตรงหน้าทำอะไรลงไป ? แล้วผีร้ายที่ว่านั่นตามเขามาที่เมืองเป่าอันจริง ๆ หรือเปล่า ?

และที่สำคัญ… ชื่อโมริรันมารุนั่น…

เพราะได้ใช้ชีวิตอยู่มานาน มันจึงเป็นธรรมดาที่ฉินเย่จะมีความรู้ที่ลึกซึ้งมากกว่าคนทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น เขารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่วัดฮนโน

มีผู้คนจำนวนมากที่ทำการคว้านท้องตัวเองไปพร้อมกับโนบูนางะเมื่อเขาถูกทรยศโดยขุนศึกที่ตนไว้ใจอย่างอาเกจิ มิตสึฮิเดะที่วัดฮนโน ไม่ว่าจะเป็นโนฮิเมะ ภรรยาของเขา โอดะโนบูทาดะ ลูกชายคนโต มุไร ซาดาคัตสึ  ผู้ติดตามของเขาและสุดท้าย โมริรันมารุ

ตำนานกล่าวว่าโมริรันมารุนั้นดูเหมือนผู้หญิงยิ่งกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคสมัยของเขาเสียอีก ซึ่งผู้ช่วยส่วนตัวในสมัยนั้นก็คล้ายกับเลขานุการในสมัยนี้ และผู้ช่วยส่วนตัวบางคนก็มักจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้านายของพวกตนด้วยซ้ำ… ขณะที่นึกถึงสิ่งเหล่านี้ ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้น ความคิดแปลกประหลาดอย่างหนึ่งแวบเข้ามาในหัว !

ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี… ไม่ได้กักเก็บวิญญาณแค่ดวงเดียวอย่างนั้นเหรอ ?

หากโมริรันมารุยังอยู่… ไม่ใช่ว่าวิญญาณของโนฮิเมะ โอดะโนบูทาดะและมุไร ซาดาคัตสึต่างก็ติดอยู่ในถ้วยใบนี้ที่ถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในสิบวัตถุหยินที่มีพลังมากที่สุดในตะวันออกหรอกหรือ ?

ไม่เช่นนั้นทำไมโม่ริรันมารุถึงต้องไล่ล่าไป๋อี้ชานอย่างไม่ลดละเช่นนี้ด้วย ?

“คุณฉิน !” ไป๋อี้ชานเกาะติดฉินเย่ราวกับปลิง กอดขากางเกงเขาแน่น “มะ เมืองเป่าอัน ! มีแค่เมืองเป่าอันเท่านั้น… ทะ ที่ปลอดภัย ! ปะ… โปรดพาผมไปกับคุณด้วยเถอะ ! ผมขอร้อง ! ผม… ผมไม่ต้องการตายในฝันร้ายที่ไม่รู้จบนี้ ! มะ มันน่ากลัว น่ากลัวเกินไป ! ทุก ๆ คน… ทุก ๆ คืน… ตอนที่ผมหลับตา ผะ ผม… ผมเห็นใบหน้าของผีร้ายตนนั้นจ้องมองมาที่ผม…”

แต่ฉินเย่ก็ผลักอีกฝ่ายออกไป “มันสายไปแล้ว”

ไป๋อี้ชานค้อมตัวด้วยความหวาดกลัว เขาเกือบจะกรีดร้องออกมาเสียงดังเมื่อฉินเย่เอ่ยต่อเสียงเรียบว่า “เขาอยู่ที่นี่แล้ว”

อย่าเกาะผมแน่นแบบนี้ ถ้าเกิดคุณก็บังเอิญปิดบังทางหนีของผมขึ้นมาจะทำยังไง ?

โมริรันมารุ… หนึ่งในผู้รับใช้ที่โด่งดังที่สุดตลอดกาล… ฉินเย่หันหลังกลับและพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นไป๋อี้ชานก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อพบเด็กหนุ่มพุ่งออกไปไกลเสียแล้ว

โชคดี ผมไปล่ะ… ลาก่อน

อย่างไรก็ตาม หลังจากวิ่งไปได้สิบเมตรเขาก็ต้องหยุดลง ตีหัวตัวเองอย่างแรงและหันกลับไปมองด้านหลัง

โลกของไป๋อี้ชายเปลี่ยนจากนรกเป็นสวรรค์ภายในพริบตา เขารีบคลุกคลานไปตามพื้นและร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง “คุณฉิน ! คุณจะทิ้งผมไปแบบนี้ไม่ได้นะครับ !”

ฉินเย่รู้สึกอับอายเล็กน้อยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเขาเพิ่งนึกเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ – เราอยู่ขั้นยมทูตขาวดำไม่ใช่เหรอ ? ทำไมถึงต้องกลัวขั้นนักล่าวิญญาณด้วย ? หากเหยื่อมาหานักล่าด้วยตัวเอง นักล่าอย่างเขาก็ควรจะอยู่ต้อนรับอีกฝ่ายไม่ใช่หรืออย่างไร ?

“อย่าขยับ” ฉินเย่เอ่ยออกมาอย่างมาดมั่นและก้าวไปหาไป๋อี้ชาน “คุณอาจจะตายได้หากขยับตัว”

แสงจันทร์สลัวที่สาดส่องลงมาทำให้เกิดเงาดำมืดฉายไปทั่ว และเงาพวกนั้นก็ขยับไปมาอย่างน่าขนลุกอยู่ที่ด้านหลังของไป๋อี้ชาน… แทบเหมือนกับว่าพวกมันมีชีวิต ! จากนั้น มันก็เริ่มก่อตัวเข้าด้วยกันจากทุกทิศทางโดยไม่สนใจผู้คนโดยรอบและพุ่งมาที่ศีรษะของไป๋อี้ชาน !

ฟิ้ว ! สายลมรุนแรงเริ่มพัดกระโชก และร่าง ๆ หนึ่งก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากช่องว่างแคบ ๆ ระหว่างหลุมฝังศพ

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่าย แต่ทุกก้าวที่ร่างนั้นเดินก็ทำให้เกิดเสียงครวญครางดังก้องไปทั่ว มันแทบจะเหมือนกับ… พวกคนที่คว้านท้องตัวเองหรือเสียชีวิตในโศกนาฏกรรมของเหตุการณ์ไฟไหม้ที่วันฮนโนกำลังโศกเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แก๊ก… แก๊ก… เสียงฝีเท้าอย่างแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน นอกจากนี้มันยังมีเสียงคล้ายกับอะไรบางอย่างถูกลากไปตามพื้นอย่างช้า ๆ อีกด้วย…

ในเวลาเดียวกันนั้น เทียนทุกดวงที่วางอยู่หน้าแผงลอยแต่ละแผงที่อยู่บนยอดเขาวูบไหวไปมาอย่างรุนแรง เหล่าเจ้าของแผงลอยที่นั่งอยู่บริเวณหลุมฝังศพต่างตกตะลึงกับปรากฏการณ์อันน่าขนลุกนี้ พวกเขาทั้งหมดหันไปมองเทียนของตนพร้อมกัน

จากนั้น ท่ามกลางความเงียบสงัด ใครบางคนลุกขึ้นยืน เก็บข้าวของทั้งหมดของตนและมุ่งหน้าลงเขาไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คนที่สอง และสาม… ภายในชั่วพริบตา ตลาดไสยเวทย์พลันเงียบสงัดหายอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน มันมีแม้กระทั่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัวและตกใจของเหล่าผู้มาเยือนดังขึ้นให้ได้ยินอีกด้วย

“วิญญาณอาฆาต… วิญญาณอาฆาตอายุร้อยปี ! นี่มัน… เป็นไปได้ยังไง ?!”

“เหตุใดจึงมีวิญญาณอาฆาตอายุร้อยปีอยู่ที่ชายขอบของเมืองเป่าอัน ? เหตุใดพวกเราจึงไม่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?!”

“ปีศาจตนนี้มาจากที่ไหน ?! ช่างเป็นรัศมีแห่งความแค้นที่รุนแรงจริง ๆ!”

เมื่อวิญญาณร้ายถูกปลดปล่อย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจงสลายตัว !

หลินฮั่นยืนอยู่ที่ยอดเขา สายลมกระโชกแรงนั้นทรงพลังจนป้ายหลุมศพที่อยู่รอบ ๆ เขาสั่นไปมาและเริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้น เสื้อคลุมของเขาพัดปลิวอย่างรุนแรงขณะที่เขามองไปยังสุสานบริเวณ C8 ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง “เป็นพลังหยินที่รุนแรงจริง ๆ… นี่มันวิญญาณร้ายแบบไหนกัน ?”

เขากัดฟันแน่นและพุ่งไปที่แหล่งกำเนิดพลังหยินดังกล่าวทันที

ภูเขาเหลาจุนนั้นมีรูปร่างคล้ายกับบันได และพื้นที่บริเวณ C8 ก็อยู่บนชั้นที่สามของเขา แต่ถึงกระนั้น ทันทีที่เขามาถึงที่ชั้นที่สอง เขาก็พบว่า… ตัวเองไม่สามารถขยับไปไหนได้ !

รอบข้างของเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย วิญญาณที่ได้รับอนุญาตพิเศษเองก็อยู่ในฝูงชนด้วยเช่นกัน แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นนั้นทำให้พวกเขาเสียสติ พวกเขาพยายามโบกมือไปมาพร้อมกับตะโกนร้องเสียงดัง “ใคร ?! มันเป็นใครกัน ?!!”

“เปิดมันซะ ! ให้เราออกไป !”

“นี่มันอะไรกัน ? กล้าดีอย่างไรถึงสร้างเรื่องที่เมืองเป่าอัน ?! ข้าจะบอกอะไรให้นะ ที่นี่มีผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกดูแลอยู่ !”

“นี่มัน…” หลินฮั่นสูดหายใจเข้าช้า ๆ วินาทีนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดเอาไว้ตอนแรก

มันมีเส้นด้ายเส้นหนึ่งถูกผูกอยู่รอบป้ายหลุมศพที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขา พื้นที่ชั้นบนสุดสองชั้นถูกปิด และเส้นด้ายพวกนี้ก็เปล่งประกายสีม่วงอ่อน ๆ ออกมา มันยังมียันต์ขนาดเล็กและกระดิ่งถูกแขวนไปตามส่วนต่าง ๆ ของด้ายอีกด้วย และไม่ว่าเหล่าคนข้างหน้าจะพยายามอย่างไร การโจมตีของพวกเขาก็ดูเหมือนจะถูกดูดซับไปโดยกำแพงที่มองไม่เห็นตรงหน้า และพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

“อาณาเขตเวท… และมันก็ไม่ใช่วิชาของจีนด้วย” เขามองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง “มีคนอื่น… มีคนอื่นอยู่ที่นี่ !”

[1] ทรงผมของผู้ชายญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่จะโกนผมด้านหน้าของศีรษะออก และทำให้หนังศีรษะดูเหมือนกับรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

Status: Ongoing
ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset