พอได้มาเจอกับความห่วงใยอันแสนจริงใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัว โจวเสาจิ่นทั้งรู้สึกซาบซึ้งใจและรู้สึกผิด นางกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย จากนั้นพาฝานหลิวซื่อผู้เป็นแม่นมและคนอื่นๆ ไปที่จวนสี่ ทิ้งเสี่ยวถานให้อยู่เฝ้าบ้านที่เรือนฝูชุ่ย
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ กำลังเตรียมจะไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่เรือนเจียซู่ ได้ยินว่าโจวเสาจิ่นมา ก็ออกมาต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม
โจวเสาจิ่นรีบทำความเคารพฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ทว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่รอให้โจวเสาจิ่นยอบกายลงก็ก้าวออกไปจับนางเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างยินดีว่า “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี! เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องถือเรื่องนี้” กล่าวอีกว่า “เมื่อคืนเจ้าให้คนมาบอกว่าวันนี้เจ้าอยากมาเยี่ยมนายหญิงผู้เฒ่ากับข้า พวกข้าต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก นายหญิงผู้เฒ่ายิ่งแล้วใหญ่สั่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าให้ในครัวทำขนมวุ้นใสกับเต้าหู้ทรงเครื่องที่เจ้าชอบกินมากที่สุด ข้ายังขบขันนายหญิงผู้เฒ่า บอกไปว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่กินมื้อเช้าเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมา จะทำเต้าหู้ทรงเครื่องอะไรไปทำไม นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวว่า ไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่จวนหลักเป็นอย่างไรบ้าง เตรียมเอาไว้ก่อนดีกว่า หากเจ้ากินมื้อเช้ามาแล้ว ก็กินเป็นของว่างช่วงบ่ายก็ได้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาถึงตั้งแต่เช้าขนาดนี้ ยังไม่ได้กินมื้อเช้ามากระมัง นี่ประเดี๋ยวถ้านายหญิงผู้เฒ่าได้พบเจ้าแล้ว เกรงว่าจะยินดีจนแทบจะปิดเอาไว้ไม่มิดเป็นแน่”
โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างขัดเขิน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนชอบนางที่ยามปกติจะว่านอนสอนง่ายและพูดน้อย ทว่าในยามคับขันกลับมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจ ดึงมือนางเดินไปที่เรือนเจียซู่ด้วยกัน
แต่ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลังจากที่ส่งโจวเสาจิ่นออกไปแล้ว เฉิงสวี่ก็พุ่งเข้ามาแต่มาจากที่ใดนั้นก็ยากที่จะบอกได้
พอเขาเข้าประตูมาก็ตะโกนเรียกเสียงดังว่า “ท่านย่า” กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าตั้งใจมารับมื้อเช้าเป็นเพื่อนท่านโดยเฉพาะเลยขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า จับมือเขาเอาไว้พลางมองสำรวจขึ้นลงรอบหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เมื่อหลายวันก่อนฮวนสี่มาพูดพล่ามกับปี้อวี้ บอกว่าอาสี่ของเจ้าตรวจความเรียงให้เจ้าถึงสิบสองฉบับในคราวเดียวกัน แต่ละฉบับล้วนถูกวงไว้ด้วยคำแก้เต็มไปหมด ทุกข้อเจ้าต้องทำไม่ต่ำกว่าสามครั้งถึงจะผ่านไปได้อย่างยากเย็น ทำให้เจ้าผอมลงไปเยอะเลยทีเดียว แต่วันนี้ข้าดูสภาพของเจ้าแล้ว ไม่เพียงไม่ผอมลง ยังดูเปล่งปลั่งกว่าวันที่เพิ่งกลับมาใหม่ๆ วันนั้นเสียอีก มีท่วงท่าสง่างามของบัณฑิตแห่งเจียงหนานแล้วด้วยซ้ำ พูดมาเถิด ที่ให้ฮวนสี่นำความมาบอกข้านั้น เจ้าอยากจะทำอะไรลับหลังอาสี่ของเจ้าหรือ”
เฉิงสวี่จึงรู้ว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ปิดบังท่านย่าเอาไว้ไม่ได้ แต่ทั้งที่ท่านย่าทราบว่าเขาให้ฮวนสี่นำความมาบอกทว่าก็ไม่ได้ไปขอความเมตตาให้เขา เขาจึงรู้ได้ว่าเรื่องนี้ไปต่อไม่ได้แล้ว จึงไม่บอกอะไร ขยับเข้าไปยังเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าก็เพียงอยากจะออดอ้อนต่อหน้าท่านย่าก็เท่านั้นขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะพร้อมกับตบที่ฝ่ามือเขาแรงๆ สองครั้ง กล่าวขึ้นว่า “โตขนาดนี้แล้วยังจะออดอ้อนอีก อีกสองปีภรรยาของเจ้าแต่งเข้าบ้านมาเห็นเข้าจะมองอย่างไร!”
