บทที่ 290: ความวุ่นวาย (1)
เศษตราจ้าวนรกของฉินเย่เริ่มหมุน และทั้งหมดก็กลับไปสู่ยมโลกแห่งใหม่ในเวลาเพียงไม่นาน
สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือแถวของผู้ตรวจสอบอดีตกรรมที่นั่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ที่หน้าประตูนรก หมิงชีหยินถูกจัดอยู่ในจุดสูงสุดของประตู ฉายถึงความรุ่งโรจน์ของยมโลกแห่งใหม่ ในแวบแรกที่มอง มันแทบจะเหมือนกับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
แต่หากมองไกลออกไป พวกเขาก็จะเห็นถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป
กู่ชิงยังคงสวมหมวกกันกระแทกของเขาและกำลังเดินไปรอบ ๆ พร้อมกับหัวหน้าแผนกตนอื่น ๆ ของบริษัทก่อสร้างหยิน สำรวจพื้นที่โดยรอบและทำสัญลักษณ์บนแบบร่างของตนพร้อมกับแบกขาตั้งในอ้อมแขน หากนี่เป็นเมื่อหนึ่งหรือสองเดือนก่อน พวกเขาคงจะได้ภาพดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรแล้ว เครื่องมือและอุปกรณ์ของพวกเขาในตอนนั้นก็มีอยู่อย่างจำกัด และมันสามารถใช้ได้แค่เพียงกลุ่ม ๆ หนึ่งเท่านั้น ในขณะที่คนงานที่เหลือก็ทำได้เพียงว่างงานอยู่เฉย ๆ แต่ตอนนี้ กู่ชิงและพรรคพวกของเขาไม่ได้เป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรอีกต่อไป มันแทบไม่มีพื้นที่ตรงไหนว่างเลยแม้แต่น้อย
ประชากรวิญญาณที่อยู่โดยรอบต่างยุ่งอยู่กับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมที่นั่งอยู่หน้าประตูนรกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยกำลังหมกมุ่นอยู่กับกรอกเอกสารบางอย่าง ซูตงเซวี่ยไม่ได้นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประจำของนางอีกต่อไป กลับกัน นางย้ายไปอยู่ในโถงเสริมเป็นการชั่วคราว และถูกล้อมรอบโดยกลุ่มวิญญาณจำนวนมาก พูดคุยและปรึกษาเรื่องต่าง ๆ
เมื่อฉินเย่และผู้ติดตามของเขาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ที่อยู่ใจกลางของประตูนรก พวกเขาก็ได้ยินเสียงบทสนทนาทั้งหมดอย่างชัดเจน
“ท่านต้องการจะจัดตั้งสโมสรฟุตบอล ? แถมยังเป็นสโมสรมืออาชีพด้วย ? ใครจะจ่ายเงินให้พวกเขากัน ? มันเป็นความคิดที่ดี แต่ยังไม่สามารถใช้ได้จริงสำหรับตอนนี้ ! ท่านอาจจะต้องรอจนกว่าผู้ประกอบการสักตนจะปรากฏตัวขึ้น เมื่อนั้นท่านถึงจะมีโอกาสก่อตั้งอะไรแบบนี้ได้ ! เพราะอย่างไรแล้ว ท่านคงไม่ได้คาดหวังว่าจะให้พลเมืองของเราระดมทุนเพื่อสโมสรของท่านหรอกใช่หรือไม่ ? แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องการมอบเงินสนับสนุนรอบแรก ? พี่ชาย ข้าไม่ได้จะดูถูกหรือเยาะเย้ยท่านหรอกนะ แต่ท่านคงไม่เคยทำธุรกิจมาก่อนเลยใช่หรือไม่ ? แล้วนี่ท่านกำลังพยายามส่งเสริมความคิดของผู้ใดกัน ?”
