พอเฉิงฉือเดินเข้าประตูมา สิ่งที่เห็นก็คือภาพอันแสนสุขภาพนี้
เขายิ้มน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าเตรียมตัวกันเสร็จหรือยัง พวกเราใกล้จะออกเดินทางแล้ว! วันนี้มีคนมาก ที่ทะเลสาบโม่โฉวต้องแน่นขนัดมากเป็นแน่ พวกเราควรจะออกเดินทางให้เร็วสักหน่อยเป็นดีที่สุด”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างมีความสุข ช่วยเสียบหวีสับทองฝังหยกลงไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้โจวเสาจิ่นประคองเดินออกมาจากห้องชั้นใน กล่าวกับเฉิงฉือว่า “อาสะใภ้สี่กับพี่สะใภ้เหมี่ยนของเจ้ามากันแล้วหรือ”
เมื่อวานตกลงกันแล้วว่าทุกคนจะเดินทางไปพร้อมกัน
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “รอเพียงท่านกับเสาจิ่นแล้วขอรับ” ขณะที่กล่าว นัยน์ตาก็มองไปที่โจวเสาจิ่นอย่างอดไม่ได้
โจวเสาจิ่นยืนยิ้มแย้มอยู่ตรงนั้น ยิ้มจนตาหยี มองแล้วทำให้คนรู้สึกสุขใจยิ่งนัก
เขายิ้มให้นางอย่างห้ามไม่อยู่ เข้าไปประคองอีกด้านหนึ่งของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับมีลูกนกตัวหนึ่งแอบกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขอยู่ในใจของนางก็ไม่ปาน
คนทั้งกลุ่มนัดเจอกันที่ศาลาทิงอวี่ ฮูหยินใหญ่หลูกับเฉิงเจียเร่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพกันแล้ว ฮูหยินใหญ่หลูกล่าวยิ้มๆ อย่างขออภัยว่า “เป็นความผิดของข้าเอง ที่ต้องการให้ลูกเจียเปลี่ยนชุด ถึงได้มาสายเช่นนี้!”
สายตาของทุกคนเคลื่อนไปตกอยู่บนเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวสีแดงสดทอลายสีทองกับปิ่นปักผมทองฝังทับทิมขนาดเท่าเม็ดบัวที่ปักอยู่บนมวยผมทรงดอกโบตั๋นของเฉิงเจีย
เฉิงเจียหน้าแดงเถือก
วันที่อากาศร้อนขนาดนี้ ถึงแม้การแต่งตัวเช่นนี้จะดูงดงาม แต่กลับทำให้คนรู้สึกร้อนมากเกินไป ไม่ค่อยเหมาะสมนัก
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นโจวเสาจิ่นที่แต่งตัวสบายๆ ดูสดชื่นนั่นแล้ว เฉิงเจียก็อยากจะกลับไปเปลี่ยนชุดแล้วค่อยกลับมาใหม่ยิ่งนัก
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวนต่างขึ้นเกี้ยวไปเรียบร้อยแล้ว ต่อให้นางอยากเปลี่ยนชุดก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่เบะปากขึ้นเกี้ยวไปพร้อมกับโจวเสาจิ่น
เกี้ยวเคลื่อนตัวไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงทะเลสาบโม่โฉว
ข้างทะเลสาบโม่โฉวเต็มไปด้วยฝูงชน
กระทั่งพวกนางเดินขึ้นหอชิงเยียนไป นั่งลงในห้องส่วนตัวที่เฉิงฉือจองเอาไว้บนชั้นสอง เมื่อปี้อวี้และคนอื่นๆ นำน้ำชากับของว่างมาขึ้นโต๊ะแล้ว ทะเลสาบโม่โฉวก็อึกทึกไปด้วยเสียงผู้คน ฝูงชนเบียดเสียดกัน เบื้องล่างของหอชิงเยียนแน่นขนัดจนให้ความรู้สึกว่าสามารถกั้นไม่ให้น้ำผ่านได้
เฉิงเจียหวาดผวา กล่าวขึ้นว่า “โชคดีที่พวกเรามาถึงเร็ว ไม่อย่างนั้นเกี้ยวคงต้องจอดติดอยู่บนถนนเป็นแน่ ไม่รู้ว่าจูจูกับพวกกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เป็นอย่างไรบ้าง”
“จริงด้วย!” โจวเสาจิ่นเดินเข้าไป ยืนพิงอยู่ข้างหน้าต่างมองไปยังเบื้องล่างพร้อมกับเฉิงเจีย