เฉิงสวี่สะดุ้งตกใจ ทว่าไม่กล้าถามให้มากความ ทำหน้าไร้เดียงสาพลางกล่าว “ต่อให้ข้ามีหลานชายแล้ว แต่อยู่ต่อหน้าท่านย่าก็ยังคงเป็นหลานอยู่ ยังคงออดอ้อนได้อยู่มิใช่หรือขอรับ”
“เช่นนั้นข้ามิต้องมีชีวิตจนกลายเป็นเทพเซียนไปเลยหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวหยอกล้อกับหลานชายคนโต อารมณ์เปรมปรีดิ์ยิ่งนัก
นางเข้าใจว่าที่เฉิงฉือบอกว่าจะชี้แนะการเขียนความเรียงให้เฉิงสวี่นั้นจะเป็นเพียงการพูดส่งๆ ไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะช่วยตรวจและแก้ความเรียงให้เฉิงสวี่ด้วยตัวเองจริงๆ เห็นเฉิงฉือให้คำชี้แนะเฉิงสวี่อย่างทุ่มเทเช่นนี้ นางคิดๆ แล้วก็รู้สึกพึงพอใจและมีความสุข
เฉิงสวี่ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปยังห้องโถงที่ตั้งสำรับเช้า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้ไปยังเข่งไม้ไผ่ที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะท่ามกลางจานเล็กๆ จนเต็มโต๊ะเข่งนั้นพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ทังเปาที่เจ้าชอบกินมากที่สุด ข้าให้คนทำเอาไว้หนึ่งเข่ง เมื่อก่อนเจ้าชอบกินเป็นที่สุด ไม่รู้ว่าไปอยู่จิงเฉิงมาสองปีความชอบจะเปลี่ยนไปแล้วหรือยัง”
เฉิงสวี่มองบนโต๊ะอาหารที่จัดชุดตะเกียบและถ้วยเอาไว้เพียงสองชุด ในใจพลันเสมือนกับถูกน้ำเย็นสาดใส่อย่างไรอย่างนั้น รู้สึกเย็นยะเยือก ไม่เพียงไม่กล้าเผยออกมาให้เห็นทางสีหน้า ยังต้องปรับอารมณ์ให้เบิกบานพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ดูท่านพูดเข้าสิขอรับ! ข้าไปจิงเฉิงสองปีคิดถึงทังเปาของที่บ้านเป็นที่สุด บางครั้งยังถึงกับเก็บเอาไปฝัน หลายครั้งที่อ่านตำราจนเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืน ก็มักจะอยากกินทังเปาของที่บ้าน อยากกินจนน้ำลายไหลไม่หยุด ต่อให้กินอิ่มสักแค่ไหนก็ยังอยากกินอีกอยู่ดี วันที่ข้ากลับมาถึงวันนั้น กินทังเปาไปถึงเจ็ดเข่งในคราวเดียวถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย…
…ยังคงเป็นท่านย่าที่ใส่ใจข้า รู้ว่าข้าชอบกินสิ่งนี้”
เขากล่าวหยอกล้อ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะพร้อมกับตบที่มือของเขาเบาๆ อีกครั้ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่ามาพูดมั่วซั่วต่อหน้าข้า! กินทังเปาไปเจ็ดเข่งอะไรกัน เห็นๆ อยู่ว่ากินไปเพียงสี่เข่ง…”
“ที่แท้ท่านย่าก็ทราบหมดทุกอย่าง?” เฉิงสวี่กล่าวอย่างเคืองๆ
แล้วเหตุใดถึงไม่ช่วยเขาพูดต่อหน้าท่านอาสี่สักหน่อยเล่า
เขากล่าว “สี่เข่งก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว ตอนนั้นข้าคิดว่า หากข้าไปจิงเฉิงอีก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาพ่อครัวของที่บ้านไปด้วยสักคนหนึ่ง ท่านไม่รู้อะไร ซาลาเปาที่จิงเฉิงนั้นเนื้อหนายัดไส้ เมื่อกินไปหนึ่งลูก ก็เท่ากับว่าท่านกินเสร็จไปแล้วหนึ่งมื้อ ตอนแรกๆ ก็รู้สึกว่าน่าสนใจดี แต่พอนานวันเข้า ข้าก็ไม่อยากอีกแล้ว…”
ระหว่างที่กล่าว เฉิงสวี่และฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็นั่งลงตามลำดับ พวกสาวใช้เองก็นำผ้าร้อนมาให้ทั้งสองเช็ดมือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นเฉิงสวี่ยังคงพูดเจื้อยแจ้วอยู่ตรงนั้น จึงกล่าวตัดบทคำพูดเขายิ้มๆ ว่า “ทำราวกับย่าไม่เคยไปจิงเฉิงมาก่อนอย่างนั้นแหละ รีบกินมื้อเช้าเถิด! อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ต้องออกเดินทางแล้วมิใช่หรือ”
เฉิงสวี่จำต้องหยิบตะเกียบขึ้นมา และจบบทสนทนาลง
ปี้อวี้ยกโจ๊กขาวมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
เจินจูถามเฉิงสวี่ด้วยรอยยิ้มเบิกบานว่า “วันนี้ในครัวยังทำโจ๊กลูกเดือยถั่วดำ โจ๊กเม็ดบัวดอกไม้จีน ต้มเลือดเป็ดใส่วุ้นเส้น บะหมี่ไก่ฉีกปรุงรส บะหมี่ราดน้ำปรุงรสถั่วเหลืองคั่วดำ[1] และบะหมี่ตันตัน[2] คุณชายใหญ่จะรับอะไรดีเจ้าคะ หรือต้องการให้ในครัวทำอย่างอื่นให้หรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงสวี่เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ที่บ้านทำบะหมี่ราดน้ำปรุงรสถั่วเหลืองคั่วดำกับบะหมี่ตันตันด้วยหรือ อาหารที่ข้าชอบกินที่สุดก็คือต้มเลือดเป็ดใส่วุ้นเส้นแล้ว!”
เจินจูกล่าว “เป็นนายท่านสี่ที่สั่งการลงมาเจ้าค่ะ บอกว่าคุณชายใหญ่กตัญญูรู้คุณ วันนี้ต้องออกเดินทางไปเจ่าหยวน จะต้องมารับมื้อเช้าเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งแต่เช้าตรู่เป็นแน่ กลัวว่าคุณชายใหญ่ไปอยู่จิงเฉิงมาสองปีจะชื่นชอบบะหมี่ราดน้ำปรุงรสถั่วเหลืองคั่วดำ จึงให้พี่สาวเฝ่ยชุ่ยไปแจ้งในครัวให้ทำเป็นพิเศษ คนในครัวเล็กของพวกเราทำได้ไม่ค่อยได้รสชาติดั้งเดิมนัก จึงไปเชิญพ่อครัวใหญ่ของโรงครัวชั้นนอกช่วยทำบะหมี่ราดน้ำปรุงรสถั่วเหลืองคั่วดำมาให้เป็นพิเศษ ส่วนบะหมี่ตันตันนั้นนายท่านสี่ชื่นชอบเจ้าค่ะ”
เฉิงสวี่ได้ยินแล้วก็รู้สึกหวาดหวั่น
ตอนเขาเป็นเด็ก ท่านอาสี่อาศัยอยู่กับท่านปู่รองที่จิงเฉิง เขาจึงไม่ค่อยมีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับท่านอาสี่สักเท่าไร ต่อมาท่านอาสี่กลับมาดูแลกิจการของตระกูล ทุกครั้งที่ออกจากบ้านล้วนนำของฝากอย่างเช่น กังหันลม และของเล่นจำพวกลูกรอกหรือของที่มีล้อหมุนเหล่านั้นกลับมาฝากเขา เขาจึงชื่นชอบท่านอาสี่ขึ้นมาในทันใด
แต่ท่านอาสี่มีนิสัยแปลกประหลาดยิ่งนัก ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดก็เย็นชากับเขาขึ้นมา
เวลานั้นนับวันการเรียนรวมถึงการบ้านของเขายิ่งอยู่ก็ยิ่งมากขึ้น เวลาสำหรับเล่นสนุกยิ่งอยู่จึงยิ่งน้อยลง ได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างการเรียนหนังสือกับไม่เรียนหนังสือ ไม่นาน ทั้งสองคนก็ค่อยๆ เหินห่างกันออกไปเรื่อยๆ
แต่ขณะที่เขากำลังคิดว่าท่านอาสี่ผู้ไม่เรียนหนังสือของตัวเองผู้นี้จะเป็นเหมือนคนทั่วไป ที่กลายเป็นคนที่ต้องพึ่งพาบัณฑิตที่บังเกิดขึ้นในตระกูลนั้น ท่านอาสี่กลับราวกับผู้ที่เตรียมตัวมาอย่างดี หนึ่งปีขยับระดับขึ้นไปหนึ่งก้าว สุดท้ายก็สอบผ่านจนได้รับการอวยยศเป็นถึงจิ้นซื่อ
เขาตะลึงงัน
อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมท่านอาสี่ของตนผู้นี้เป็นอย่างมาก
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้!
โดยเฉพาะตอนที่เขาเพิ่งสอบผ่านการสอบระดับท้องถิ่นมาใหม่ๆ ขณะกำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมการสอบระดับภูมิภาคในปีถัดไปอยู่นั้น ได้รู้เรื่องราวมากมายของสนามสอบ และก็ได้รู้ว่าการสอบขุนนางของราชสำนักนั้นยากมากเพียงไร
สอบผ่านการสอบครั้งที่หนึ่งอาจเป็นเพราะความมุมานะอุตสาหะ สอบผ่านการสอบครั้งที่สองอาจเป็นเพราะโชคช่วย แต่สอบผ่านสามครั้งติดต่อกัน โดยเฉพาะสนามสอบครั้งสุดท้ายอย่างการสอบขุนนางช่วงวสันตฤดู ที่สามปีมีครั้งหนึ่ง และรับเพียงสามร้อยคนเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ใช่เพียงเพราะความมุมานะอุตสาหะและโชคดีเท่านั้น…เขาจึงเสมือนกับเด็กผู้หนึ่งที่ได้ค้นพบวีรบุรุษอย่างกะทันหัน และก็เริ่มรู้สึกใกล้ชิดกับท่านอาสี่ขึ้นมา
ทว่ายิ่งอยู่ท่านอาสี่กลับยิ่งเย็นชากับเขา
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็หาสาเหตุไม่เจอ!
อยากจะพูดเรื่องนี้กับบิดา แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี
ถึงแม้ท่านอาสี่กับเขาจะไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กัน แต่ซองอั่งเปาช่วงเทศกาลปีใหม่และเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเขากลับไม่เคยขาดตกเลยสักครั้ง จะบอกว่าเขาปฏิบัติกับตนไม่ดีก็ไม่ใช่ แต่หากบอกว่าเขาปฏิบัติกับตนอย่างดี ท่านลุงและท่านอาหลายท่านเมื่อพูดถึงท่านอาสี่ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านอาสี่มีความรู้พื้นฐานแน่น เป็นผู้มีวิชาความรู้สูง แต่ที่ผ่านมาท่านอาสี่กลับไม่เคยสนใจเรื่องการเตรียมตัวสอบขุนนางของตนเลยสักครั้ง แล้วก็ไม่เคยให้คำชี้แนะเขาอย่างที่ผู้อาวุโสกระทำกันเลยเช่นกัน
อย่างในตอนนี้ การกระทำของท่านอาสี่ทั้งหมดดูไปแล้วเหมือนจะทำเพื่อให้เป็นผลดีต่อตัวเขา แต่จากมุมของเขาแล้ว กลับเหมือนกับกำลังสร้างรั้วไม้ไผ่ที่มองไม่เห็นขึ้นมาสายหนึ่งกั้นระหว่างเขากับโจวเสาจิ่น เพื่อแยกเขากับโจวเสาจิ่นให้ห่างออกจากกัน
นี่ท่านอาสี่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันนะ
เฉิงสวี่อยากไปถามเฉิงฉือดูยิ่งนัก
เขาถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านย่า ท่านอาสี่ไม่มารับมื้อเช้าพร้อมกับพวกเราหรือขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “เมื่อคืนอาสี่ของเจ้าคำนวณบัญชีอยู่ทั้งคืน เพิ่งได้พักผ่อนเมื่อเช้านี้เอง ข้าจึงสั่งไม่ให้คนที่เรือนของเขาปลุกเขาตื่น พวกเรากินกันก่อน รอให้อาสี่ของเจ้าตื่นแล้ว ข้าค่อยให้คนทำให้เขาใหม่”
เฉิงสวี่ครุ่นคิด ถามขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “เช่นนั้นคุณหนูรองตระกูลโจวเล่าขอรับ ปกติไม่มารับมื้อเช้าเป็นเพื่อนท่านหรือขอรับ”
“ปกติก็มากินเป็นเพื่อนข้าตลอด” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “แต่วันนี้ที่เรือนเจียซู่มีเรื่อง นางจึงไปที่นั่นแล้ว”
“เช้าเพียงนี้เลยหรือขอรับ” เฉิงสวี่เคลือบแคลงสงสัยยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “น่าจะเป็นเพราะมีเรื่องด่วนอะไรบางอย่าง เมื่อคืนข้านอนพักผ่อนไปแล้วถึงได้ส่งบ่าวสูงวัยเข้ามาแจ้งข่าว”
มือที่จับตะเกียบอยู่ของเฉิงสวี่บีบแน่นขึ้น
รู้แล้วว่าครั้งนี้ตนอย่าได้หวังจะได้พบหน้าโจวเสาจิ่นเลย
เขากล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างหดหู่ มีฉินจื่อผิงคุ้มกันส่งเขาไปยังเจ่าหยวน
***
ภายในเรือนเจียซู่ โจวเสาจิ่นที่รับมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งล้อมวงอยู่บนตั่งหลัวฮั่นกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวขึ้นว่า “ดูแล้วอากาศช่วงนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งร้อนขึ้นทุกวัน ข้าปรึกษากับลุงของเจ้าแล้ว ว่าจะซื้อที่สักผืนบนเขาชิงหลงเพื่อสร้างบ้านสักหลังหนึ่ง แล้วไปหลบร้อนช่วงฤดูร้อนที่นั่น ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไปอยู่กับพวกข้าด้วยสักช่วงหนึ่งก็แล้วกัน!”
รอให้อากาศค่อยๆ เย็นลงแล้ว ก็ส่งเสาจิ่นไปอยู่ที่เป่าติ้ง
เช่นนี้จะได้มีคำอธิบายให้จวนหลักด้วย แล้วก็ได้ดึงเสาจิ่นออกมาจากโคลนตมนั้นด้วย
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก เอ่ยขึ้นว่า “ท่านยาย เหตุใดจู่ๆ ท่านถึงมีความคิดจะสร้างบ้านที่เขาชิงหลงขึ้นมาหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง กล่าวสีหน้าจริงจังว่า “เสาจิ่น ต่อให้วันนี้เจ้าไม่มาเยี่ยมพวกข้า ข้าก็ตั้งใจจะส่งคนไปเรียกเจ้ากลับสักครั้งอยู่ดี ตอนนี้จวนหลักกับจวนรองมาถึงจุดแตกหักราวน้ำกับไฟไปแล้ว จวนสี่นั้นเคยได้รับความเอื้อเฟื้อทั้งจากจวนหลักและจวนรอง ไม่ว่าพวกเราจะยืนอยู่ฝั่งไหนก็ไม่เป็นผลดีทั้งนั้น แต่เมื่อหลายวันก่อนเจ้าก็เห็นแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าหลี่ของจวนสามมาหาข้า ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้ข้าช่วยไปพูดแทนจวนรองต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว หากข้าไม่ไป นางก็จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมจากไป และยังแสดงเจตนาว่าต้องการจะไปบอกจวนรองอีกด้วย ต้องใช้วิธีการที่สมเหตุสมผลถึงจะหลอกล่อบัณฑิตได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นดังบัณฑิต ส่วนจวนสามเป็นเพียงผู้น้อย ถึงแม้สุดท้ายข้าจะไปแล้ว แต่ภายในใจนี้กลับไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง…
…ข้ามาคิดไปคิดมาแล้ว จึงหารือกับลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้า ตัดสินใจกันว่าจะใช้ข้ออ้างเรื่องอากาศร้อนนี้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว รอให้ถึงเทศกาลปีใหม่แล้วค่อยกลับมา…
…ข้าไม่อยากให้เจ้าถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไปหลบร้อนกับพวกข้าด้วยจะดีกว่า!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมนัก ทว่าก็บอกไม่ได้ว่าไม่เหมาะสมอย่างไร กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “หรือไม่ ท่านลองไปคุยเรื่องนี้กับท่านพ่อของข้าดูดีหรือไม่เจ้าคะ เขารับราชการอยู่ในแวดวงขุนนาง เรื่องที่จวนสี่ควรจะหลีกเลี่ยงหรือควรจะตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งนั้น ท่านพ่อเป็นคนนอก ไม่แน่ว่าอาจจะมองเห็นได้ชัดเจนกว่าก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
……………………………………………………………………….
[1] บะหมี่ราดน้ำปรุงรสถั่วเหลืองคั่วดำ หรือ เจี๋ยเจี้ยงเมี่ยน (炸酱面) อาหารขึ้นชื่อของซานตง เป็นบะหมี่ที่คลุกด้วยซอสดำทำจากถั่วคั่ว
[2] บะหมี่ตันตัน (担担面) เป็นอาหารขึ้นชื่อของเสฉวน ปรุงรสด้วยน้ำมันปรุงรสที่ทำจากพริกหม่าล่า ผักดองต่างๆ และหมูสับ