ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 58 ฉินเฟยมีชู้เหรอ? (2)
เจียงเยว่ถงไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินเฟยกับจางฉองหยวนเลยด้วยซ้ำ เธอก็ต้องกังวลใจอยู่แล้ว
โดยเฉพาะคิดถึง เมื่อสักครู่ที่จางฉองหยวนพาผู้คนมากมายมาที่หมู่บ้านเทียนฝู
“งั้นขอให้ประธานจางรอสักครู่ ฉันจะขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน” ฉินเฟยริเริ่มเอ่ยปากพูด ฝีมือในการแสดงก็อินไปกับมัน
“ได้”
ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถ เจียงเยว่ถงมองฉินเฟยที่นั่งอยู่เบาะคนขับ ดวงตาที่สวยงามฉายแววความกังวล และสับสนเล็กน้อย: “ทำไมเมื่อกี้จางฉองหยวนต้องเรียกคุณว่าคุณชายฉินด้วย?”
ฉินเฟยในตอนนี้ เธอค่อนข้างเดาไม่ออกเลยจริงๆ
“ง่ายมาก จางฉองหยวนไม่รู้ตัวตนของฉันเลยด้วยซ้ำ ยังไงซะเมื่อกี้เขาก็เห็นฉันกับจางฉองหยวนเดินกันใกล้ชิดขนาดนั้น และคิดว่าตัวตนของฉันไม่ธรรมดา” ฉินเฟยพูดวิเคราะห์อย่างจริงจัง
“อืม” เจียงเยว่ถงพยักหน้า ความกังวลบนใบหน้าไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เธอกลับรู้ตัวตนที่แท้จริงของฉินเฟย ก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกก็เท่านั้นเอง
แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่เจียงเยว่ถงก็ไม่ได้ดูถูกเขาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะช่วงนี้ ฉินเฟยทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวมากเกินไป และก็รู้ว่าฉินเฟยไม่ได้เป็นคนที่มุทะลุบุ่มบ่าม เขามีขอบเขตของตัวเอง
แม้แต่เจียงเยว่ถงเองก็ไม่รู้ ไม่รู้ตัวเลย ฉินเฟยที่อยู่ในใจของเธอ มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก
แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ธาตุแท้เบื้องหลังของฉินเฟยไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เขายังคงเป็นเด็กบ้านนอก ลูกเขยของตระกูลเจียงตระกูลชั้นรอง แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาจัดการกับตระกูลยักษ์ใหญ่ของซ่งไห่อย่างกล้าหาญ เพื่อตระกูลเจียง เพื่อพ่อของตัวเอง แต่เรียกได้ว่าทุกย่างก้าวอยู่บนเส้นเชือก ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ก็จะดิ่งลงเหว
เจียงเยว่ถงรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง และมองฉินเฟยพูดอย่างจริงจัง: “คุณเพิ่งมาอยู่ในสังคมได้ไม่นาน อย่าคิดว่าคนอื่นดีเเกินไป จะต้องระวังไว้ในทุกเรื่อง!”
ได้ยินคำพูดนี้ ภายในใจของฉินเฟยก็รู้สึกอยากจะขำ ภรรยาของตัวเอง ยังคงน่ารักแบบซื่อๆ และก็หลอกง่ายเกินไป
“ฉันรู้ คุณไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรหรอก” ฉินเฟยจริงจังกับความปลอดภัย
“จัดการเสร็จก็รีบส่งข้อความมาหาฉันสักหน่อย ฉันก็จะได้วางใจ” เจียงเยว่ถงพูดจบ ใบหน้าแดงเล็กน้อย และก็ทำเสียงเหอะ: “ฉันยังมีคำถามอีกเยอะที่จะถามคุณ!”
“รู้แล้ว”
มองรถอาวดี้ของเจียงเย่วถงจากไป ฉินเฟยจึงหันหลังมา สีหน้าจำใจเล็กน้อย: “ฉันว่านะพี่จาง คุณเล่นใหญ่เกินไปหน่อยไหม? ภรรยาของฉันเป็นผู้หญิงนะ อย่าทำให้เธอตกใจสิ!”