มีสาวใช้มารายงานว่า “คุณหนูของตระกูลกู้มาแล้วเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียไปต้อนรับถึงหน้าประตู
คุณหนูทั้งสามคนของตระกูลกู้ต่างมวยผมขึ้นเป็นทรงก้นหอยคู่หนึ่งและสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายทอเหมือนกัน เพียงแต่ว่าชุดของกูที่สิบเจ็ดเป็นสีแดงเลือดนก ปักผมด้วยปิ่นทรงใบแปะก๊วย ส่วนชุดของกูที่สิบแปดเป็นสีแดงเงิน ปักผมด้วยปิ่นไข่มุก และชุดของกูที่ยี่สิบเป็นสีขาวพระจันทร์ ปักผมด้วยปิ่นหยกมรกต
พวกนางยังนำของขวัญมาให้โจวเสาจิ่น เฉิงเจียและจูจูด้วย
ของขวัญของกูที่สิบเจ็ดเป็นบันทึกการเดินทาง ของขวัญของกูที่สิบแปดเป็นขนมทำเอง และของของขวัญของกูที่ยี่สิบเป็นถุงหอมทำเอง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ของขวัญของกูที่สิบเจ็ดมีมูลค่ามากที่สุด
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจกูที่สิบแปดกับกูที่ยี่สิบครั้งหนึ่ง
กูที่ยี่สิบไม่ได้ใส่ใจ หันมายิ้มน้อยๆ ให้นางอย่างเป็นธรรมชาติ
เพียงมองครั้งเดียวโจวเสาจิ่นก็รู้สึกชอบเด็กสาวทั้งสองคนแล้ว แล้วก็รู้สึกชื่นชมกูที่สิบเจ็ดเป็นอย่างมาก พี่น้องที่นางผูกมิตรด้วยทั้งสองคนล้วนดีงามยิ่ง ไม่เหมือนนาง ที่ไร้แววในการมองคน!
เฉิงเจียดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเช่นกัน ถอดเครื่องประดับที่อยู่บนตัวออกหมายจะมอบเป็นของขวัญให้คุณหนูตระกูลกู้ ทำหน้ามุ่ยกล่าวเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ลืมคิดไป…”
กูที่สิบเจ็ดรีบกดมือของนางเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราพี่สาวน้องสาวไม่ได้เจอกันนาน ก็เลยหาเรื่องสนุกทำเท่านั้น หากเจ้าทำเช่นนี้ ครั้งต่อไปพวกข้าจะไม่เอาอะไรมาให้พวกเจ้าอีกแล้ว”
โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเช่นกัน แต่เพราะนางถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือสั่งสอนบ่อยๆ จึงไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่มักจะกลัวว่าตัวเองจะทำอันนั้นอันนี้ได้ไม่ดีแล้วถูกผู้อื่นตำหนิอีกแล้ว นางไปยืนข้างๆ กูที่สิบเจ็ดพลางกล่าว “วันนี้เป็นวันที่ทุกคนออกมาเที่ยวเล่นด้วยกัน หากเจ้าถอดเครื่องประดับบนตัวออกมามอบให้พวกคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้ไปแล้ว บนศีรษะก็โล้นไปหมด จะดูไม่เรียบร้อย มีแต่จะทำให้คุณหนูของตระกูลกู้ลำบากใจเปล่าๆ ต่อไปทุกคนคงจะได้ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ อีก เจ้าก็อย่าลืมว่าติดหนี้น้ำใจของพวกนางในครั้งนี้อยู่ก็พอแล้ว”
เฉิงเจียถึงได้มีแผน ชวนพวกนางไปพายเรือที่บ้านในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอย่างกระตือรือร้น
กูที่สิบเจ็ดรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ตอบรับคำชวนยิ้มๆ
ถ้าเฉิงเจียถอดเครื่องประดับบนกายของตัวเองออกมามอบให้พวกนางจริงๆ บนร่างก็จะไร้เครื่องประดับ ผู้อื่นมีแต่จะคิดว่าพวกนางพี่น้องไม่รู้จักวิธีรับมือกับผู้คนยามเข้าสังคมเกินไป
โจวเสาจิ่นพาคุณหนูของตระกูลกู้ไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ
ห้องส่วนตัวขนาดสามห้องกั้นที่เฉิงฉือจองเอาไว้นี้ถูกแบ่งออกเป็นห้องๆ ด้วยฉากกั้น ห้องฝั่งตะวันออกเป็นของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ ห้องฝั่งตะวันตกเป็นของโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ส่วนเฉิงฉืออยู่ห้องส่วนตัวอีกห้องข้างๆ กัน
เมื่อออกมาจากห้องฝั่งตะวันออกแล้ว กูที่สิบเจ็ดกล่าวชมว่า “นี่เป็นความคิดของผู้ใดหรือ เมื่อดึงฉากกั้นออก ก็จะกลายเป็นห้องโล่งๆ แต่เมื่อดึงฉากมากั้น ก็จะกลายเป็นห้องอีกห้องหนึ่ง ทีนี้พวกเราจะพูดคุยกันก็ไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนพวกผู้ใหญ่แล้ว”
คงกลัวว่าหากมีคนคอยควบคุมอยู่ด้านบน จะพูดคุยกันได้ไม่เต็มที่กระมัง
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม นึกถึงท่าทางของเฉิงฉือที่หันมายิ้มน้อยๆ ให้นางเมื่อเช้า พร้อมกับดึงตัวคุณหนูทั้งสามคนของตระกูลกู้ไปเดินดูห้องส่วนตัวของหอชิงเยียน
กูที่สิบเจ็ดเดินดูไปหนึ่งรอบ ให้ความสนใจกับหาบเร่ที่ร้องตะโกนขาย ‘เกี๊ยวน้ำ’ และ ‘ทังเปา’ อยู่ใต้หอชิงเยียนเหล่านั้น ส่วนกูที่สิบแปดให้ความสนใจกับภาพปักของซูโจวที่แขวนอยู่บนผนัง มีเพียงกูที่ยี่สิบเท่านั้น ที่นั่งดื่มชาอย่างเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น บอกว่าชานี้เป็นชาที่เก็บก่อนวันเช็งเม้งที่เพิ่งนำออกมาขายของปีนี้ “เป็นชาปี้หลัวชุนชั้นยอด แต่ละยอดมีความยาวหนึ่งเฟิน ไม่เชื่อเจ้าลองเอาออกมาดูได้”
เฉิงเจียเบิกดวงตาโพลง ถามขึ้นว่า “อะไรคือแต่ละยอดมีความยาวหนึ่งเฟินหรือ”
คุณหนูยี่สิบของตระกูลกู้กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ใบชาอย่างไร มีเพียงชาปี้หลัวชุนชั้นดีเท่านั้นถึงจะเป็นเช่นนั้น!”
เฉิงเจียจึงให้ชุ่ยหวนไปเทชาของตัวเองทิ้ง ต้องการจะดูว่าใบชานั่นจะยาวหนึ่งเฟินจริงหรือไม่
คุณหนูยี่สิบของตระกูลกู้รีบห้ามเฉิงเจียเอาไว้ด้วยอาการเสียดายของดี กล่าวขึ้นว่า “เจ้าดื่มชาให้หมดแล้วค่อยเทออกมาดูก็ได้นี่นา!”
เฉิงเจียจึงยกจอกชาขึ้นกระดกจนหมดจอก แล้วเทใบชาลงบนถาดชาเพื่อเปรียบเทียบกัน
หลังจากตกอยู่ในอาการปากอ้าตาค้างไปแล้วคุณหนูยี่สิบของตระกูลกู้ก็บังเกิดความรู้สึกดีๆ กับเฉิงเจียขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด สนทนาพาทีกับเฉิงเจียไม่หยุด
โจวเสาจิ่นรู้สึกขบขันจนแทบทนไม่ไหว
กูที่สิบเจ็ดกลับกระซิบกล่าวขอบคุณโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “…ดีกว่าการส่งขนมมาให้ข้ามากโขเลยทีเดียว เมื่อวานท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้ายังเรียกข้าไปคุยด้วยครู่หนึ่งเป็นพิเศษอีกด้วย”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” โจวเสาจิ่นรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ช่วยเหลือกูที่สิบเจ็ดได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ก็เป็นเรื่องบังเอิญ คิดไม่ถึงว่าปีนี้จะมีการแข่งเรือมังกร อีกทั้งท่านน้าฉือยังออกมาดูการแข่งเรือมังกร แล้วยังจองห้องส่วนตัวที่หอชิงเยียนได้ด้วย”
กูที่สิบเจ็ดกล่าวอย่างมีปีติยินดีว่า “ไม่แน่ว่าโชคของข้าอาจจะเดินทางมาถึงแล้วก็เป็นได้!”
