เฉิงฉืออดถามยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือก ลุกขึ้นมาจากข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวในทันที ร้องพึมพำขึ้นเสียงหนึ่งว่า “ท่านน้าฉือ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า
ปี้อวี้ที่อยู่ข้างๆ ตอบว่า “คุณหนูรองเล่นไพ่แพ้เสียเงินเจ้าค่ะ!”
“อ้อ!” เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น พลางกล่าว “เสียไปเท่าไร ข้าจะชดเชยให้เจ้า”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ” ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแดงก่ำประหนึ่งหลั่งโลหิตออกมาได้ก็ไม่ปาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ ปรายตามองเฉิงฉืออย่างขุ่นเคือง พลางกล่าว “พวกเราไม่ต้องสนใจเขา ไปล้างมือกินข้าวกันเถอะ!”
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงพลางเดินตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าไปในห้องชั้นใน
เฉิงฉือเต็มไปด้วยความสับสน
ปี้อวี้และคนอื่นๆ เม้มปากไม่กล้าหัวเราะ
เฉิงฉือรู้สึกอึดอัด
การที่ตนจะออกเงินให้ก็ผิดด้วยหรือ…
รอจนกระทั่งส่งโจวเสาจิ่นกลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดกล่าวกับบุตรชายคนเล็กไม่ได้ว่า “ปกติเจ้ากระทำสิ่งใดก็ใช้ความคิดความอ่านเสมอ ไฉนวันนี้ถึงทำตัวสับสนได้เล่า เด็กสาวเล่นไพ่ใบไม้ตาหนึ่งจะเสียเงินเท่าไรกันเชียว ต้องให้เจ้ามายืนตบอกอย่างโอ้อวดประหนึ่งเป็นเศรษฐีหน้าใหม่อยู่ตรงนั้นด้วยหรือ”
เมื่อครู่ตอนที่รับประทานอาหารอยู่เฉิงฉือก็คิดจนถ่องแท้แล้ว ตอนนี้จึงได้แต่ยกยิ้มอย่างเก้อกระดาก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอีกว่า “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้ายังมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเจ้าสักหน่อย”
เฉิงฉือกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านถามมาเถอะขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างครุ่นคิด “ระหว่างเจ้ากับโจวเจิ้นยังมีเรื่องอื่นอยู่ด้วยใช่หรือไม่”
เฉิงฉือตะลึงงันพลางเอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านถึงได้คิดเช่นนั้นขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอบ “ข้าเห็นว่าเจ้าปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นต่างจากผู้อื่น…เมื่อน้อยนักที่เจ้าจะสนใจหญิงสาวที่อยู่ข้างกายข้า”
เหตุเพราะบุตรชายไม่ยอมแต่งงาน นางเองก็เคยเชิญบุตรสาวของสหายเก่าแก่หลายคนที่นางคิดว่าเพียบพร้อมทุกด้านมาพักอยู่ที่บ้านเป็นเวลาสั้นๆ ช่วงหนึ่ง ทว่าเฉิงฉือกลับไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นใครเสียด้วยซ้ำ
“จริงหรือ” เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “ก็ดูปกตินะขอรับ”
เมื่อก่อนเขาชิงชังบรรดาหลานชายกับหลานสาวในบ้านยิ่งนัก โดยเฉพาะผู้อ่อนต่อโลกอย่างเฉิงเจียซ่านและผู้ร่าเริงสดใสและเป็นที่รักใคร่อย่างเฉิงเซิง มักจะรู้สึกว่าทุกคนต่างเป็นกิ่งก้านและเป็นสายเลือดเดียวกัน มีโลหิตสายเดียวกันไหลพาดผ่าน แล้วเหตุใดชีวิตของเขาถึงเดินได้แค่เส้นทางเดียว แต่พวกเขากลับประดุจแสงอาทิตย์เจิดจ้าที่อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นได้ ดังนั้นจึงมีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาเห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกอย่างบ้าบิ่นไม่เกรงใจใคร แต่ยิ่งเขาแผลงฤทธิ์เดชมากเท่าไร ผู้อื่นก็ยิ่งเกรงกลัวเขามากเท่านั้น เขาจึงยิ่งทำตามอำเภอใจมากยิ่งขึ้น การใช้ชีวิตเช่นนั้นทำให้เขาทั้งลุ่มหลงและสับสน กระทั่งไปเข้าร่วมการสอบขุนนาง ไม่มีผู้ใดกำหนดว่าบุตรหลานที่สืบทอดกิจการงานของตระกูลห้ามเข้าร่วมการสอบขุนนางสักหน่อย
แต่ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้พื้นเพของเขาถูกเปิดเผยออกมา
มีคนมากมายคาดเดาได้ว่าเขาเป็นคนเจียงหนาน แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่เมื่อถูกสอดแนมอยู่บ่อยๆ ก็ทำให้เขารู้สึกรำคาญจนไม่รู้จะรำคาญอย่างไรแล้ว
ถ้อยคำของมารดาทำให้เขาอดพิจารณาการกระทำของตนเองไม่ได้
เขาปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นดีกว่ากับผู้อื่นหรือ
เฉิงฉือคิดไปคิดมาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นดีมากถึงเพียงนั้นแต่อย่างใด
เขากล่าวอย่างใจลอยว่า “อาจจะเป็นเพราะนางเป็นเด็กจากบ้านอื่นกระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงียบงัน
นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าบุตรชายคนเล็กมีปมในใจอะไรต่อตระกูล
บุตรหลานของตระกูลใหญ่ตระกูลนี้รู้จักแต่จะกินดีอยู่ดี เล่นสนุกและใช้ชีวิตให้สุขสำราญไปวันๆ ทว่าไม่เคยขบคิดเลยว่าเงินทองเหล่านี้ได้มาจากที่ใด
ถ้าเจ้าสี่ไม่ได้สอบจนได้ยศจิ้นซื่อกลับมา พวกเขาคงไม่แม้แต่จะมองเขาอย่างเคารพเลยด้วยซ้ำ รวมถึงบุตรชายคนโตและคนรองของนางด้วย ล้วนได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เจ้าสี่ของนางเป็นคนที่ทะนงตัวมากผู้หนึ่ง จะไม่บ่มเพาะความเกลียดชังอยู่ในใจได้อย่างไร จะไม่บ่มเพาะความเคียดแค้นได้อย่างไร จะให้รักใคร่หลานชายหลานสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับตนได้อย่างไร
จู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รู้สึกใจสลาย
น้ำตาของนางไหลพรากลงมา จับมือของเฉิงฉือเอาไว้พลางร่ำไห้ด้วยเสียงสั่นเครือว่า “จื่อชวน เป็นแม่ที่ผิดต่อเจ้า!”
น้ำตาของเฉิงฉือก็รินไหลลงมาด้วยอย่างห้ามไม่อยู่
เป็นครั้งแรกที่มารดาผู้เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวผู้นี้หลั่งน้ำตาต่อหน้าเขาด้วยเรื่องของเขา
เขาโอบกอดมารดาไว้แน่นอย่างอดไม่ได้ พลางสะอื้นกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าสบายดี ท่านไม่ต้องห่วงข้า ขอเพียงท่านสุขสบายดี จิตใจของข้าถึงจะวางใจลงได้”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ยิ่งรู้สึกระทมทุกข์ กล่าวว่า “เป็นพวกข้าที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก หากไม่ใช่เพราะบรรดาหลานๆ ของพี่ชายและพี่สะใภ้ของเจ้าล่ะก็ ด้วยความสามารถอันเก่งกาจของเจ้า เจ้าจะไร้หนทางไปได้อย่างไร” กล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็หยุดร้องไห้ เงยหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา พลางกล่าว “จื่อชวน หรือไม่ เจ้าแต่งสะใภ้กลับสักคนหนึ่งดีหรือไม่”
สองแม่ลูกเคยคุยเรื่องนี้กันมาหลายครั้งแล้ว
ทว่ากล่าวได้ว่าแต่ละครั้งล้วนจบลงไม่ดีสักเท่าไร
เฉิงฉือที่เห็นหยาดน้ำตาของมารดานั้นไม่ปรารถนาจะทำให้มารดาทุกข์ระทมใจ แต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดเหมือนกัน
เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดทนว่า “ท่านแม่ ข้าไม่อยากให้บุตรชายของข้าเดินตามรอยของข้า! แต่ข้าสัญญากับท่านว่า ข้าจะแต่งงานสร้างครอบครัวอย่างแน่นอน ท่านให้เวลาข้าสักหน่อย ให้ข้าจัดการเรื่องข้างนอกให้เรียบร้อยก่อน ฉะนั้นท่านต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ ข้ายังหวังให้ท่านช่วยเลี้ยงลูกให้ข้าในภายหน้าอยู่นะขอรับ! ท่านช่วยอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้พี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองมาแล้ว อย่างไรก็ต้องช่วยอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ข้าด้วยเช่นกัน!”
เป็นคำกล่าวที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอิ่มเอมไปด้วยความปีติยินดี ลิงโลดดีใจจนออกนอกหน้า เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ได้” แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ขอเพียงเจ้าให้กำเนิดบุตรมาก็พอ แม่จะช่วยเจ้าเลี้ยงบุตรเอง รับรองว่าจะพร่ำสอนเขาเหมือนดังที่สั่งสอนเจ้าพวกสามพี่น้องนั้น อบรมสั่งสอนให้กลายเป็นจิ้นซื่อเป็นจวี่เหริน และเป็นสตรีผู้ทรงเกียรติอย่างแน่นอน”
เดิมทีกู้ซวี่สามีของเฉิงเจิงดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่พลเรือนในกรมพิธีการ เขามีวุฒิเป็นซู่จี๋ซื่อ ต่อมาแม้นว่าเพราะเฉิงจิงเข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมพิธีการ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกังขาเขาจึงไปเป็นเจ้าหน้าที่กองคดีในศาลต้าหลี่ เป็นขุนนางยศผิ่นขั้นหกเจิ้น แต่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่เขาจะนำยศ ‘ฮูหยิน’ อันสูงศักดิ์มามอบให้เฉิงเจิงยศหนึ่งนั้นนับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในไม่เร็วไม่ช้านี้อย่างแน่นอน
เฉิงฉือเห็นว่าอารมณ์ของมารดาดีขึ้นแล้วก็รู้สึกเบาใจขึ้น
ทว่ายิ่งพูดเรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับยิ่งพูดออกไปไกลเรื่อยๆ กล่าวอย่างคาดหวังว่า “จื่อชวน หรือไม่เจ้าก็แต่งงานเสียตั้งแต่ปีนี้ ลอบแต่งเข้ามาเงียบๆ ก็ได้”
นี่เป็นเรื่องที่ลอบแต่งเข้ามาอย่างเงียบๆ ได้ด้วยหรือ
เฉิงฉือรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เล็กน้อย
นึกไม่ถึงว่าคนที่มีเหตุผลและสุขุมอยู่เสมออย่างมารดา เพื่อเรื่องแต่งงานของเขาแล้วก็เอ่ยวาจาที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้ออกมาได้เหมือนกัน
เขารู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ เช่นนั้นมิใช่ว่าเป็นการทำผิดต่อผู้อื่นหรอกหรือ”
“จริงด้วย!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างผิดหวัง ทว่าภายในหัวสมองกลับมีภาพของเฉิงฉือที่อ้วนจ้ำม่ำและผิวขาวเนียนละเอียดยามเป็นเด็กน้อยปรากฏขึ้นมา จึงควบคุมจิตใจของตนไม่อยู่เล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ เจ้าให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งแล้วให้เลี้ยงดูอยู่ภายใต้นามพี่ชายใหญ่ของเจ้าดีหรือไม่ พี่ชายใหญ่ของเจ้าคงไม่คัดค้าน”
“บุตรชายของข้าข้าจะเลี้ยงเอง” เฉิงฉือพูดตามที่มารดากล่าว “ให้เลี้ยงดูอยู่ภายใต้นามของพี่ชายใหญ่นับเป็นเรื่องอะไรกันขอรับ ให้บุตรชายของข้าเรียกข้าว่า ‘ท่านอา’ แล้วเรียกพี่ชายใหญ่ว่า ‘ท่านพ่อ’ อย่างนั้นหรือ ต่อให้ข้าเห็นพ้องด้วย แต่เกรงว่าพี่สะใภ้ใหญ่คงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ท่านอย่าได้คิดเรื่องเหลวไหลอีกเลย เรื่องที่ข้าพูดออกไปแล้วมีเรื่องใดบ้างที่ทำไม่สำเร็จ ท่านเพียงดูแลรักษาสุขภาพของตนให้ดีก็พอ อย่าให้ถึงตอนที่ข้าแต่งงานแล้ว ท่านกลับเดินก็เดินไม่ไหวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะช่วยเลี้ยงบุตรให้ข้าแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า
เป็นชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกว่ามีความสุขได้อย่างแท้จริง
ทว่าเฉิงฉือที่เดินออกมาจากเรือนหลักกลับหยุดยืนอยู่ใต้ชายคาอย่างอดไม่ได้
สายฝนโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
ในความมืดมิด ฝนตกพรำๆ ลงมาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ในใจของเฉิงฉือพลันรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา
ความตึงเครียดระหว่างเขากับมารดา ความแตกร้าวระหว่างเขากับตระกูล ก็เสมือนสายฝนนี้ ที่ตกลงมาพรำๆ ไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดไม่หย่อน
ไหวซานรับรู้ถึงอารมณ์ของเฉิงฉือ กางร่มเหนือศีรษะของเขาอย่างระมัดระวัง
เฉิงฉือเดินออกมาจากเรือนหลักอย่างไร้จุดหมาย ครุ่นคิดพลางเดินไปเรื่อยๆ อยู่ภายในเรือนหานปี้ซาน
ไหวซานเคร่งเครียดไม่กล้าหายใจแรง ด้วยเกรงว่าจะรบกวนเฉิงฉือ
พระอาจารย์จากเขาจงหนานได้ยินว่านายท่านสี่ไปขอความช่วยเหลือจากเขา รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ไม่นานก็สามารถติดต่อหัวหน้าพรรคกระยาจกทางเหนือได้แล้ว
เมื่อเขาอธิบายความประสงค์ออกไป หัวหน้าพรรคกระยาจกก็ยินดียิ่งนัก กลับไปแล้วก็ปรึกษาบรรดาผู้อาวุโสที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ทว่าผู้อาวุโสจำนวนมากกลับไม่ยินยอม คิดว่าผู้ที่ติดตามนายท่านสี่ท้ายที่สุดล้วนจะกลายเป็นผักปลาในถ้วยของเขา แทนที่จะรับเงินมาแล้วต้องเชื่อฟังคนอื่นบงการ ไม่สู้ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีโดยไม่ต้องผูกมัดดังเช่นตอนนี้ยังจะดีเสียกว่า เดิมทีพรรคกระยาจกของพวกเขาก็ดำรงชีพด้วยการขอทาน ผู้ที่สนับสนุนและคัดค้านจึงมีจำนวนพอๆ กัน จนถึงตอนนี้ก็ยังตกลงกันไม่ได้
ดูจากอารมณ์ของนายท่านสี่ อีกไม่นานย่อมต้องเดินทางไปหาคนของพรรคกระยาจกทางเหนือเพื่อ ‘พูดคุย’ ด้วยตนเองอย่างแน่นอน
บางทีตอนนี้นายท่านสี่อาจจะกำลังตรึกตรองเรื่องนี้อยู่ก็เป็นได้
คิดถึงตรงนี้ เขาก็อดคาดเดาไม่ได้ว่า นายท่านสี่จะไปพูดคุยกับพวกเขาด้วยวาจาหรือด้วยกำลังกันนะ
ทว่าเฉิงฉือกลับไม่ได้ครุ่นคิดมากถึงเพียงนั้น
เขาเพียงอยากจะเดินไปเรื่อยเปื่อย เพื่อปลดปล่อยอารมณ์หงุดหงิดในใจออกไป
แต่พออารมณ์ของเขาสงบลงมา และหยุดฝีเท้าลง เขากลับค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าประตูพระจันทร์ของเรือนฝูชุ่ยเสียแล้ว
เฉิงฉือตะลึงงัน
เหตุใดเขาถึงเดินมาถึงตรงนี้ได้
ทว่าไหวซานกลับเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านสี่ ท่านมาหาคุณหนูรองมีเรื่องอะไรหรือไม่ขอรับ เวลานี้ เกรงว่าคุณหนูรองคงจะเข้านอนไปนานแล้ว อยากให้ข้าไปเคาะประตูดูหรือไม่ขอรับ”
แม้เขาจะไม่ทราบเรื่องที่โจวเสาจิ่นย้อนกลับมามีชีวิตใหม่ แต่เขาผู้เป็นบ่าวคนสนิทของเฉิงฉือ ก็รู้สึกได้รางๆ ว่าโจวเสาจิ่นมีความลับอะไรบางอย่างอยู่กับตัว นอกจากนี้ความลับนี้ยังมีความสำคัญต่อเฉิงฉือมากอีกด้วย
เฉิงฉือเอ่ยว่า “อ้อ” คำหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน!”
ไหวซานถือร่มให้เฉิงฉือแล้วกลับเรือนหลีอินไป
กว่าเฉิงฉือจะได้สติคืนกลับ ก็ตอนที่เขาล้างหน้าผลัดอาภรณ์และขึ้นเตียงไปแล้ว
เขาปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นต่างจากผู้อื่นจริงๆ หรือ
เฉิงฉือนึกถึงความไร้เดียงสาของโจวเสาจิ่น นึกถึงดวงหน้าพริ้มเพราของนาง นึกถึงความเปิดเผยและมองโลกในแง่ดีของนาง…ยังมีความอ่อนโยนและเอาใจใส่นั่นอีกด้วย
เด็กสาวเช่นนี้ผู้ใดพบเห็นก็ล้วนชื่นชอบมิใช่หรือ
แต่มารดาคงจะไม่ยิงธนูออกไปโดยไร้จุดหมายเช่นเดียวกัน ที่บอกว่าเขาปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นดีกว่าผู้อื่น!
หรือว่าจะเป็นเพราะโจวเสาจิ่นมีความสำคัญกับเขามาก?
ก็เหมือนจะไม่ใช่…นางเล่าเรื่องราวที่นางทราบให้เขาฟังแล้ว เขาเพียงต้องพิสูจน์เรื่องต่างๆ อย่างระมัดระวังก็พอแล้ว…เช่นนั้นเมื่อก่อนเวลาเขาพบเจอเรื่องเช่นนี้เขาจัดการมันอย่างไรนะ
ให้เงิน?
สัญญาว่าจะเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งให้?
เฉิงฉือรู้สึกสมองตื้อเล็กน้อย
ทว่าเขาครุ่นคิดอยู่นานก็คิดหาเหตุผลอะไรไม่ได้สักอย่าง ได้แต่เอนตัวนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีกะจิตกะใจจะขบคิดเลย
หรือว่าจะหาใครสักคนมาช่วยสะสางเรื่องนี้ให้ตนดี?
ครั้นความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็ถูกเขากดลงไป
นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของตน จะเล่าให้ผู้อื่นฟังได้อย่างไร
ช่างมันเถอะ!
รอให้ผ่านพ้นช่วงยุ่งๆ นี้ไปก่อนค่อยขบคิดเรื่องนี้อย่างถ้วนถี่อีกทีก็แล้วกัน
จิตใจของเฉิงฉือผ่อนคลายลงมา ค่อยๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างเงียบๆ
ตอนที่โจวเสาจิ่นได้ยินป้าผู้เฝ้าเวรกลางคืนบอกว่าเฉิงฉืออยู่ข้างนอกประตูของนาง ทั้งรู้สึกประหลาดใจระคนดีใจไปด้วย
รู้สึกประหลาดใจที่ดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้ว การที่เฉิงฉือมาหานางย่อมต้องมีเรื่องเร่งด่วนอะไรเป็นแน่ และรู้สึกดีใจที่อาจจะได้พูดคุยกับเฉิงฉือดีๆ อีก สองคนช่วยกันขบคิดปัญหาย่อมดีกว่านางขบคิดปัญหาตามลำพัง โดยเฉพาะเมื่อคนผู้นั้นเป็นท่านน้าฉือ นางคิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่เขาทำไม่ได้!
นางเข้านอนไปแล้ว แต่ก็รีบบอกให้ชุนหว่านเปลี่ยนอาภรณ์ให้นาง
ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “หรือว่านายท่านสี่จะนำเงินมามอบให้คุณหนูรองเป็นการส่วนตัวกันเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นกล่าวกับนางว่า “ต่อไปอย่าได้พูดล้อเล่นเรื่องนี้อีก ระวังท่านน้าฉือจะไม่พอใจเอาได้ เขามีเจตนาดี ตอนที่พวกเจ้าเสียเงินข้าก็ชดเชยคืนให้พวกเจ้าลับหลังเหมือนกันมิใช่หรือ!”
ชุนหว่านเอ่ยตอบว่า “ข้าเพียงคิดไม่ถึงว่าผู้ที่เย็นชาและเคร่งขรึมขนาดนั้นอย่างนายท่านสี่จะพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นถลึงตาใส่ชุนหว่านอย่างไม่พอใจ
ชุนหว่านรีบกล่าวว่า “ข้าจะไม่พูดอีกแล้วเจ้าค่ะๆ” พลางเร่งมือช่วยนางผลัดอาภรณ์อย่างรวดเร็ว
ทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้สวมชุดเพ่ยจื่อ ป้าผู้เฝ้าเวรกลางคืนก็มาแจ้งอีกครั้งว่า เฉิงฉือกลับไปแล้ว