ฉินเย่แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยและเดินเข้าไป โนบูนางะและมุไรซาดาคัตสึขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อยก่อนจะเดินตามไป
ยมโลกแห่งใหม่ดูแตกต่างจากที่พวกเขาคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ในความคิดของพวกเขา ยมโลกควรจะเป็นสถานที่ที่เคร่งเครียดและเงียบสงัด แต่ยมโลกแห่งใหม่… กลับดู… ครึกครื้น
มันเสียงดัง และดูเหมือนจะสูญเสียความเงียบสงัดที่ยมโลกควรจะมีไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกไปแต่อย่างใด ชื่อของพวกเขาได้ถูกเขียนลงไปบนบันทึกนรกของยมโลกแห่งนี้แล้ว และพวกเขารู้ว่าจุดยืนของตัวเองอยู่ตรงไหน
ฉินเย่เดินตรงเข้าไปที่โถงเสริม ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เขาก็สามารถบอกได้ว่ามันอัดแน่นไปด้วยพลเมืองกว่าร้อยตน ซูตงเซวี่ยนั่งอยู่ท่ามกลางฝูนชนพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียว มองดูเอกสารตรงหน้าของตนอย่างสิ้นหวัง ผู้สูงอายุหลายตนยืนอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของฝูงชน พยายามอธิบายทุกอย่างโดยละเอียด
“สมาคมหมากรุก ? นั่นพอเป็นไปได้ แต่น่าเสียดาย เราไม่สามารถสนับสนุนเงินทุนให้ท่านได้ในขณะนี้ ตอนนี้เรายังคำนวณจำนวนเงินที่จะต้องถูกแบ่งให้กับอุตสาหกรรมใหญ่แต่ละแห่งอยู่ และทุกอย่างก็ต้องได้รับการอนุมัติจากท่านจ้าวนรกแล้วเท่านั้น… นอกจากนี้เงินทุนสำรองส่วนใหญ่ของเราก็ได้ถูกนำไปใช้สำหรับระบบการเช่ายืมและการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจแล้ว…”
“ฟิตเนสคลับ ? …สหาย นี่เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดีในการคิดเกี่ยวกับการสร้างกล้ามเนื้อ ?”
“เห้อ~… เจ้าช่วยอย่าเพิ่งรบกวนเราด้วยคำร้องที่ยังไม่จำเป็นอย่างสมาคมดูดาวได้ไหม ? ตอนนี้พวกเรากำลังยุ่งมาก ! แล้วเจ้ามองเห็นดาวสักดวงแถวนี้หรืออย่างไร ? เห็นหรือไม่ ?!!”
มันเสียงดัง เร่งรีบและวุ่นวายไปหมด แต่ทุกอย่างกลับดูเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มันเหมือนกับเปลวไฟที่แผดเผาไปทั่วทุกที่ กลืนกินความเงียบและความเฉื่อยชาที่เคยปกคลุมไปทั่วยมโลกแห่งใหม่ทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง
ความเหงาจากการที่ไม่มีสิ่งใดให้ทำ
ความเงียบอันน่าเบื่อหน่าย
ทันใดนั้นเอง เมื่อซูตงเซวี่ยเงยหน้าขึ้นมาและเห็นฉินเย่ นางก็รีบตะโกนออกมาอย่างโล่งอก “คารวะท่านจ้าวนรก !!!!!”
จากนั้นนางก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที
เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของนางคือการใช้เขาเพื่อเป็นข้ออ้างสำหรับการหลบหนีงานของตนเอง
ทุกอย่างโดยรอบพลันถูกปกคลุมด้วยความเงียบ การรับมือกับเหตุจลาจลอย่างโหดเหี้ยมของฉินเย่ยังคงเป็นความทรงจำที่ฉายชัดอยู่ในใจของวิญญาณทั้งหมด และพวกเขาก็รีบหลีกทางให้เด็กหนุ่มทันที
“ลุกขึ้นเถอะ” ฉินเย่ทำมือเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าที่เหลือออกไปก่อน ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุย”
ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน ทันทีที่วิญญาณทั้งหมดจากไปเขาก็หันไปถามหญิงสาวตรงหน้า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
