เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นที่อ่อนโยนและว่าง่ายนอกจากจะมีจิตใจงดงามและน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว ยังมีด้านที่รู้ความและเอาใจใส่ผู้อื่นเช่นนี้อยู่ด้วย
หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่าเขาผ่านการโจมตีทั้งแบบซึ่งหน้าและแบบซุ่มแทงข้างหลังมามากเพียงใด ทว่าเขาไม่เคยกลัวผู้ใดหรือสิ่งใดเลย หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้เขาไม่อาจวางใจลงได้ ก็คงจะเป็นมารดาที่ภายนอกดูเหมือนเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งแต่ภายในใจกลับหงอยเหงาและโดดเดี่ยว
เขายังไม่ทันได้บอกอะไรสักคำ นางไม่รู้แม้กระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้นที่ศาลาทิงอวี่เลยด้วยซ้ำ แต่เพียงเห็นว่าอารมณ์ของมารดาเปลี่ยนไป นางก็รู้จักไปปลอบประโลมมารดา และอยู่เป็นเพื่อนมารดาแล้ว…
หากเป็นเฉิงเจิงที่มารดาเลี้ยงดูฟูมฟักมาจนเติบใหญ่คงจะทำได้
แต่นางไม่ใช่เฉิงเจิงที่ฉลาดปราดเปรื่องและเฉียบแหลม
นางคือโจวเสาจิ่นที่ว่านอนสอนง่ายกระทั่งเบาปัญญาไปเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ในใจของเฉิงฉือยุ่งเหยิง
นางทำได้อย่างไรกันนะ
เป็นการแสดงความกตัญญูเพื่อตอบแทนคุณมารดา หรือว่าจะเป็นความเข้าใจในตัวเขาโดยที่ไม่ต้องบอก ที่รู้ว่าเขาเป็นห่วงมารดาเป็นที่สุด ดังนั้นหลังจากที่เขาไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลที่เป็นเสมือนการร่วมงานเลี้ยงที่หงเหมิน[1] นางก็เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่มารดา…
เฉิงฉือไม่ค่อยแน่ใจนัก
เขาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระภายในบ้านกับโจวเสาจิ่นไปเรื่อยๆ
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเอ่ยตอบอย่างเริงร่า
ทำเสมือนกับว่าไก่อบชาที่รับประทานเป็นมื้อเที่ยงจานนั้นรสชาติดีมาก ราวกับว่าการตัดเย็บเสื้อผ้าให้มารดาเป็นเรื่องสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง แบบที่เป็นที่นิยมของปีนี้เป็นเรื่องที่ต้องหารือกันให้ดีอย่างไรอย่างนั้น…ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร นางฟังแล้วล้วนดูสนอกสนใจไปเสียทุกอย่าง
หรือจะเป็นเพราะนางเติบโตมาถึงเพียงนี้แล้วแต่กลับเคยไปแค่เขาผู่ถัวเพียงครั้งเดียวกันนะ
อีกไม่กี่วันเขาต้องไปเมืองจี่หนาน ควรจะพานางไปด้วยหรือไม่…หรือว่าค่อยเลือกช่วงเวลาอื่นจะดีกว่า เขาไปเมืองจี่หนานในครั้งนี้เพื่อไปเยี่ยมซานไพ่ถังของทางนั้น คาดว่าอาจจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ ไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไร อีกทั้งนางทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากตนปกป้องดูแลไม่ได้ แล้วนางถูกคนอื่นทำร้ายขึ้นมาจะทำอย่างไร รอให้เฉิงเจียซ่านเข้าร่วมการสอบช่วงสารทฤดูเสร็จแล้ว ตอนที่เขาไปจิงเฉิงค่อยพานางไปด้วย ให้นางได้กลับไปเยี่ยมบิดาของนางที่เป่าติ้งด้วยพอดี ยังให้นางได้พักอยู่ที่เป่าติ้งสักระยะหนึ่ง รอให้เขากลับจากจิงเฉิงค่อยพานางกลับมาด้วย เช่นนี้เขาจะได้ไปทำธุระอื่นๆ ได้อย่างวางใจ นางเองก็จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับครอบครัวได้เป็นอย่างดีด้วย
ถึงเวลานั้นเรื่องแต่งงานของเฉิงเจียซ่านก็น่าจะตกลงกันได้แล้ว…เช่นนั้นมิเท่ากับว่าเสาจิ่นเองก็ต้องออกเรือนแล้วเหมือนกันหรอกหรือ
พอคิดถึงตรงนี้ เฉิงฉือก็ชะงักงัน อารมณ์พลันเปลี่ยนเป็นหม่นหมองขึ้นมา
เช่นนั้นมารดา…ก็ต้องเหลือตัวคนเดียวอีกแล้วมิใช่หรือ!