“ฉันกังวลว่าซุนเย่าเหวินคนเจ้าเล่ห์คนนั้นจะมาทำท่าทำทางดัดจริตและพูดจาหาความจริงไม่ได้กับฉันไม่ใช่ไง? ถ้านายเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา พวกพ้องของฉันเหล่านี้จะได้ช่วยนายได้ทันเวลาไง” จางฉองหยวนอธิบายด้วยรอยยิ้ม และมองไปที่ฉินเฟย
ฉินเฟยในวันนี้ ไม่ใช่ลูกชายคนโตวัย 16-17 ปีอย่างตอนนั้นแล้ว วันนี้เขาถอดความเป็นเด็กน้อยออกไปหมดแล้ว มีกิริยาท่าทางของผู้ชายแล้ว
“ให้พวกพ้องกลับไปเถอะ เราไปหาที่ดื่มชากันสักหน่อย?” ฉินเฟยรู้สึกตื้นตันใจ และกล่าว
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้อันตรายมาก ในเวลานี้ผ่อนคลายลง เขาต้องการหาสถานที่เพื่อผ่อนคลายสักหน่อยจริงๆ อีกอย่างเวลาตอนนี้ก็ยังเร็วเกินไป ยังไม่ถึง สามทุ่มเลย
“ได้ ฉันมีที่หนึ่งอยู่พอดี” จางฉองหยวนรีบออกคำสั่งกับคนที่อยู่ข้างหลัง ให้พาฉินเฟยเข้าไปในรถเบนซ์
“ไปร้านน้ำชาซินเยว่แล้วกัน” ฉินเฟยกล่าว
ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ตัวเองก็ไม่ได้ดื่มชามาเกือบครึ่งเดือนแล้ว
จางฉองหยวนตะลึงเล็กน้อย พยักหน้าแล้วพูดว่า: “ได้”
……
ตั้งแต่ครั้งแรกหลังจากที่มาคุยกับจางจงเยว่ที่ร้านน้ำชาซินเยว่ ฉินเฟยก็หลงรักที่นี่เข้าแล้ว
ร้านน้ำชาซินเยว่มีอายุเก่าแก่กว่าโรงแรมเทียนเซียงของจางฉองหยวน ว่ากันว่าเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ร้านน้ำชาซินเยว่ค่อนข้างมีชื่อเสียง พ่อค้าข้าราชการต่างก็ชอบมาดื่มชานั่งพูดคุยธุระต่างๆ ต่อมาหลังจากที่สร้างใหม่อยู่สองสามครั้ง ก็มีโรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่งในหมู่บ้านเทียนฝูปรากฎมากมาย แต่ชื่อเสียงของร้านน้ำชาซินเยว่ยังคงไม่ลดลงเลย
ที่จริงแล้วคนมากมายไปที่โรงแรมไม่ใช่เพื่อไปกินข้าว เพียงแค่กินไปคุยไป สิ่งที่สำคัญคือไปคุยธุระกัน ดังนั้นเถ้าแก่หลายคนไม่อยากมาทานของ จึงมาร้านน้ำชาซินเยว่เพื่อดื่มน้ำชาและคุยธุระกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นก่อน พวกเขาต่างก็คุ้นชินกันแล้ว และก็ชอบมาดื่มชาที่นี่อีกด้วย
ร้านน้ำชาซินเยว่มีเจ้าของเป็นตระกูลซู ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ร่ำรวยในซ่งไห่ หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย อีกอย่างเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีที่มาที่ไปอย่างลึกซึ้งที่สุด ว่ากันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาสามารถสืบย้อนไปถึงราชวงศ์ถังเมื่อกว่า 1,300 ปีที่แล้ว
ร้านน้ำชาซินเยว่ตรงหน้าได้ก่อสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อ 6 ปีก่อน ไม่ใหญ่ มีเพียง 3 ชั้นเท่านั้น การตกแต่งก็เป็นบรรยากาศเจียงหนานที่คลาสสิกอย่างยิ่ง ทำเลที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำใจกลางเมือง ซึ่งไม่เข้ากันกับตึกสูงระฟ้ามากมายโดยรอบ กลับมีความโดดเด่นเหนือใคร
ผู้จัดการล็อบบี้ชื่อซูเซิ่ง เป็นหลานของเจ้าของ แสดงว่าต้องรู้จักจางฉองหยวนแน่นอน ทันทีที่ทั้งสองพบกัน พวกเขาคุยกันอย่างกระตือรือร้น และหลังจากที่รู้ว่าฉินเฟยเป็นเพื่อนสนิทของจางฉองหยวน ก็กระตือรือร้นกับฉินเฟยเป็นอย่างยิ่ง
ฉินเฟยเคยมาเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น ซูเซิ่งก็ไม่รู้จักอยู่แล้ว
ฉินเฟยทักทายซูเซิ่ง และยืนพูดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ว่า: “ฉันกับลุงจางก็ไม่เข้าใจศิลปะการชงชา ดังนั้นเลือกนักชงชาสักคนเถอะ”
“เชิญครับ แม้ว่านักชงชาของเราจะไม่ได้มีการยอมรับกันภายใน แต่ก็ผ่านการตรวจสอบที่เข้มงวดแล้ว ศิลปะการชงชานั้นงดงามมาก” ซูเซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ฉินเฟยยิ้มและพยักหน้า มองดูป้ายนักดนตรีและนักชงชาหลายคนด้านบน ยิ้มเบาๆ: “จางหานหาละกัน”
“เพื่อนฉินคนนี้ตาถึง ศิลปะการชงชาของจางหานหานนั้นสูงสุดในบรรดา นักชงชาของเราเลย” ซูเซิ่งยิ้มและกล่าว
“งั้นก็ขอเลือกนักดนตรีสักสองคนละกัน”
“คุณฉินเป็นผู้สูงส่งงดงามจริงๆ”
จางฉองหยวนยืนอยู่ข้างๆก็หัวเราะเหอะๆ วันนี้คุณชายฉินดูเหมือนว่ามีอารมณ์สุนทรีย์มากๆ
ร้านน้ำชาซินเยว่ยังมีสไตล์รูปแบบโบราณอยู่หลายที่ ดื่มชาในร้านน้ำชา ยังมีนักดนตรีและนักชงชาอีกด้วย
แน่นอนว่าซูเซิ่งได้อธิบายไปแล้ว นักดนตรีและนักชงชาเหล่านี้ไม่ได้เป็นของร้านน้ำชาซินเยว่เลย ถือว่าได้ส่งไปร้านน้ำชาซินเยว่เพื่อทำมาหากิน เถ้าแก่บางคนมาดื่มน้ำชา ก็จะเลือกพวกเธอด้วย และเงินที่พวกเขาทำรายได้ก็แบ่งกันกับร้านน้ำชาซินเยว่ 20% และ80% ร้านน้ำชาซินเยว่ต้องการเพียง 20% ถือว่าเป็นค่าชื่อเสียง
ร้านน้ำชาซินเยว่เอาไปไม่มาก และก็ไม่ได้เอากำไรจากพวกเขา สาเหตุที่ให้พวกเขาพึ่งพาอาศัย ก็ถือว่าเพิ่มรายการบันเทิงให้กับร้านน้ำชาอีกหนึ่งรายการ
ขณะที่ฉินเฟยและจางฉองหยวนขึ้นไปชั้นบน นักดนตรีสองคนและนักชงชาคนนั้นที่ชื่อจางหานหานมารออยู่หน้าโรงน้ำชาแล้ว นักดนตรีสองคน คนหนึ่งถือพิณ คนหนึ่งถือขิมโบราณ เธอยังสวมชุดสตรีเจียงหนานโบราณอีกด้วย รูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่เพราะชุดที่พิเศษ จึงทำให้มีเสน่ห์มาก
จางฉองหยวนแค่มองไปที่ จางหานหานที่ก่อนหน้านี้เหมือนว่าฉินเฟยจะให้ความสนใจ จางหานหาน ไม่ค่อยสูง เธอสูงประมาณ 160 เซนติเมตร ชุดกระโปรงสีเขียวมรกต ยิ่งดูบอบบาง เพียงแต่ว่าเครื่องสำอางบนใบหน้าหนาไปหน่อย แต่จินตนาการได้ไม่ยากเลย ถ้าหากว่าล้างเครื่องสำอางหนาๆออก จางหานหานคนนี้น่าจะสวยกว่าแต่งหน้าเสียอีก
จางฉองหยวนมองฉินเฟยอย่างสับสน กลับเห็นฉินเฟยมองจานหานหานเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก็มองไปทางอื่น ราวกับว่าดูคนแปลกหน้า
แต่ว่า จางฉองหยวนสับสนอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าฉินเฟยรู้สึกนักชงชาคนนี้ที่ชื่อจางหานหานอยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า
ถ้าหากจำไม่ผิด ครั้งก่อนตอนที่เขามาดื่มชากับฉินเฟย นักชงชาที่ฉินเฟยเลือกมาก็คือจางหานหานคนนี้
เขาจำชื่อคนนี้ไม่ได้ กลับมีความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้ เพราะว่าตอนนั้นฉินเฟยได้เลือกจางหานหาน กลับไม่ได้ให้เธอแสดงการชงชาให้ดู แต่ให้ยืนรออยู่หน้าประตู หลังจากที่รอพวกเขาคุยธุระกันเสร็จ ฉินเฟยก็ทิปให้สาวคนนี้ไม่น้อยเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือจางเฉิงหยวนเป็นคนจ่ายเงินให้!
“เข้ามาเถอะ” ฉินเฟยยิ้มและกล่าว
“ค่ะ”
นักดนตรี 2 คนโอบเครื่องดนตรี แต่เพราะจางหานหานมาตรงหน้าสุดเพราะเป็นนักชงชา จางฉองหยวนมองจางหานหานอย่างมองบ้างไม่มองบ้างและเลิกคิ้วอีกครั้ง
ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา!
แม้ว่าในระหว่างนั้นจางหานหานไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ ถึงขั้นที่ว่าไม่รู้จักฉินเฟยเลยจริงๆ แต่เดินไปเพียงสองก้าว จางฉองหยวนก็สังเกตเห็นความแตกต่างของผู้หญิงคนนี้ มีความเป็นกุลสตรีในทุกอิริยาบถ ท่าทางเป็นธรรมชาติ แค่มองก็ไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป
ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ซูเฉิงบอกว่าฉินเฟยตาถึง!
คนสองสามคนเข้ามาในโรงน้ำชา มีสองห้องทั้งภายในและภายนอก ตรงกลางเป็นฉากกั้น ซึ่งเป็นภาพวาดหมึกสาดของหมู่บ้านริมน้ำเจียงหนาน เป็นโรงน้ำชาเล็กๆที่ประณีต มีกลิ่นอายความเป็นโบราณทั่วทุกที่
“ก็ 《เขาสูงน้ำไหล》แล้วกัน?” ฉินเฟยมองนักดนตรีทั้งสอง
“ได้” ผู้หญิงสองคนโค้งคำนับเล็กน้อย และนั่งอยู่ด้านนอกฉากกั้น
เดินไปในห้องด้านหลังฉากกั้น ห้องด้านในของโรงน้ำชา เป็นห้องชงชาขนาดเล็กที่ประณีต มีหยกนานาชนิดอยู่ในนั้น ชุดชาดินจื่อซาทุกอย่างมีพร้อมเสร็จสรรพ ศิลปะชงชาที่แท้จริงคือการดื่มชาอะไร ใช้ชุดชาพิเศษอะไร และอุณหภูมิของน้ำก็มีความเฉพาะเจาะจงด้วยเช่นกัน
ชาที่ใช้คือน้ำร้อนประมาณ 75 องศา และน้ำมันของชาต้องใช้น้ำร้อนเดือดในการชง และจะดื่มชาอะไร ก็ยังมีชุดน้ำชาพิเศษ เช่นเดียวกับแก้วเรืองแสงสำหรับไวน์องุ่นรสเลิศ
ในตอนนั้น คุณปู่ฉินฮ่าวก็ชอบเล่นอะไรทำนองนี้ ฉินเฟยรู้สึกว่าขั้นตอนมันซับซ้อนจริงๆ เพียงแค่มีความเข้าใจเล็กน้อย ส่วนจางฉองหยวนคนที่ไม่มีการศึกษาคนนี้ ก็ยิ่งไม่เข้าใจไปอีก
ฉินเฟยและจางฉองหยวนถอดรองเท้าหนังทั้งหมด คุกเข่าต่อหน้าโต๊ะน้ำชาที่ประณีต แล้วหันหน้าไปพูดกับจางหานหานที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างสงบว่า: “เชิญ”
จางหานหานพยักหน้าเบาๆ ไม่พูดไม่จาเลยตั้งแต่แรก ก้มตัวเพื่อถอดรองเท้า เป็นรองเท้าผ้าพื้นนิ่มสีเขียวมรกตเหมือนกัน ฝีมือประณีตมาก เรียวเท้าเล็กกะทัดรัดสวยงามคู่หนึ่งผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว
อากัปกิริยาที่งดงามของจางหานหานที่อยู่ตรงหน้าโต๊ะชา เรียวเท้าของเธอที่ห่อด้วยถุงน่องผ้าไหมถูกซ่อนไว้ในกระโปรงของเธอ และเอวบางที่ยืดตรงของเธอ ท่าทางที่สงบ มองดูที่ฉินเฟยและจางฉองหยวน: “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายทั้งสองท่าน อยากดื่มชาอะไรคะ?”
“ฉันก็ไม่เข้าใจ คุณเลือกเถอะ” จางฉองหยวนกล่าว มักจะรู้สึกว่าการคุกเข่ามันทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ นั่งไขว่ห้างไปเลย เขาหยิบบุหรี่ออกมาจุดไฟ ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนกำลังดื่มชาเลย
ฉินเฟยกลอกตามองบน ลังเลครู่หนึ่งและพูดว่า: “ฉันได้ยินคุณปู่เคยพูดว่า มีชาชนิดหนึ่ง เรียกว่าชาเมา หลังจากดื่มชาก็เหมือนกับเมาเหล้า รู้สึกแค่ตัวเบาเหมือนขนนก แต่ก็ไม่ได้เมา ไม่ทราบว่านักชงชาท่านนี้จะรู้จักชาชนิดนี้หรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ชาเมา’ ร่างกายบอบบางของจางหานหานก็สั่นเทาเล็กน้อย พยักหน้ากล่าว: “คุณต้องรอ 15 นาที”
“เชิญ” ฉินเฟยยิ้มค่อยๆยิ้ม