“นายท่าน !!” ซูตงเซวี่ยใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มทีขณะที่เล่าถึงความยากลำบากของตน “ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยผู้นี้ขออ้อนวอนท่านได้โปรดเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่เพื่อรับมือกับปัญหาการสมัครและการบริหารเหล่านี้ด้วยเถิด ! รวมถึงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับหน่วยงานรัฐบาลด้วยเช่นกัน ! พวกเราทั้งหมดไม่สามารถรับมือกับมันได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว ! พวกเราแทบจะตายกันอีกรอบแล้วจริง ๆ! ข้า… โอ้… รูปงามยิ่งนัก… ชายผู้นี้คือใครกัน…”
หญิงสาวตื่นตะลึงกับความหล่อเหลาที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของตนเป็นอย่างมาก นางรีบพุ่งตัวไปอยู่ข้างมุไรซาดาคัตสึ มุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายและจับแขนของเขาให้มาพาดอยู่ที่คอของตน “นายท่านสังเกตเห็นถึงความพยายามอย่างหนักของข้าและนำของขวัญมาให้ข้าใช่หรือไม่ ? ข้ารับใช้ผู้นี้ขอรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ด้วยความเต็มใจ…”
แก้มของมุไรซาดาคัตสึกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขาพยายามข่มความต้องการที่เตะวิญญาณสาวออกไปไกล ๆ อย่างสุดความสามารถ
สีหน้าของฉินเย่เองก็เปลี่ยนไปซีดเผือดทันทีเช่นกัน ภาพพจน์ ! รักษาภาพพจน์ของตัวเองด้วย ! นี่เขาไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อใจได้อยู่ในนรกเลยหรืออย่างไร ?! ทั้งหมดที่เขามีมีเพียงกระจกปากมาก นักเกมเมอร์สาว แล้วก็ผีผู้หญิงที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากบุรุษเพศ… อ้อ… เขายังมีกู่ชิงอยู่หนึ่งตนที่เป็นคนปกติ…
ให้ตายเถอะ… เจ้าช่วยอย่าทำลายภาพลักษณ์ของข้าต่อหน้าสหายต่างชาติของเราจะได้หรือไม่ ? อ่า… พูดผิด ๆ …พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของเราแล้ว แต่นี่ก็ยังเป็นภาพที่น่าอับอายอยู่ดี…
“เอ่อ แค่ก แค่ก…” ซูตงเซวี่ยกระแอมออกมาและยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังของนักรบญี่ปุ่น นางไม่สนใจฉินเย่เลยแม้แต่น้อย และยังคงลูบใบหน้าของเขาด้วยผมของตนก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ยั่วยวนอย่างไม่น่าเชื่อ “ข้ายุ่งมากเลย~~! มีผู้คนจำนวนมากต้องการจะสร้างภาระให้ข้า สุดหล่อ ข้าน่าสงสารหรือไม่ ? ตั้งแต่ที่ท่านจ้าวนรกนำเครื่องมือและอุปกรณ์มากมายกลับมาด้วยในครั้งที่แล้ว ความเงียบสงบก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอดีตไป~~”
เงียบ
ฉินเย่เพียงหยิบบันทึกนรกออกมาเงียบ ๆ เปิดไปยังหน้าที่มีชื่อของซูตงเซวี่ยเขี่ยนอยู่และทำท่าจะลบมัน และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่หญิงสาวรีบคุกเข่าลงตรงหน้าของฉินเย่และตอบเสียงเบา “รายงานท่านจ้าวนรก ตั้งแต่ที่ท่านได้นำสิ่งของมากมายกลับมาในครั้งที่แล้ว พวกเราได้ใช้เวลาตลอดหนึ่งอาทิตย์ต่อมาในการตรวจดูของทั้งหมด แยกหมวดหมู่และจัดให้เป็นระเบียบ รายการสิ่งของในคลังทั้งหมดได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว หลังจากได้รับการอนุมัติจากเหล่ากู่ พวกเราจะประกาศรายการพวกนี้ให้แก่ประชากรทั้งหมดได้ทราบ และในคืนนั้น ยมโลก… ก็จะระเบิดด้วยความครื้นเครง !”