เฉิงฉือจินตนาการได้เลยว่า ภายในบ้านจะต้องเงียบเหงายิ่งกว่าเมื่อก่อนเป็นแน่ ยามที่เฉิงเซิงอยู่ด้วย นางมักจะหยอกเย้าล้อเล่นกับมารดาเสียงเจื้อยแจ้ว แต่ตอนที่โจวเสาจิ่นอยู่ด้วย กลับทำให้มารดากลายเป็นคนอ่อนโยนและอบอุ่นขึ้นมาจากภายในได้ ดังนั้นเรือนหานปี้ซานถึงได้มีบรรยากาศอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเฉกเช่นตอนนี้
เฉิงฉือย่นหัวคิ้ว
คงไม่อาจรั้งโจวเสาจิ่นให้อยู่ข้างกายมารดาตลอดไปได้กระมัง
เสาจิ่นเติบโตขึ้นก็ต้องไปมีชีวิตเป็นของตนเอง
ในห้วงความคิดของเขาก็มีภาพที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อครู่ปรากฏขึ้นมา
ภายในห้องเงียบงันไร้สุ้มเสียง ดวงหน้าของเด็กน้อยขาวผุดผ่องประดุจหยก รูปร่างผอมเพรียวบอบบาง อ่อนช้อยราวกับต้นหลิวในยามวสันตฤดู เผลอเพียงครู่เดียวก็สูงขึ้นไม่น้อยแล้ว
สายตาของเฉิงฉือตกไปบนร่างของโจวเสาจิ่น
นางยังคงสวมชุดเพ่ยจื่อสีเหลืองอ่อนแถบเขียว ช่วงล่างสวมกระโปรงจีบสีขาวพระจันทร์ ผมสีดำขลับเกล้าเป็นมวยหลวมๆ ปักไว้ด้วยปิ่นไข่มุกล้ำค่ารูปดอกติงเซียง อาภรณ์ขนาดพอดีตัวทำให้เห็นทรวดทรงองเอวอันบอบบาง
เขารู้สึกร้อนรุ่มเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นเห็นว่าเมื่อครู่ทั้งสองคนยังสนทนากันดีๆ อยู่ แต่เหตุใดเพียงชั่วพริบตาเดียวอารมณ์ของเฉิงฉือก็หดหู่ลง นางอดถามอย่างเป็นกังวลไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ท่านน้าฉือมีธุระสำคัญที่ต้องไปจัดการหรือไม่เจ้าคะ”
นางรู้ดีว่าตนดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบเฉิงฉือ เวลาคุยจึงอยากคุยให้นานและพูดให้มากกว่ายามปกติ ก็เลยกลัวว่าเฉิงฉือจะทนไม่ได้
เด็กน้อยผู้นี้ ตนอยากจะพักผ่อนอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง แต่นางกลับคิดขับไล่เขาไปเสียนี่
“ข้าไม่ได้มีธุระอะไร!” เฉิงฉือหลุดหัวเราะ พลางกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงไม่ปักปิ่นไข่มุกทะเลใต้ที่ข้ามอบให้เจ้าเล่า” เผลอหลุดปากพูดออกไปแล้ว ในใจลอบรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นว่าช่วงก่อนเจ้ามักจะปักปิ่นปักผมชิ้นนั้น ยังคิดว่าเจ้าชื่นชอบมันมากเสียอีก!”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่ออย่างไร้สาเหตุ
ไม่คาดคิดว่าท่านน้าฉือจะช่างสังเกตถึงเพียงนี้
สังเกตเห็นแม้กระทั่งว่านางชื่นชอบอะไร
“ข้าชื่นชอบมันมากเจ้าค่ะ!” นางอดลูบปิ่นไข่มุกล้ำค่ารูปดอกติงเซียงบนศีรษะไม่ได้ อธิบายไปว่า “นี่ก็ปลายเดือนสี่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ดอกเบญจมาศล้วนแตกยอดอ่อนแล้ว หลายวันก่อนข้าไปแยกต้นกล้าดอกเบญจมาศที่เรือนดอกไม้ แต่ใครจะรู้ว่ากลับทำปิ่นตกที่เรือนดอกไม้ไปตั้งแต่เมื่อใดข้าเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ต่อมาเมื่อกลับถึงเรือนฝูชุ่ยก็ค้นหากันครึ่งค่อนวันก็หาไม่เจอ ทำข้าร้อนใจแทบแย่ หากมิใช่เพราะบ่าวหญิงจากเรือนดอกไม้เก็บมาคืนให้ ข้าคงได้พลิกเรือนหานปี้ซานหาเสียแล้ว ถึงตอนนั้นจะต้องรบกวนไปถึงฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่…ข้ากลัวจะทำปิ่นหล่นหายอีก หลายวันมานี้จึงไม่หยิบมาประดับเจ้าค่ะ”