ทั้งสองคนปิดปากหัวเราะอยู่ตรงนั้น
มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังอยู่ด้านนอก
โจวเสาจิ่นและกูที่สิบเจ็ดมองออกไป
เสียงธงโบกสะบัด ฉัตรกางอย่างโดดเด่น บริวารล้อมหน้าล้อมหลัง องครักษ์คอยเบิกทางให้
คนจากจวนเหลียงกั๋วกงมาถึงแล้ว
เฉิงเจียเบียดตัวเข้ามา
กูที่สิบแปดกล่าวปลื้มปีติว่า “ช่างสมเกียรติยิ่งนัก!”
เฉิงเจียเบะปากอย่างไม่เห็นด้วย
โจวเสาจิ่นได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กล่าวขึ้นว่า “คนของจวนเหลียงกั๋วกงใกล้จะขึ้นมาแล้ว พวกเราปิดหน้าต่างเสียดีหรือไม่ จะได้หลีกเลี่ยงเผื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ปิดหน้าต่างเสีย
ไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินของจวนเหลียงกั๋วกงก็พาจูจูเข้ามา
ทุกคนออกไปยอบกายทำความเคารพ ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเหลียงกั๋วกงกล่าวย้ำกำชับกับจูจูหลายประโยคทำนองว่า ‘ห้ามดื้อห้ามซน’ และ ‘ต้องเล่นกับพวกพี่สาวน้องสาวดีๆ’ จากนั้นก็ทิ้งจูจูเอาไว้แล้วเดินไปที่ห้องส่วนตัวของตัวเอง
มีญาติฝั่งสะใภ้ของตระกูลจูตามมาร่วมชมการแข่งเรือมังกรด้วยเช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวบอกให้พวกนางไปเล่นกันเอง “จะได้ไม่ต้องมาคอยปรนนิบัติคนแก่อย่างพวกข้า!”
“ดูท่านพูดเข้า” กูที่สิบเจ็ดเป็นคนที่รับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดีที่สุด กล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นท่านที่กลัวว่าพวกข้าจะส่งเสียงดังรบกวนพวกท่านมากกว่ากระมัง”
ทุกคนต่างพูดคุยหัวเราะกันอีกหลายประโยค แล้วก็เดินไปยังห้องฝั่งตะวันตก
จูจูพลันผ่อนคลายลงมาในทันใด เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “ข้าร้อนจะแย่แล้ว” จากนั้นก็จะถอดชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมสีน้ำเงินไพลินปักลายผีเสื้อโบยบินผ่านดอกโบตั๋นที่คลุมอยู่ด้านนอกออกและจะสวมเพียงเสื้อตัวในดื่มชาเท่านั้น
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจกันเป็นการใหญ่
จูจูกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “ในนี้ไม่ได้มีผู้อื่นอยู่ด้วยเสียหน่อย!”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “บรรดาคุณหนูของตระกูลกัวยังมากันไม่ถึงเลยเจ้าค่ะ!”
จูจูทำหน้ามุ่ยพลางกล่าว “แขกล้วนตามใจเจ้าภาพ พวกนางรู้จักสงวนท่าที ไม่ว่าอะไรหรอก!”
นี่ช่างตรงกับคำกล่าวที่ว่าอุบายธรรมดาใช้กับบัณฑิตไม่ได้ผลนั้นเสียจริงๆ!
โจวเสาจิ่นร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้
ด้านนอกมีเสียงกลองดังขึ้น แล้วก็มีคนตะโกนขึ้นว่า “โปรดเงียบลงก่อนๆ พี่น้องทั้งหลาย พ่อเมืองของพวกเรา ท่านใต้เท้าอู๋มีเรื่องจะคุยกับทุกท่านสักสองสามประโยค”
จูจูถอดชุดเพ่ยจื่อออก สวมเพียงเสื้อตัวในวิ่งไปที่หน้าต่าง
สาวใช้สองคนที่นางพามาด้วยทำเสมือนกับว่ามองไม่เห็น
ทุกคนจึงได้แต่ปล่อยตามใจนาง เข้าไปดูความคึกคักด้วยกัน
อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ใต้เท้าอู๋ก็ยังสวมชุดขุนนางเต็มยศยืนพูดอยู่ตรงนั้น เนื่องจากอยู่ห่างไกลมากเกินไป พวกนางจึงได้ยินไม่ชัดเจนนัก
จูจูพลันหมดความสนใจลงในทันที กล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ใต้เท้าอู๋ก็มีหน้าตาเป็นเช่นนี้นี่เอง! คุณหนูใหญ่อู๋มีความคล้ายคลึงเขาอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นคาดว่าเขาคงไม่อาจสู่ขอฮูหยินอู๋มาได้”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าจูจูพูดได้มีเหตุผลยิ่ง จึงส่งยิ้มหวานไปให้
จูจูจึงคล้องแขนนางหลบไปคุยข้างๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากำลังจะแต่งงานไปอยู่ที่เป่าติ้งแล้ว”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินท่านน้าฉือพูดขึ้นมา”
ขอบตาของจูจูแดงเรื่อ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อของข้าจะใจร้ายเพียงนี้ บอกว่าจะให้ข้าแต่งออกไปไกลๆ ก็ให้ข้าแต่งออกไปไกลจริงๆ ไม่ว่าข้าจะขอร้องเขาอย่างไรก็ไร้ผล ไม่รู้ว่าคนตระกูลฟ่านตระกูลนั้นเป็นคนอย่างไร บอกว่าเป็นคนซื่อสัตย์เชื่อถือได้ แต่ใครจะรู้ว่าเป็นการเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่ บนโลกใบนี้มีคนที่แขวนหัวแพะแต่ขายเนื้อสุนัขถมเถไป! ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ช่างใจร้าย เป็นพ่อสื่อให้ข้าในครั้งนี้”
แม้แต่ท่านน้าฉือก็ถูกต่อว่าไปด้วย
โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเองก็อย่าเอาแต่โทษนั่นโทษนี่อยู่เลย เจ้ายังไม่ได้แต่งเข้าไป แล้วก็ยังไม่เคยเห็นคนตระกูลฟ่านด้วย จะมาตัดสินโดยพลการเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของเจ้าก็มีประสบการณ์เห็นโลกมามากกว่าเจ้า เขาส่งคนไปสืบ แล้วก็ไปดูด้วยตาตัวเองมาแล้ว ไม่มีทางที่จะผลักเจ้าลงไปในเตาไฟหรอกกระมัง เจ้าเพียงทำใจให้สบาย อย่าเพิ่งมีอคติกับผู้อื่น แต่หากวางใจลงไม่ได้จริงๆ ก็ส่งคนไปตรวจสอบด้วยตัวเองอีกที”
“เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ออกมาอย่างไร” จูจูกล่าว “ไม่อย่างนั้นข้าไหนเลยจะมีอารมณ์มาดูแข่งเรือมังกรอะไรได้ เสาจิ่น มิใช่ว่าบิดาของเจ้าเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่เป่าติ้งหรือ ข้าอยากขอร้องให้เจ้าช่วยไปสืบให้ข้าหน่อย!”
โจวเสาจิ่นเข้าใจความรู้สึกหวาดกลัวของนางดี จึงตอบรับในทันที
จูจูจึงเล่าแผนการของตัวเองให้นางฟัง “…เป็นแม่นมของข้า ยังมีอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่ท่านแม่ของข้ามอบให้ข้ามาตั้งแต่ข้ายังเล็กๆ เมื่อไปถึงแล้วขอให้บิดาของเจ้าช่วยจัดคนที่รู้เส้นทาง ช่วยนำทางสักหน่อย ข้ามีของตอบแทนให้”
“พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน” โจวเสาจิ่นกล่าว “ตอนที่เจ้าชวนข้าไปดูโคมไฟเหตุใดถึงไม่มาคิดเล็กคิดน้อยกับข้าด้วยเล่า”
จูจูหัวเราะอย่างขัดเขิน กล่าวขึ้นว่า “เป็นข้าไม่ดีเอง ต่อไปข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องตอบแทนพวกนี้อีกแล้ว”
“ต้องอย่างนี้ถึงจะถูก!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ กำลังจะถามจูจูให้ละเอียดว่ายังมีเรื่องอะไรที่ตนพอจะช่วยนางได้อีกหรือไม่ ก็มีเสียงกลองดังขึ้นจากด้านนอก การแข่งเรือมังกรเริ่มต้นขึ้นแล้ว