“ตลอดสองวันที่ผ่านมา พวกเราได้เห็นกลุ่มต่าง ๆ มากมายที่ก้าวออกมาสมัครในการก่อตั้งองค์กร สโมสรและสมาคมต่าง ๆ ผู้คนมาที่นี่ไม่ต่ำกว่า 30 เดินเข้าออกจากที่นี่ในสองวันที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีวิญญาณบางตนมาถามเราด้วยว่าเมื่อไหร่บริษัทที่เกี่ยวกับสายงานการผลิตจะถูกจัดตั้งขึ้น ธนาคารกลางจะให้เงินกู้หรือไม่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ และอีกมากมายหลายคำถาม ข้าได้จัดเรียงคำถามที่พบบ่อยที่สุดไว้ให้แล้วเพื่อที่ท่านจะได้ตรวจสอบมันเมื่อกลับมา”
แบบนี้สิถึงจะถูก…
ฉินเย่เก็บบันทึกนรกและนิ่งเงียบ
ข้าวของจำนวนหลายร้อยตันพวกนี้เป็นเหมือนกับกุญแจในการปลดล็อกความเจริญเติบโตที่พุ่งทะยานของยมโลกและหล่อเลี้ยงชีวิตของประชากร จุดประสงค์หลังของมันคือเพื่อไม่ปล่อยให้พวกเขาว่างพอที่จะคิดเกี่ยวกับการก่อจลาจล และช่วยส่งเสริมการจัดตั้งของระบบสกุลเงินโดยการทำให้เกิดความต้องการซื้อขึ้น !
นอกจากนี้ ระบบสกุลเงินยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการพิมพ์ ซึ่งเกี่ยวโยงอย่างไม่สามารถแยกได้กับอุตสาหกรรมสื่อที่ฉินเย่รักมากที่สุดด้วย สิ่งหนึ่งก่อให้เกิดอีกสิ่งหนึ่ง นอกจากนี้ นี่คืออุตสาหกรรมที่มีการใช้งานเครื่องจักรอยู่เรื่อย ๆ และไม่จำเป็นต้องใช้จำนวนคนมากไปกว่ากลุ่มบรรณาธิการและนักข่าวร้อยกว่าตน อุตสาหกรรมที่กำไรสูงและต้นทุนต่ำแบบนี้คือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของเด็กหนุ่มยิ่งนัก
ลองดูแดฮันเหนือและการที่ผู้นำของพวกเขาเพลิดเพลินไปด้วยความสุขอันล้นหลามสิ… พวกเขาประสบความสำเร็จมาได้อย่างไร ? ผ่านสื่อและเครื่องกระจายเสียงของรัฐบาลน่ะสิ ! หากพวกเขารายล้อมไปด้วยข่าวอย่างเช่นมีผีจากทั่วโลกอยู่รวมกันที่ช่องแคบแห่งหนึ่ง โลกใต้พิภพ XX เกิดสงคราม โลกใต้พิภพ YY เกิดการประท้วงขึ้น หรือโลกใต้พิภพ ZZ กำลังตกอยู่ในวิกฤตการเงิน นั่นจะทำให้พลเมืองของพวกเขามีความสุขหรืออย่างไร ?
และนี่ก็คือในกรณีที่ประชาชนสามารถมองเห็นการทำงานของรัฐบาลของพวกเขาได้อย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้น
การดึงม่านบังตาประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น… เขาหมายถึง เราไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปมองอดีตก็สามารถตระหนักถึงสิ่งนี้ได้…
ซูตงเซวี่ยมีสีหน้าจริงจังและเริ่มถ่ายทอดความคับข้องใจของตนให้ฉินเย่ฟัง “และหากมันมีเพียงเท่านั้น มันก็จะยังไม่แย่นัก น่าเศร้าที่พวกเราไม่เพียงแต่วุ่นวายเพราะกำลังคนไม่พอ แต่เรายังไม่มีพื้นที่ที่เพียงพอต่อการทำงานอีกด้วย ! ตอนนี้เรามีห้องโถงเสริมแค่สองห้องเท่านั้นในประตูนรก ! เมื่อวานนี้ บริษัทก่อสร้างหยิน พวกเรา กลุ่มของหวงเลี่ยงชวน ต่างพบว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแบ่งแยกพื้นที่ในโถงเสริมออกเป็นส่วนต่าง ๆ สำหรับแต่ละจุดประสงค์ การพูดคุยงานนั้นเสียงดังจนพวกเราไม่ได้ยินเสียงความคิดของตัวเองด้วยซ้ำ…”
ฉินเย่ขมวดคิ้วยิ่ง
การบริหารนั้นเหนื่อยแล้ว แต่การบริหารให้ดีนั้นเหนื่อยยิ่งกว่า