ยังมีอีกเรื่องที่นางไม่ได้บอก
ปิ่นไข่มุกทะเลใต้อันนั้นทำขึ้นมาอย่างวิจิตรล้ำค่า แล้วก็เป็นของมีน้ำหนัก นางปักแล้วค่อนข้างหนักเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ปิ่นถึงได้ร่วงลงมาจากศีรษะของนาง
หากจะโทษก็ต้องโทษผมของนางที่บางเกินไป
หากมีผมดกหนาอย่างเช่นผมของพี่สาวก็คงจะดี!
อย่างไรก็ตาม ฝานมามาบอกว่านางอายุยังน้อย อีกไม่กี่ปีผมก็จะหนาและยาวขึ้นเหมือนกับของพี่สาวเช่นกัน
เฉิงฉือไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้
ในใจของเขาพลันราวกับมีของอะไรบางอย่างไหลผ่าน ร้อนผะผ่าวจนทรวงอกสั่นไหว ทว่ากลับเป็นความรู้สึกสุขใจที่อธิบายออกมาไม่ได้ ทำให้เขาอดกล่าวออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า “ไม่เป็นไร” จากนั้นเอ่ยขึ้นอีกว่า “หากเจ้าทำหล่นอีกก็มาบอกข้า ข้าให้ร้านเครื่องประดับทำมาให้เจ้าใหม่ก็ได้แล้ว”
จะเอาแต่รับของของท่านน้าฉือเช่นนี้อยู่ตลอดได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณเฉิงฉืออย่างกระดากอาย กล่าวขึ้นว่า “ต่อไปข้าจะระวังให้ดีเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือรู้สึกว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
เครื่องประดับและอัญมณีอันเป็นสิ่งของแวววาวพราวตาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นมารดาผู้สูงศักดิ์ พี่สะใภ้ใหญ่ที่เข้าสังคมเก่ง หรือกระทั่งพี่สะใภ้รองที่เป็นคนเก็บน้ำคำ ต่างไม่มีสักคนที่ไม่ชื่นชอบ ถึงเวลานั้นค่อยเชิญช่างจากร้านเครื่องประดับมาทำเพิ่มให้นางอีกสักสองสามชิ้นก็แล้วกัน
เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก เหตุเพราะถ้อยคำของโจวเสาจิ่น เขาจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าใกล้จะถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างแล้ว ไม่รู้ว่าปีนี้เมืองจินหลิงจะจัดงานแข่งเรือมังกรหรือไม่
แน่นอนว่างานแข่งเรือมังกรที่เขากล่าวถึงนั้นหมายถึงการแข่งเรือมังกรที่ทางการเป็นผู้จัด ทุกๆ ปีชาวเมืองจินหลิงล้วนมีการจัดงานแข่งเรือมังกร เป็นงานที่ตระกูลใหญ่โตที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกเมืองจินหลิงร่วมกันจัดขึ้น โดยจะส่งบุตรหลานในตระกูลมาแข่งขันกัน ตระกูลเฉิงมีบุตรหลานไม่มากนัก ทั้งบุตรชายหลายคนยังเป็นขุนนางที่รับราชการอยู่ จึงไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันนี้ อีกทั้งในรัชสมัยก่อนหน้านี้ หลังจากที่เฉิงจื้อผู้เป็นบรรพบุรุษของเขาสอบผ่านได้ยศจวี่เหรินแล้วก็ไปออกศึกทำสงครามด้วยตนเอง บ่าวไพร่ในตระกูลเคยเข้าร่วมครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันอีกเลย
ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมการแข่งเรือมังกร
นอกจากนี้เหตุเพราะเรื่องค่าใช้จ่ายทางการจึงไม่อาจจัดงานแข่งเรือมังกรได้ทุกปี
อีกสองสามวันค่อยเข้าไปสอบถามเจ้าเมืองอู๋ดูสักหน่อยก็แล้วกัน
หากว่าทางการยังไม่ได้วางแผนอะไร เช่นนั้นเขาจะให้การสนับสนุนด้านการเงินกับทางการในการจัดการแข่งเรือมังกรสักครั้งก็แล้วกัน
ถึงเวลานั้นจะได้พามารดากับเสาจิ่นไปชมการแข่งขันด้วย
ตั้งแต่บิดาจากไป มารดาก็ย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน ออกไปข้างนอกน้อยครั้งยิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นงานแข่งเรือมังกรที่จัดขึ้นโดยทางการ บรรดาเหล่าอันธพาลต่างๆ ล้วนไม่กล้ามาก่อกวนสร้างความวุ่นวาย จึงปลอดภัยกว่า แต่สำหรับการแข่งเรือมังกรที่ชาวเมืองจัดขึ้นกันเองนั้น ทุกๆ ปีไม่รู้ว่ามีเด็กสาวหน้าตางดงามหลงหายไปมากมายเพียงใด
ครั้นเฉิงฉือตัดสินใจได้แล้ว ก็อยากจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นจนแทบจะทนไม่ไหว
เขาคุยกับโจวเสาจิ่นอีกสองสามประโยค แล้วลุกขึ้นขอตัวออกไป
เมื่อครู่โจวเสาจิ่นคิดว่าเฉิงฉือคงมีธุระที่ต้องไปจัดการ จึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก เพียงกระซิบบอกเขาว่า นางจะอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว จะเชื่อฟังเขาโดยจะไม่ออกไปที่ไหน ให้เขาวางใจ จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขาอย่างแน่นอน
เฉิงฉือรู้สึกว่าท่าทางว่าง่ายยามนางพูดนั้นช่างน่ามองยิ่งนัก ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาก็กล่าวได้ตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจของเขา ทำให้เขารู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขาจึงกลัวว่ายามที่ตนงานไปทำธุระอยู่ข้างนอกจะเกิดเรื่องขึ้นกับมารดาและเด็กน้อยที่อยู่ที่บ้านคู่นี้
เฉิงฉืออดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าเจ้าเชื่อฟัง ตอนกลับมาข้าจะเอาของกินอร่อยๆ มาฝากเจ้า”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว
นางไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย เหตุใดท่านน้าฉือถึงชอบหลอกล่อนางเสมือนนางเป็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่งอยู่เสมอเล่า
ยังบอกให้นางเชื่อฟัง แล้วตอนกลับมาจะเอาของกินอร่อยๆ มาฝากนางอีก…
นางไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริงๆ
แต่ความรู้สึกเช่นนี้…ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นรักใคร่และเอ็นดูเช่นนี้ช่าง…ดีเหลือเกิน…ทำให้นางรู้สึกเสียดายที่จะปล่อยมันไป…ยิ่งเสียดายที่จะกล่าวปฏิเสธ…
นางหน้าแดงเรื่อขณะก้มหน้าก้มตาเดินไปส่งเฉิงฉือออกจากเรือน
เฉิงฉือเห็นนางเตรียมจะไปส่งเขาออกจากลานบ้าน ทว่าไม่รู้ว่าท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำแล้วตั้งแต่เมื่อไร ราวกับว่าพายุฝนกำลังจะเคลื่อนเข้ามา จึงกล่าวขึ้นว่า “รีบกลับไปเถิด! ไม่ต้องไปส่งแล้ว! ระวังฝนตกด้วย” ยังกล่าวอีกว่า “แม้จะเป็นฝนต้นฤดูร้อน แต่ก็ยังคงเย็นเยียบจนทำให้คนเหน็บหนาวได้ ประเดี๋ยวต้องปิดประตูหน้าต่างให้แน่นหนา อย่าเอาแต่มองดูสายฝนจนตัวเปียกแล้วไม่สบายเป็นหวัดไป”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ กล่าวยิ้มๆ อย่างเก้อเขินว่า “ออกมาเพียงไม่กี่ก้าว ไม่เปียกฝนหรอกเจ้าค่ะ แล้วฝนก็คงจะไม่ตกเร็วถึงเพียงนั้นด้วย”
เฉิงฉือไม่พอใจ
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เช่นนั้นข้าจะยืนส่งอยู่ตรงนี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเห็นนางตอบว่าจะไม่ออกจากใต้ชายคาเรือน จึงพยักหน้าน้อยๆ แล้วรีบสาวเท้าออกจากลานบ้านไป
โจวเสาจิ่นมองดูเงาร่างของเฉิงฉือจนพ้นสายตาอยู่นาน แล้วถึงได้เดินกลับเรือนหลักไปอย่างเซื่องซึมเล็กน้อย
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็บังเกิดแสงฟ้าแลบและเสียงฟ้าผ่า
ปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างพากันไปปิดประตูหน้าต่าง
โจวเสาจิ่นลอบร้องอุทานอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ว่า “แย่แล้ว”
เมื่อครู่นางคิดแต่จะส่งเฉิงฉือออกไป จนลืมบอกให้เขาพกร่มไปด้วย
สภาพอากาศย่ำแย่เช่นนี้ ใกล้จะถึงฤดูฝนของเจียงหนานแล้ว ครั้นฝนตกลงมาก็จะตกติดต่อกันหลายวันไม่หยุด หากท่านน้าฉือเพียงออกไปทำธุระนิดหน่อยก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าหากต้องออกนอกเมืองไปที่ไกลๆ ก็คงจะลำบากเป็นแน่แล้ว
เหตุใดนางถึงได้ขี้หลงขี้ลืมถึงเพียงนี้เล่า
โจวเสาจิ่นรีบบอกชุนหว่านว่า “เจ้าไปสอบถามที่เรือนหลีอินให้ทีว่าท่านน้าฉือออกไปทำธุระหรือว่าออกเดินทางไปต่างเมือง สองวันนี้เกรงว่าลมฟ้าอากาศจะไม่สู้ดีนัก…”
ชุนหว่านได้ยินแล้วก็เม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่เพียงออกไปทำธุระนิดหน่อยเท่านั้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ หากต้องเดินทางไปที่อื่น จะไม่ไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไรเจ้าคะ”
จริงด้วย!
เหตุใดนางถึงได้คิดว่าท่านน้าฉือจะเดินทางออกนอกเมืองกันนะ
นอกจากนี้ท่านน้าฉือเดินทางอยู่ข้างนอกบ่อยๆ แม้แต่ตัวนางยังมองออกว่าฝนกำลังจะตก แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าต้องพกร่มไปด้วย ต่อให้เขาไม่รู้ ไหวซานและฉินจื่อผิงที่อยู่ข้างกายเขาล้วนเป็นผู้รู้การรู้งานถึงเพียงนั้น ย่อมต้องเตรียมร่มเอาไว้ให้เขาอยู่แล้ว
โจวเสาจิ่นฮึดฮัด
เสียงฟ้าร้องครืนๆ ดังอึงอลกลางท้องฟ้า
ชุนหว่านกล่าวเตือนโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรอง ท่านรีบกลับเข้าห้องไปเถิดเจ้าค่ะ! เสียงฟ้าร้องดังถึงเพียงนี้ เกรงว่าจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสะดุ้งตื่นขึ้นได้ ปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างกำลังตรวจดูประตูหน้าต่างกันอยู่ ข้าเองก็ต้องไปดูดอกไม้ของคุณหนูที่เรือนดอกไม้เช่นกัน”
ไฉนนางถึงลืมดอกไม้ที่เพิ่งย้ายลงกระถางไม่กี่วันก่อนนั้นไปได้
โจวเสาจิ่นกลับเข้าห้องชั้นในไปอย่างเสียศูนย์ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาจริงๆ กอดผ้าห่มขณะลุกขึ้นมานั่ง
เห็นนางเดินเข้ามาด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ จึงตกใจไปเป็นการใหญ่ ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
………………………………………………………………….
[1] งานเลี้ยงที่หงเหมิน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามฉู่ – ฮั่น (206-202 ปีก่อนค.ศ.) โดยเซี่ยงอวี่ แห่งรัฐฉู่ วางแผนลอบสังหารหลิวปังแห่งรัฐฮั่นในงานเลี้ยง