บทที่ 264: ฮนดะ เฮฮาจิ ทาดาคัตสึ (2)
“พวกเขาตามมาหรือไม่ ?” ทาดาคัตสึที่นำหน้ากองทัพทั้งหมดบนผิวน้ำหันกลับไปมองด้านหลัง “เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ เจ้าเหมาะสมกับชื่อของตัวเองยิ่งนัก อะซะอิคุง ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้มีความตั้งใจที่จะช่วยเจ้าสังหารโอดะโนบูนางะ แต่… การช่วยให้เจ้ามุ่งหน้าไปที่เรือสำราญได้อย่างปลอดภัยก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หันกลับไปมองที่เรือสำราญด้วยดาวตาที่วาวโรจน์อีกครั้ง บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่าหากเขาสามารถสังหารผู้ที่อยู่บนเรือและแย่งวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในความครอบครองของอีกฝ่ายมาได้ เขา… ก็จะได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดเดียวกันกับอิซานามิ !
ก่อนหน้านี้เขาบังเอิญเก็บสมุดเล่มนี้ได้ในตอนที่มาถึงช่องแคบสึชิมะ จากนั้น เมื่อลองตรวจสอบดูอย่างละเอียด เขาก็พบว่ามันอาจจะเป็นหนึ่งในสมบัติทั้งสามของยมโลก สมุดแห่งความเป็นตาย
ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัว นอกจากนี้ เขายังได้ลองทดสอบพลังของสิ่งที่ได้มาอย่างระมัดระวัง ซึ่งส่งผลให้เกิดเหตุการณ์เรือผีสิงจำนวนมากด้วย เมื่อแน่ใจว่าสมบัติที่ได้มานั้นเป็นของจริง เขาก็ไม่มีความคิดที่จะอยู่ที่ช่องแคบสึชิมะอีกต่อไป
ยิ่งกว่านั้นเขายังได้เริ่มคิดแผนที่จะออกจากเมืองใต้พิภพแล้วด้วย แต่ตอนนี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
เขาจะต้องสังหารชายผู้นั้นให้ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายครอบครองสมบัติชิ้นใดอยู่ แต่ข้อเท็จจริงที่มันสามารถส่งเสียงเรียกสมุดแห่งความเป็นตายได้ย่อมหมายความว่ามันไม่ใช่สมบัติธรรมดา !
แล้วหากเขาไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้เล่า ?
ทาดาคัตสึแย้มยิ้ม นั่นเป็นไปไม่ได้ !
เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ไดเมียวในยุคเซ็งโงกุ เขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บเลยสักครั้งแม้ว่าจะเข้าร่วมรบมามากมาย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาเป็นเหมือนกับลิโป้ของญี่ปุ่น [1]
เขามั่นใจว่าไม่มีใครที่เขาไม่สามารถสังหารได้
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ข้า… ได้กายเนื้อกลับมาอีกครั้ง…” เขากำมือแน่นด้วยความพึงพอใจขณะที่พุ่งตรงไปที่เรือสำราญพร้อมกับกลุ่มทหารม้า 300 นาย
ครืนนน… การสำแดงอำนาจของท่านเปาอยู่เบื้องหน้าของเขา คลื่นพลังหยินได้พัดพากลุ่มเมฆบนท้องฟ้าจนหายไปหมด ในขณะที่คลื่นสึนามิที่มีความสูงร้อยเมตรสูงขึ้นในอากาศ ! แต่ถึงกระนั้น ทาดาคัตสึก็ไม่คิดจะหันหลังกลับเลยแม้แต่น้อย เขามีความรู้สึกว่าพลังหยินพวกนั้นจะไม่สามารถหยุดเขาได้ !
ยิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็สามารถได้ยินเสียงร้องอันโหยหวนของดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนดังก้องออกมา มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาจะเข้าไปถึงยมโลกทันทีที่พุ่งเข้าไปในกลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่นตรงหน้า แม้ว่าเขาจะไม่มีความหวั่นเกรง แต่ทาดาคัตสึก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจและกระชับมือที่ถือบังเหียนคุมม้าแน่นขึ้นเมื่อพุ่งเข้าไปใกล้กำแพงพลังหยิน แต่ถึงกระนั้น ม้าโครงกระดูกของเขากลับเร่งความเร็วขึ้น ควบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนดูไม่ต่างอะไรก็อุกกาบาต
100 เมตร… 50 เมตร… 20 เมตร… 10 เมตร…พลังหยินที่รุนแรงทำให้พื้นผิวของน้ำทะเลแปรปรวนขึ้นเรื่อย ๆ ทาดาคัตสึสูดหายใจเข้าช้า ๆ และใช้หอกชั้นเลิศของตนที่มีนามว่าทมโบคิริ หรือผ่าแมงปอชี้ไปด้านหน้า [2] มันเป็นภาพที่เหมือนกับดอนกิโฆเต้ที่โจมตีไปยังกังหันลม [3]
“สลายไปซะ !!!” เขาตะโกนออกมาสุดเสียงและพุ่งเข้าไป ด้วยเสียงปะทะที่รุนแรง ทหารที่อยู่ด้านหลังทั้งหมดของเขาก็ถูกกลืนกินเข้าไปในคลื่นพลังหยินขนาดใหญ่ทันที
อะซะอิ นะงะมะซะที่ตามมาติด ๆ กัดฟันกรอด และประกายแสงสีแดงก็สว่างขึ้นจากภายในชุดเกราะสีขาว เขาชักดาบคาตานะที่อยู่ข้างเอวทั้งสองเล่มออกมาและตะโกนเสียงดัง “สลาย สลาย สลาย !!!”
ด้วยคำพูดนั้น เขาก็ตามทาดาคัตสึเข้าไปในกำแพงพลังหยินโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองด้านหลัง
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ! เครื่องบินกระดาษนับพันที่ตามไปติด ๆ ก็พุ่งเข้าเข้าไปเช่นกัน
“พวกเขาเสียสติไปแล้ว…” เหล่าไดเมียวตนอื่น ๆ ที่หนีเพื่อรักษาชีวิตได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาของตัวเอง พวกเขาไม่มีความคิดที่จะติดตามวิญญาณพวกนั้นไปแต่อย่างใด กลับกัน พวกเขาเพียงเร่งความเร็วของตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันไม่สำคัญว่าตอนนี้พวกเขากำลังวิ่งไปที่ไหน เพราะสิ่งเดียวที่พวกเขาให้ความสนใจก็คือการหลบหนีไปจากคลื่นกระแทกของพลังหยินที่กำลังเข้ามาใกล้เท่านั้น !
แต่น่าเสียดาย พวกเขาไม่รู้เลยว่าคลื่นกระแทกพลังหยินนั้นเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และมันก็ตามพวกเขาไปติด ๆ หลังจากผ่านไปประมาณสิบวินาที คลื่นกระแทกดังกล่าวก็สูงขึ้นจนก่อตัวเป็นม่านพลังหยินที่แขวนตัวจากบนท้องฟ้าที่มืดมิดลงมายังพื้นดิน !
นี่คือพลังมหาศาลของพระยม
“นี่มันปีศาจตนใดกัน ?!!” โทกูงาวะ อิเอยาซุร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก ตอนนี้เขาอยู่ท่ามกลางเหล่าไดเมียวที่รวดเร็วที่สุด พวกที่ตามอยู่ด้านหลังได้ถูกคลื่นพลังหยินกลืนกินไปโดยไม่เหลือร่องรอย และเขาก็สามารถบอกได้ว่าคลื่นดังกล่าวนั้นไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย หากจะพูดให้ถูกก็คือตอนนี้… มันอยู่ห่างจากเขาแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น !
“บัดซบ…” เขากัดฟันแน่นและหันไปด้านหลัง “ทหาร…”
ทว่าเมื่อหันกลับไปเขาก็ต้องตกตะลึงมากกว่าเดิม
เขาตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่าตนเป็นหนึ่งในเหล่าวิญญาณร้ายเป็นอย่างดี
แต่ถึงกระนั้น ภาพที่เขาเห็นก็เพียงพอที่จะทำให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปจามกระดูกสันหลัง
เพราะว่าการระเบิดของคลื่นกระแทกนี้ไม่ใช่เพียงแค่การระเบิดของพลังหยินธรรมดาทั่วไป แต่ยังคงมีมือจำนวนนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากคลื่นนั้น หมายที่จะจับตัวพวกเขาราวกับว่าชีวิตของอีกฝ่ายขึ้นอยู่กับมัน และเพื่อที่จะทำให้เรื่องแย่กว่าเดิม เขามองเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวมากมายอยู่ในรอยแตกของมือพวกนี้ กรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนและทุกข์ทรมาน
มันคือนรกบนดิน
มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาถูกเคลื่อนย้ายไปยังมหาโรรุวนรกที่ 5 [4] แค่คิดถึงเรื่องนี้ เปลวไฟในดวงตาของเขาก็ไหววูบอย่างจนมันแทบจะดับลงโดยสมบูรณ์
หมับ… ทันใดนั้น หนึ่งในมือพวกนั้นก็คว้าหมวกที่เขาสวมอยู่ได้สำเร็จ จากนั้น… มืออีกจำนวนมากก็ตามมา ตรึงร่างของไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่ไว้กับที่ เบื้องหน้าของเขา ใบหน้าที่เจ็บปวดปรากฏเข้ามาอย่างใกล้ชิด กรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาน
“ไม่…” ภายในหัวของเขาคิดอะไรไม่ออก ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ ? เหตุใดขั้นยมทูตขาวดำอย่างเขาจึงไม่ต่างอะไรกับพวกวิญญาณอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย ?!
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ?!
“ไม่นะ… ไม่ !! ปล่อยข้า ! ข้าไม่ต้องการจะลงไปที่ยมโลก !!!”
และมันก็เป็นเสียงกรีดร้องเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก่อนที่คลื่นกระแทกทั้งหมดจะสาดซัดเข้าไปที่ช่องแคบสึชิมะ และลามไปถึงชิโกกุตลอดจนปูซาน วิญญาณทั้งหมดที่เร่ร่อนอยู่เหนือน้ำทะเล ไม่ว่าจะอยู่ระดับขั้นใด จะเต็มใจหรือไม่ ทั้งหมดต่างถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น
จากนั้น ขณะที่เสียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังของเหล่าไดเมียวดังขึ้นในส่วนลึกของคลื่นพลังหยิน กลุ่มก้อนสีขาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา ภายในไม่กี่วินาทีต่อมา ไดเมียวทั้งหมดก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าเหล่ามือที่กดร่างของพวกเขาเอาไว้… ค่อย ๆ คลายออก
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กลุ่มควันสีขาวตรงหน้าก็พลันกลายร่างและเผยให้เห็นใบหน้าของผู้หญิงใบหน้าซีดเผือดที่กำลังอ้าปากและกลืนกินพวกเขาทั้งหมดเข้าไป
“อึก… อ๊ากกก… อ๊ากกกกก !!!!” เสียงกรีดร้องที่บีบคั้นหัวใจของนางดังก้องไปทั่วช่องแคบสึชิมะเป็นเวลากว่าหลายสิบวินาทีก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด
……
ไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในใจกลางของคลื่นพลังหยินเลยแม้แต่น้อย ฉินเย่ที่ได้เปลี่ยนไปอยู่ในร่างยมทูตกำลังยืนอยู่ที่หัวเรือสำราญ ทหารม้า 2,000 นายยืนอยู่ด้านหลังของเขา เด็กหนุ่มมองไปยังทิศทางที่พายุพุ่งไปและเลิ่กคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “จบแล้วหรือ ?”
“น่าเสียดายจริง ๆ” เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพื่อต้องการที่จะแสดงความแข็งแกร่งต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มใหม่ของตน “ผู้ใดจะไปคิดว่ามันจะจบลงก่อนที่ข้าจะทันได้ลงมือเสียอีก… ท่านหมิง ท่านทำได้ดีมาก ข้าจะรายงานความสำเร็จของท่านให้กับท่านเปาได้ทราบทันทีที่เรากลับไปถึง ท่านรับความดีความชอบสำหรับเรื่องในคราวนี้ไปได้เลย”
หากฉินเย่พูดประโยคพวกนี้ออกมาในเวลาอื่น คำตอบที่เขาจะได้รับกลับมาก็คงจะเป็น “ข้าจะ@$#(&*^$&!” แต่ในเวลานี้ หมิงชีหยินทำเพียงนิ่งเงียบ พื้นผิวของกระจกโบราณยังคงเปล่งแสงกะพริบไม่หยุด แต่ทุกครั้งของการกะพริบ พื้นผิวของมันกลับมืดลงเรื่อย ๆ
“ข้าขอตัวสักครู่” ฉินเย่เอ่ยกับโนบูนางะก่อนจะเดินไปหาหมิงชีหยิน โนบูนางะเองก็ไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มเลยสักนิด เขาเพียงจับราวกั้นของเรือด้วยมือที่สั่นเทา จ้องมองไปยังทะเลลึกด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“ท่านเป็นอะไร ? คราวนี้พยายามจะทำอะไรอีก ?” ฉินเย่คว้ากระจกโบราณและพลิกมันหันกลับมาเผชิญหน้ากับตน
“ไม่…” หมินชีหยินสูดหายใจเข้าช้า ๆ ไม่ได้ตอบกลับโดยใช้ตัวอักษรแต่เลือกที่จะกระซิบตอบเสียงเบา “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง !”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร ?”
หมิงชีหยินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่แห่งพร่า “พวกมัน… หายไป”
“กองกำลังที่นำมาโดยพวกไดเมียวแทบจะถูกกำจัดไปจนหมดแล้ว แต่… ตัวของพวกไดเมียวกลับถูกใครบางคนช่วยเอาไว้ได้ทัน… มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้… บางอย่างกำลังจะมา !!”
ฉินเย่หรี่ตาลง “ช่องแคบสึชิมะอยู่ไม่ไกลจากชายขอบของญี่ปุ่นมากนัก มันก็มีความเป็นไปได้ที่อิซานามิจะเคลื่อนไหว เพราะเมื่อครู่นี้ข้าก็สัมผัสได้ถึงแหล่งพลังหยินที่รุนแรงที่ปรากฏขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว…”
“ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น !!!!” หมิงชีหยินสั่นเทา “เจ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ ?! หากสมุดแห่งความเป็นตายอยู่ในมือของอะซะอิ นะงะมะซะ เขาก็คงใช้พลังของมันไปนานแล้ว ! การสำแดงพลังของท่านเปาอาจจะทรงพลัง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะก้าวข้ามสมบัติทั้งสามของยมโลก ! แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น…”
สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ในทางกลับกัน มันมีความเป็นไปได้ที่สมุดแห่งความเป็นตายจะไม่ได้อยู่ในมือของอะซะอิ นะงะมะซะ และผู้ที่เก็บมันได้ก็ยอมที่จะปล่อยให้กองกำลังทั้งหมดต้องหายไปมากกว่าที่จะให้อะซะอิ นะงะมะซะรับรู้ความลับนี้ ไม่เช่นนั้น เราก็คงไม่สามารถกำจัดกองกำลังวิญญาณของยมโลกได้ง่ายดายเช่นนี้ !!”
“ใช่แล้ว” หมิงชีหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “นอกจากนี้ เมื่อครู่ ข้าได้ทำการตรวจสอบที่ผิวน้ำโดยรอบคร่าว ๆ และข้าก็พบว่าข้าไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย และที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะข้าตาบอดแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะ… เจ้าของสมุดแห่งความเป็นตายยังคงอยู่แถวนี้ ! เมื่อวัตถุศักดิ์เข้ามาใกล้กัน มันก็จะเริ่มสะท้อนซึ่งกันและกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป วัตถุที่มีพลังอ่อนกว่าก็จะไม่สามารถใช้การได้ !”
“เจ้าหนู…” กระจกโบราณกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “ผู้ถือครองสมุดแห่งความตายผู้นั้น… กำลังตามหาเจ้า”
“ยิ่งกว่านั้น… อีกฝ่ายยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาไม่กลัวโนบูนางะ และเขาก็มั่นใจว่าตนเองจะสามารถแย่งเศษตราจ้าวนรกไปจากเจ้าได้ !”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันเหงื่อออกทันที
‘เขา’ ที่ว่านี่คือใครกัน ?
บุคคลในยุคเซ็งโงกุที่จะสามารถมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองได้มากขนาดนี้คือใครกัน ?
ชื่อหนึ่งก็ผลุดขึ้นมาแทบจะในทันที
ฮนดะ ทาดาคัตสึ !
นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคเซ็งโงกุ !
นักรบในตำนานผู้ซึ่งไม่เคยได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่ครั้งเดียวแม้ว่าจะเข้าร่วมรบหลายต่อหลายครั้ง !
ถอยหรือ ?
หากเขาถอย มันก็คงเป็นเวลาอีกนานกว่าที่จะมีโอกาสได้สมุดแห่งความเป็นตายกลับมาอยู่ในมือ
สู้ ?
เป็นไปไม่ได้ ผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้มือสมัครเล่นอย่างเขาจะสามารถสู้กับเทพแห่งสงครามในตำนานของญี่ปุ่นได้อย่างไร ? เขาจะต้องถูกทุ่มลงกำพื้นในเวลาไม่นานแน่ ๆ…
แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่ผิวน้ำด้วยความตกตะลึง
และมันก็ไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้น แต่โอดะโนบูนางะก็มองไปที่ผิวน้ำด้วยแววตาที่เป็นประกายเช่นกัน
มุไร ซาดาคัตสึที่ยืนอยู่ทางฝั่งขวาของโนบูนางะชักดาบคาตานะของตนออกมา ในขณะที่โมริรันมารุหยิบกริชของเขาออกมา อันที่จริง ซามูไรตนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่เบื้อหน้าพวกเขาในตอนนี้ต่างมองไปยังผิวน้ำด้านหน้าอย่างระแวดระวัง ราวกับพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะตอบโต้การลอบโจมตีของศัตรูตลอดเวลา แม้แต่เหล่าทหารม้าเองก็กระชับหอกในมือของตนแน่น วินาทีนั้น บรรยากาศโดยรอบเรือสำราญเปลี่ยนเป็นตึงเครียด
ทันใดนั้น เสียงของบางอย่างก็ดังขึ้นให้ได้ยินจากจุดที่ห่างออกไป
มันคือเสียงควบม้า เสียงที่พวกเขาทุกตนต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี !
เสียงดังกล่าวตามมาติด ๆ ด้วยภาพของธงผืนใหญ่… ที่มีสัญลักษณ์ของตระกูลฮนดะ
ดวงตาของโนบูนางะลุกโชนด้วยไฟนรกทันที ในขณะที่ทหารม้าทั้งหมดต่างก็อ้าปากด้วยความตกตะลึง หากบรรยากาศก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความตึงเครียด บรรยากาศตอนนี้ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับคันธนูที่พร้อมจะยิง
ชายผู้มีชื่อเสียงนำหน้า ไม่มีใครที่มีชีวิตในยุคเซ็งโงคุไม่ได้ยินถึงชัยชนะของเทพแห่งสงคราม ฮนดะ ทาดาคัตสึ พวกเขาต่างรู้ถึงตำนานที่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บตลอดการไปรบของเขาเป็นอย่างดี
ยิ่งฝ่ายตรงข้ามเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ ความเร็วก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น ภายในไม่กี่วินาที ทหารม้ากว่า 300 นายก็ปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจนพร้อมด้วยกลุ่มก้อนพลังหยินที่อยู่ด้านหลังราวกับไอน้ำจากเครื่องจักร หอกยาวของทาดาคัตสึสร้างคลื่นขนาดใหญ่ขึ้นบนผิวน้ำ นอกจากนี้ บริเวณอกของอีกฝ่ายยังมีประกายแสดงสีดำขาวสว่างออกมาอีกด้วย
ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าๆ ร่างกายของเขาตึงเครียดขึ้น
มาแล้ว… เขามาแล้วจริง ๆ!
จะมีผู้ใดคิดว่าเขาจะกล้าพุ่งผ่านคลื่นกระแทกพลังหยินที่ทรงพลังมาหาราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ที่รออยู่ก่อนแบบนี้ ? นี่เขามั่นใจในกองกำลังทหารม้า 300 นายของตัวเองมากแค่ไหนกัน ? เขาจะต้องกล้ามากแค่ไหนกันถึงวิ่งเข้าหาศัตรูที่มีอาวุธครบมือด้วยสมุดแห่งความเป็นตายเพียงเล่มเดียว ?
เขาสามารถทำมันได้จริง ๆ น่ะหรือ ?
ฉินเย่กำราวจับที่อยู่ข้างเรือแน่น เขาได้ยินเสียงกรีดร้องเบา ๆ ดังมาจากส่วนลึกภายในจิตใจของตัวเอง เขาทำได้… เขามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ ! ไปจากที่นี่ซะ… นี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่นายจะสามารถรับมือได้ในตอนนี้ !
เขาควรค่าแก่ฉายาที่ได้มา เทพแห่งสงคราม ! ดูสิว่าโนบูนางะและกองกำลังทหารม้าของเขามีปฏิกิริยาอย่างไรกับการปรากฏตัวของเขา ! แค่ปฏิกิริยาของพวกเขาก็บอกแล้วว่าชื่อของฮนดะ ทาดาคัตสึนั้นน่ากลัวเพียงใด !
แต่ขณะที่ฉินเย่กำลังคิดที่จะหนี ความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปที่สิ่งอื่น และเด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยความตกตะลึง
ตอนนี้มีร่างมากกว่า 300 ร่างกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา…
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นด้านบน เขาก็เห็นเครื่องบินกระดาษกว่า 3,000 เครื่องที่กำลังพุ่งทะลุเมฆพลังหยินและตามกองกำลังของทาดาคัตสึมาติดๆ และชายที่นำหน้ามาก็คือชายในชุดเกราะสีขาวสะอาด และจิตสังหารที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาก็ไม่ได้น้อยไปว่าฮนดะทาดาคัตสึเลยสักนิด !
แต่ถึงกระนั้น จิตสังหารดังกล่าวไม่ได้พุ่งตรงมาที่ฉินเย่
“โอดะ โนบูนางะ !!!” อะซะอิ นะงะมะซะคำรามออกมาเสียงดังทันทีที่ภาพของเรือสำราญปรากฏขึ้นเบื้องหน้า “400 ปี… หนี้เลือดที่ติดค้างมาตลอด 400 ปีจะต้องถูกสะสางด้วยเลือดในวันนี้ !!!”
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่โนบูนางะ เมินเฉยต่อตัวตนอื่น ๆ รอบข้าง
ในจุดจบของการปะทะ เลือดจะต้องหลั่งริน ไม่ว่ามันจะเป็นเลือดของเขาหรือของฝ่ายตรงข้ามก็ตาม ม่านจะไม่ปิดฉากลงจนกว่าจะมีใครสักคนล้มลง
“น้องเขยของข้า…” โนบูนางะเงยหน้าและหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาก็พุ่งไปหาอะซะอิ นะงะมะซะ ตามไปติด ๆ ด้วยทหารม้าทั้ง 2,500 นายที่พุ่งออกไปราวกับสายฟ้า
“เจ้าพูดถูก มันควรจะปิดฉางลงเสียที…”
“เพราะอย่างไรแล้ว ข้าก็รู้สึกเสียใจกับความผิดพลาดที่ไม่ได้เป็นผู้เอาชีวิตของเจ้าด้วยมือของตัวเองมาตลอด…”
กรุบ กรุบ …เสียงควบม้าอย่างบ้าคลั่งดังก้องไปทั่ว มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาได้กลับมาสู่ยุคเซ็งโงกุอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ความสนใจของฉินเย่ไม่ได้อยู่ที่การปะทะระหว่างโนบูนางะและอะซะอิ นะงะมะซะเลยสักนิด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงซึ่งกำลังจับจ้องมาที่เขาเขม็ง
ตั้งแต่แรก เป้าหมายของอะซะอิ นะงะมะซะไม่ได้เพ่งเล็งไปที่ฉินเย่อยู่แล้ว แต่มันกลับเป็นสายตาของทาดาคัตสึที่จับจ้องไปที่ฉินเย่มาโดยตลอด
แรงกดดันที่ถาโถมลงมานั้นมากมายมหาศาล อันที่จริง จิตสังหารของฝ่ายตรงข้ามนั้นทรงพลังมากจนเชาโยวเต๋าและขนนกทมิฬที่เขาเคยปะทะมาก่อนหน้านี้กลายเป็นเด็กทารกไปเลยเมื่อเทียบกับวิญญาณตรงหน้า!
[1] ยอดนักรบผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของเทพเจ้าแห่งสงครามแข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคสามก๊ก
[2] ตำนานกล่าวว่ามันถูกตั้งชื่อตามความคมของหอกที่คมมากจนถึงขั้นที่แมงปอตัวหนึ่งถูกผ่าออกเป็นครึ่งทันทีที่มันบินมาที่ปลายหอก
[3] ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน (El ingenioso hidalgo don Quixote de la Mancha) วรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกที่เขียนโดยนักประพันธ์ชาวสเปนชื่อมิเกล เด เซร์บันเตส ซาอาเบดรา
[4] มหานรกขุมที่ 5 หรือพระตำหนักที่ 5 ซึ่งท่านเปาประจำอยู่