ทั้งหมดที่ฉินเย่พยายามที่จะทำก็คือผลักดันการจัดตั้งระบบสกุลเงินและเปิดอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และสื่อไปพร้อมกัน แต่มันก็ใช้เวลาเพียงไม่นานก่อนที่เขาจะตระหนักได้ว่ามันยังเกี่ยวโยงกับเรื่องอื่น ๆ อีกหลายประการ
ข้าราชการ ขอบเขตความรับผิดชอบของหน่วยงานราชการ การมอบหมายงาน การออกคำสั่ง… ฉินเย่มีเป้าหมายอย่างชัดเจน และเขาก็รู้ดีว่าพวกตนควรมุ่งหน้าไปในทิศทางไหน แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะระบุว่าพวกเขาควรเริ่มต้นจากตรงไหน
“จัดตั้งสำนักงานเลขาธิการ” อาร์ทิสที่เงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นในที่สุด “ข้ามีเลขานุการสิบตนที่ภายใต้การดูแลเมื่อครั้งที่ยังมีหน้าที่ดูแลมณฑลหมินเฟิง เมื่อมีพวกเขาอยู่ พวกเราไม่จำเป็นจะต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือลงนามในข้อตกลงและอนุมัติการทำงานเท่านั้น…”
หืม ? คุณผู้หญิง มันใช่สิ่งที่นี่ภาคภูมิใจอย่างนั้นหรือ ?
ฉินเย่กลอกตาให้อาร์ทิส ท่านเอาจ้าวนรกผู้ชาญฉลาดองค์นี้ไปเปรียบเทียบกับตุลาการนรกจอมขี้เกียจอย่างท่านได้อย่างไร ?
เด็กหนุ่มกระแอมออกมาเบา ๆ “เช่นนั้นก็เริ่มด้วยการรับสมัครเลขานุการร้อยตำแหน่ง…”
“…นั่นจะไม่เยอะเกินไปหน่อยหรือ ?” อาร์ทิสถามเสียงนิ่ง ความไร้ยางอายของท่านจ้าวนรกของพวกนางได้ก้าวไปอยู่อีกระดับหนึ่งแล้ว ยินดีด้วยสำหรับการเลื่อนระดับ…
ฉินเย่กระแอมออกมาอย่างกระดากอาย เขาเองก็รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถทำตัวขี้เกียจได้มากจนเกินไป เพราะอย่างไรแล้ว ความขี้เกียจอาจก่อให้เกิดปัญหาได้ และปัญหาที่เกิดจากความขี้เกียจก็จะรุนแรงและแก้ไขได้ยากกว่าปัญหาทั่วไปหากมันลุกลามไปทั่ว
เขารวบรวมสติ นั่งลงและเคาะโต๊ะเบา ๆ ขณะที่เริ่มประมวลผลข้อมูลมากมายนับไม่ถ้วนภายในหัว ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น สายตาคมจ้องมองไปยังภาพที่วุ่นวายของยมโลกที่อยู่ด้านนอกอย่างว่างเปล่า หลังจากผ่านไปสิบนาที เขาก็เอ่ยออกมาในที่สุด “ซูตงเซวี่ย ข้าต้องการให้เจ้ารวบรวมงานและหน้าที่ทั้งหมดของหน่วยงานราชการหลักทุกหน่วยงานเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการให้ทุกอย่างเรียบง่ายที่สุด อย่าให้มันเป็นเหมือนกับหน่วยงานราชการในแดนมนุษย์ที่เจ้าจะต้องเดินไปตามแผนกต่าง ๆ เป็นเวลากว่าสามวันก่อนถึงจะได้รับการอนุมัติสำหรับคำร้องขอธรรมดา ๆ พยายามรวบรวมหน่วยงานทั้งหมดไว้ในอาคารเดียว”
“ประการที่สอง ข้าต้องการให้เจ้าแต่ตั้งข้าราชการขึ้นมารับผิดชอบและทำหน้าที่ต่าง ๆ และมอบสิทธิพิเศษให้กับพวกเขา ข้าราชทั้งหมดจะได้เป็นกลุ่มแรกที่ได้สิทธิเข้าอยู่ในสวนจี้ชั่งระยะ 1 เมื่อมันเสร็จสมบูรณ์”
“ประการที่สาม ข้าต้องการให้เจ้าหยุดการทำงานเจ้าหน้าที่ทั้งหมดและแต่งตั้งเหล่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมทั้งหมดในตอนนี้ในฐานะของข้าราชการในหน่วยงานต่าง ๆ ภายในสามวัน ข้าอยากให้เจ้าแต่งตั้งผู้ตรวจสอบอดีตกรรมกลุ่มใหม่เพื่อเติมเต็มในตำแหน่งที่ว่าง ที่ซึ่งพวกเขาทั้งหมดจะได้เริ่มต้นในฐานะของเด็กฝึกงาน”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและสรุปได้ว่ามันไม่มีเรื่องอื่นอีก ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจบบทสนทนา เสียงข้องอาร์ทิสก็ดังขึ้นมา “ประการที่สี่ เรียกวิญญาณทั้งหมดมาเพื่อมาเข้าร่วมพิธีอัญเชิญหนังสือแห่งความเป็นตาย ห้า ให้กู่ชิงหยุดงานก่อสร้างทั้งหมดเพื่อสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และย้ำเตือนถึงวินาทีแห่งความสำคัญของยมโลก นี่คือเหตุการณ์ที่จำเป็นจะต้องได้รับการบันทึกลงไปบนพงศาวดารของยมโลก”
ฉินเย่พยักหน้าและพึมพำออกมาเบา ๆ “แต่นั้นไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนมิใช่หรือ ? พวกเราสามารถจัดพิธีอัญเชิญสมุดแห่งความเป็นตายในนรกเมื่อไหร่ก็ได้ แค่ตอนนี้มันก็มีเรื่องเยอะมากพอแล้ว เราช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้พูดทีหลังไม่ได้หรืออย่างไร ?”
อาร์ทิสส่ายหน้า “ไม่… พวกเราจะต้องให้ความสำคัญกับพิธีอัญเชิญสมุดแห่งความเป็นตายเป็นอันดับแรก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”
“เจ้า… ยังคงวิเคราะห์ทุกอย่างตามมุมมองของรัฐบาลบนแดนมนุษย์ มันอาจจะมีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันระหว่างการปกครองในยมโลกและการปกครองในแดนมนุษย์ แต่มันก็มีข้อแตกต่างหลายอย่างเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นการอัญเชิญสมบัติศักดิ์สิทธิ์จะทำให้พลังของยมโลกพลุ่งพล่านและเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ส่วนรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เจ้าจะเข้าใจทันทีที่เห็นมัน เพราะอย่างไรก็ตาม มันคงจะเป็นการรอบคอบกว่าที่จะวางแผนและทำทุกอย่างหลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ผู้ใดจะไปรู้ ความคิดของเจ้าในตอนนี้อาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไปหลังจากยมโลกเกิดอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้ ?”
การขยายตัวของยมโลกนั้นวิเศษขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ ?
ฉินเย่จ้องมองอาร์ทิสด้วยความสงสัย อีกฝ่ายเพียงหัวเราะออกมาเบา ๆ “อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่… การขยายตัวของโลกใต้พิภพแต่ละแห่งนั้นมีความพิเศษและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ?”
“เหมือนอย่างที่ประเทศต่าง ๆ บนแดนมนุษย์มีทรัพยากรธรรมชาติ สภาพอากาศและระบบนิเวศเป็นของตนเอง โลกใต้พิภพเองก็เช่นกัน สิ่งที่ยมโลกแห่งเก่าได้รับมาหลังจากเกิดการขยายตัวไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นในยมโลกแห่งใหม่ ทุกการขยายตัวของโลกใต้พิภพจะนำมันไปสู่ความสมบูรณ์แบบของกฎเกณฑ์สำหรับโลกใต้พิภพนั้น ๆ ข้าไม่เคยได้เห็นการขยายตัวของยมโลกมาก่อน แต่ข้าอ่านมาจากบันทึกหลายเล่มว่ามันจะต้องหยุดการดำเนินการทุกอย่างลงก่อน ให้ความสำคัญต่อการขยายอาณาเขต จากนั้นจึงปรับแผนการทุกอย่างใหม่โดยอิงจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการขยาย”