โจวเสาจิ่นตื่นสายในวันถัดมา
นางลอบรู้สึกดีใจอย่างช่วยไม่ได้
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้มีนิสัยชอบตั้งกฎเกณฑ์ให้ผู้คน ไม่อย่างนั้นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เพียงพอให้นางถูกผู้อื่นประณามได้แล้ว
โจวเสาจิ่นรีบลุกขึ้นจากเตียง หลังจากรับประทานมื้อเช้าแล้วก็ไปที่เรือนหลักของเรือนหานปี้ซาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปห้องพระแล้ว กำลังล้างมือเตรียมตัวสวดพระธรรม
โจวเสาจิ่นเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงบนใบหน้าของนาง สว่างไสวแวววาว งดงามดุจหยกงามชั้นดีไร้ที่ติ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับสื่อมามายิ้มๆ ว่า “อายุน้อยนี่ดีจริงๆ! เมื่อวานกว่าจะเข้านอนก็ยามสามของกลางดึกแล้ว แต่พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ยังดูเปล่งประกายมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนพวกเรา อยู่ภายใต้แสงไฟมองแล้วล้วนเหมือนกับเถาวัลย์แก่ๆ เหล่านั้น”
สื่อมามาหัวเราะดังลั่นอย่างขบขัน
โจวเสาจิ่นก้าวออกไปพร้อมกับร้องเสียงหนึ่งอย่างขัดเขินว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจับมือของนางเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างใจดีว่า “ไม่เป็นไร! ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้ายังสู้เจ้าไม่ได้เลย! หากให้ข้าออกไปเที่ยวเล่นมาทั้งวันแล้วยังต้องตื่นเช้าเพียงนี้ ข้าคงปีนขึ้นจากเตียงไม่ไหวด้วยซ้ำ”
โจวเสาจิ่นซาบซึ้งใจยิ่งนัก ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนั่งลงตรงหน้าพระพุทธองค์ เริ่มสวดพระธรรมเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ตกบ่าย นางได้รับจดหมายจากพี่สาว
โจวชูจิ่นเห็นว่านางอยู่ที่ซอยจิ่วหรูอย่างสุขสบายดีก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ในจดหมายยังเล่าให้นางฟังด้วยว่า ตอนเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างนั้นเลี่ยวเส้าถังหาข้ออ้างออกไปเยี่ยมเยียนสหายแล้วแอบพานางไปดูการแข่งขันเรือมังกร
โจวเสาจิ่นรู้อยู่แล้วว่าหลังจากแต่งงานแล้วพี่สาวจะมีชีวิตที่ดี แต่พอได้รับจดหมายจากพี่สาว สัมผัสได้ถึงความสุขของพี่สาวผ่านตัวอักษรแล้ว นางยังคงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากอย่างช่วยไม่ได้ วางจดหมายลงแล้วก็เขียนจดหมายตอบกลับพี่สาว ถามพี่สาวว่าเมื่อใดจะได้เดินทางไปจิงเฉิง ถ้าหากไปจิงเฉิงแล้ว อย่าลืมนำผลไม้แช่อิ่มมาฝากนางด้วย นางอยากกินของกินทานเล่นของจิงเฉิงยิ่งนัก ยังคัดเลือกเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่น่าสนใจเล่าให้พี่สาวฟังด้วย ส่วนความกังวลใจที่มีต่อเรื่องของอู๋เป่าจางและเฉิงลู่นั้น นางไม่เอ่ยถึงเลยสักตัวอักษร
เพียงแต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เขียนจดหมายจนแล้วเสร็จ เฉิงเจียก็มาหา
นางถืออิงเถาและส้มมาด้วยอย่างละหนึ่งตะกร้า ยื่นหน้าเข้ามาใกล้โจวเสาจิ่นพร้อมกับพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เจ้ากำลังเขียนจดหมายให้พี่สาวชูจิ่นอยู่หรือ เขียนอะไรไปบ้าง พี่สาวชูจิ่นอยู่ทางโน้นเป็นอย่างไรบ้าง พี่เขยรักใคร่ดีหรือไม่” แล้วก็ตะโกนบอกชุนหว่านว่า “นำอิงเถากับส้มนี้ไปแบ่งเสีย”
โจวเสาจิ่นไม่สนใจนาง เพียงแต่กล่าวกับชุนหว่านว่า “อย่าลืมแบ่งไปให้ที่เรือนหลักสักหน่อยด้วย!”
ชุนหว่านยิ้มพลางถอยออกไป
เฉิงเจียจึงช่วยฝนหมึกให้โจวเสาจิ่นอย่างกระตือรือร้น กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงจะจัดพิธีมงคลสมรสในวันที่สิบห้า ข้าคิดว่าจูจูคงไม่สะดวกออกมาเป็นแน่ ข้าดูปฏิทินแล้ว คิดว่าจะเชิญทุกคนมาชมดอกบัวที่จวนในวันที่ยี่สิบห้าเดือนห้า เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
โจวเสาจิ่นยังคงทำหน้าเย็นชาดังเดิม กล่าวขึ้นว่า “เจ้าจะเชิญคนมาชมดอกไม้ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
เฉิงเจียยิ้มอย่างประจบประแจง กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ที่จวนมีเด็กสาวคือเจ้ากับข้าสองคนเท่านั้น ข้าเชิญแขก เจ้าจะไม่มาร่วมได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีคนเหล่านี้ก็เป็นสหายของเจ้า ข้าก็เพียงยืมดอกไม้ของผู้อื่นมาถวายพระเท่านั้น แล้วจะไม่เกี่ยวกับเจ้าได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นไม่กล่าวอะไร เลียนแบบท่าทางของเฉิงฉือ ค่อยๆ โรยทรายละเอียดลงบนจดหมายอย่างช้าๆ
เฉิงเจียคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ตอนที่โจวเสาจิ่นกำลังรอให้หมึกแห้งอยู่นั้นจึงกล่าวขึ้นอย่างจริงใจว่า “เสาจิ่น ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ข้าทำไม่ถูก ข้าขอโทษเจ้าจริงๆ! เจ้าอย่าโกรธข้าอีกเลย ข้าไปพบหลี่จิ้งก็เพราะ…ก็เพราะทำไปตามความรู้สึก!” ขณะที่นางกล่าว ใบหน้าก็แดงระเรื่อ น้ำเสียงเบาลงหลายส่วน “ข้าเคยไปขอท่านย่าแล้ว คิดไม่ถึงว่าท่านย่าก็คัดค้าน ยังบอกอีกว่า นี่เป็นความตั้งใจของแม่ข้า นางรู้สึกว่าที่แม่ข้าพูดมาก็ไม่ผิด แต่งเข้าตระกูลพ่อค้า ชีวิตความเป็นอยู่ไม่เหมือนกัน จะเกิดข้อเปรียบเทียบมากมายตามมาได้ แต่ใจของข้าตกไปอยู่กับเขาแล้ว เพียงคิดว่าต้องแต่งให้ผู้อื่น หัวใจดวงนี้ก็เจ็บปวดเสมือนกับถูกมีดจ้วงแทงเป็นรูจนโลหิตไหลรินก็ไม่ปาน…”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
เฉิงเจียเห็นว่าในที่สุดนางก็มีปฏิกิริยาอะไรบ้างแล้ว และก็คิดว่านางเป็นคนใจอ่อน ขอเพียงเจ้าจริงใจกับนาง นางก็จะดีกับเจ้ามากยิ่งกว่าเสียอีก จึงกล่าวความในใจของตัวเองออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เริ่มแรกข้ารู้เพียงว่าเขาคิดจะใช้อิทธิพลของซอยจิ่วหรู ต่อมาค้นพบว่าที่ลั่วหยางเขาก็มีชีวิตที่ไม่ด้อยเลย ที่บ้านก็มิใช่ว่าไม่เคยมีจิ้นซื่อมาก่อน เพียงแต่ว่าเขาถ่อมตัวยามอยู่ต่อหน้าข้าเท่านั้น ในใจจึงรู้สึกผิดเล็กน้อย…ต่อมาเห็นเขาให้ความสำคัญกับคำพูดของข้าประหนึ่งเป็นพระราชโองการก็ไม่ปาน ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าพูดขึ้นมาหรือสิ่งของที่ข้าอยากได้ เขาก็พร้อมจะปีนภูเขาดาบหรือดำลงทะเลเพลิงเพื่อหามาให้ข้า ทว่ากลับไม่เคยเอ่ยถึงความลำบากที่เคยเผชิญมาเหล่านั้นยามอยู่ต่อหน้าข้าเลย หัวใจของข้าดวงนี้จึงไม่อาจมองเขาเป็นเพียงญาติผู้พี่ต่อไปได้อีก…ต่อมาอีก ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ล้วนวางข้าไว้เป็นลำดับแรก…ขอพูดอย่างหน้าไม่อายประโยคหนึ่งว่า แม้แต่บิดามารดาของข้าก็ยังไม่เอาใจใส่และอ่อนโยนเท่านี้ ข้าค่อยๆ รู้สึกว่าปล่อยเขาไปไม่ได้แล้ว…” ขณะที่นางกล่าว ขอบตาก็รื้นชื้นขึ้น ทว่าใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มราวกับอยู่ในห้วงฝันออกมา น้ำเสียงรักใคร่อ่อนหวานประหนึ่งประกอบไปด้วยน้ำผึ้ง “เสาจิ่น เจ้าไม่เคยตกหลุมรักผู้ใดมาก่อน หากเจ้าเคยตกหลุมรักใครสักคนเจ้าก็จะเข้าใจ…ยามได้กินกับข้าวอร่อยๆ เจ้าก็จะคิดถึงเขา คิดว่าหากเขาได้กินสักคำหนึ่งก็คงจะดี ยามเดินผ่านสวนดอกไม้แล้วเห็นดอกไม้บานอย่างงดงามเจ้าก็จะคิดถึงเขา คิดว่าหากเขาได้มาชื่นชมด้วยก็คงจะดี ยามพูดคุยกับผู้คนแล้วบังเอิญเอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาเจ้าก็จะคิดถึงเขา คิดว่าเวลานี้เขากำลังทำอะไรอยู่ จะคิดถึงตัวเองบ้างหรือไม่ แม้แต่ตอนนอนก็คิดถึง…สิ่งที่เฝ้าคะนึงหาอยู่ในใจและที่ปรากฏอยู่ในห้วงความคิด ล้วนเป็นเขาทั้งหมด…ขอเพียงได้คิดว่าเขายังอยู่ที่เมืองจินหลิง ใจของข้าก็รู้สึกว่ามีที่พึ่ง รู้สึกปลอดภัย…ขอเพียงได้พบเขา ต่อให้ข้าจะต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ประหนึ่งหัวขโมย ทำในสิ่งที่ข้าดูหมิ่นและไม่ชอบที่สุดก็ตาม ข้าก็ยินดียอมรับความยากลำบากเหล่านั้น…ความรู้สึกชอบประเภทนี้ เติบโตมาขนาดนี้นี่นับเป็นครั้งแรก ไม่เคยรู้สึกกับผู้ใดมาก่อน…และต่อไปก็คงไม่อาจมีให้ใครได้อีกแล้ว…
…ดังนั้นตอนอยู่ที่หอชิงเยียน พอข้ารู้ว่าเขาอยู่ข้างๆ ข้าก็ไม่อาจยับยั้งตัวเองเอาไว้ได้…
…คิดว่าขอเพียงได้เห็นเขาสักครั้งก็พอ…
…ขอเพียงได้เจอสักครั้ง…
…ขอเพียงได้พูดคุยสักสองสามประโยค…
…ไม่ต้องทำอะไร ขอเพียงได้พบหน้าเขาสักครั้งเช่นนี้ ก็รู้สึกอิ่มเอมใจแล้ว”
โจวเสาจิ่นนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น นิ้วมือเย็นเฉียบ
ในหัวเฝ้าขบคิดถึงคำพูดของเฉิงเจียวนไปวนมา
ไม่ต้องทำอะไร ขอเพียงได้พบหน้าสักครั้ง ก็รู้สึกอิ่มเอมใจแล้ว
เรื่องที่ดูหมิ่นและไม่ชอบที่สุด ขอเพียงเป็นเขา ก็ยินดียอมรับความยากลำบากเหล่านั้น
ขอเพียงคิดว่าเขาอยู่ข้างกายตัวเอง ในใจก็รู้สึกมีที่พึ่ง รู้สึกปลอดภัย
ไม่ว่าจะเป็นตอนกินข้าว นอนหลับ เดินเล่นหรือพูดคุยกับผู้อื่นก็ล้วนแล้วแต่คิดถึงเขา คิดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จะคิดถึงข้าบ้างหรือไม่
ต่อให้เป็นบิดามารดา ก็ยังดีกับข้าได้ไม่เท่าเขา
ความรู้สึกชอบประเภทนี้ นี่นับเป็นครั้งแรก…
นี่…คือความรู้สึกชอบอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นราวกับถูกสูบกำลังวังชาออกไปจนหมดร่าง นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
ทว่าเฉิงเจียกลับยังคงจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง กล่าวขึ้นอย่างอ่อนหวานว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนที่ข้าวิ่งไปหานั้น หลี่จิ้งเห็นข้าแล้วก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบคว้าข้าเข้าไปหลบในห้อง ภายในห้องมีสหายของเขาอยู่ด้วยสองสามคน เขาจำต้องบอกไปว่าข้าเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายท่านแม่ของข้า นำความไปแจ้งเขา” อาจเป็นเพราะนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น นางหัวเราะคิกเสียงหนึ่งพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “จากนั้นพาข้าไปยังห้องข้างเล็กๆ ลับตาคนห้องหนึ่ง ตอนนั้นข้าโกรธเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้คนต่างกล่าวกันว่าผู้มีชื่อเสียงที่สุดหลายท่านในลุ่มแม่น้ำฉินไหวมากินเลี้ยงที่หอชิงเยียนบ่อยๆ เขาคุ้นเคยกับที่นั่นมากถึงเพียงนั้น แสดงว่าต้องเข้าออกหอชิงเยียนบ่อยๆ เป็นแน่ แต่พอตอนที่เขาถามข้าอย่างร้อนใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้า เป็นเพราะได้รับความทุกข์ใจมาจากที่บ้านใช่หรือไม่ แล้วก็กล่าวปลอบโยนข้าว่าไม่ต้องกลัว มีเรื่องอะไรก็ปล่อยให้เป็นภาระของเขาก็พอนั้น หัวใจของข้าก็อ่อนยวบลง ได้แต่ส่ายศีรษะเท่านั้น…
…กระทั่งตอนที่เขารู้ว่าข้ามาเพียงเพื่อเจอหน้าเขาสักครั้งเท่านั้น คนที่เคร่งขรึมอย่างเขากลับปีติยินดีขึ้นมาอย่างกับอะไรดี เอาแต่เดินหมุนไปหมุนมาอยู่เบื้องหน้าข้าอย่างมีความสุข…
…ทันใดนั้นข้าพลันรู้สึกว่าต่อให้ถูกคนพบเห็นเข้า หรือถูกท่านแม่ของข้าดุด่า ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”
ขณะที่นางคุยจ้ออยู่นั้น ก็รู้สึกได้ว่าโจวเสาจิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ จึงจบบทสนทนาลงอย่างเคอะเขินเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ หันไปมองโจวเสาจิ่น “เสาจิ่น เจ้าคงจะดูแคลนข้าเป็นแน่! คงรู้สึกว่าข้าหน้าหนาไร้ยางอาย แต่ก็เพราะข้าชอบเขา หัวใจดวงนี้ประเดี๋ยวก็ราวกับขึ้นสวรรค์ประเดี๋ยวก็ประหนึ่งตกนรก หากเขาทำดีกับ ข้าก็เหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์ แต่หากเขาทำไม่ดีกับข้า ข้าก็เหมือนกับตกนรกอย่างไรอย่างนั้น…เสาจิ่น!” นางกล่าวขึ้นอย่างตระหนกตกใจว่า “เจ้า…นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
เฉิงเจียมองใบหน้าที่ซีดเผือดประหนึ่งกระดาษของโจวเสาจิ่นแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบเดินเข้าไปแตะหน้าผากของนาง “เจ้าเป็นอะไรไป เจ้ารีบบอกมา! เจ้าอย่าทำให้ข้ากลัว!”
หน้าผากของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก
เฉิงเจียตกใจจนตะโกนร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “ฝานมามา ท่านรีบเข้ามาดูเสาจิ่น นางอาการไม่ดีแล้ว!”
โจวเสาจิ่นที่มีสีหน้าเซื่องซึมเล็กน้อยราวกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา รีบคว้ามือของนางที่แตะอยู่บนหน้าผากของตัวเองเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นไร! เจ้าเบาเสียงลงหน่อย! อย่าทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจไปด้วย!”
น้ำเสียงของนางฟังดูเหน็ดเหนื่อยและบางเบาประหนึ่งใยแมงมุมที่ใกล้จะขาดเต็มทีในอีกไม่ช้า มือเย็นเฉียบราวกับผ่านการแช่น้ำแข็งมา หากมิใช่เพราะนางยังหายใจอยู่ เฉิงเจียต้องคิดว่านางหนาวตายเพราะตกลงไปในหลุมน้ำแข็งมาเป็นแน่…
หรือว่าเสาจิ่นจะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงเหมือนเมื่อสองปีก่อนนั้นอีก?
ถึงแม้ตอนนั้นโจวชูจิ่นจะพยายามปิดข่าวเอาไว้อย่างสุดกำลัง แต่มารดาของนางก็ไปที่วัดฮุ่ยจี้ทางตอนใต้ของเมืองเหมือนกันและได้เจอโจวชูจิ่นเข้าพอดี…ถ้าหากว่าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงอีกครั้งจริงๆ ล่ะก็ ไม่อาจตะโกนเสียงดังให้ผู้อื่นรู้ไปทั่วได้…
เฉิงเจียพลันตกใจจนหน้าซีดเผือด คิดจะผลักโจวเสาจิ่นออก แต่เมื่อนึกถึงเครื่องรางที่หลี่จิ้งให้มาโดยเขาว่ากันว่าเป็นเครื่องรางที่เรียนเชิญพระอาจารย์ชื่อดังที่วัดเส้าหลินปลุกเสกมาให้ที่นางสวมติดตัวเอาไว้ นางก็กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่นอีกครั้ง กล่าวเสียงสั่นว่า “เจ้าอย่าทำให้ข้ากลัว ข้าขี้กลัวยิ่งนัก! นี่เจ้าเป็นอะไรไป ข้า…ข้าเขียนจดหมายไปบอกพี่สาวชูจิ่น ให้นางกลับมาดีหรือไม่ เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ข้า…ข้าเอาเครื่องรางนี้ให้เจ้าสวมเอาไว้ดีกว่า…หลี่จิ้งบอกว่าปลุกเสกเรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์มีชื่อเป็นผู้ปลุกเสกให้…ของที่เขาให้ข้ามาล้วนเป็นของดีทุกอย่าง หากมิใช่ของดีย่อมไม่มอบให้ข้า…เจ้าต้องเชื่อเขา…”
นางละล่ำละลักกล่าว พร้อมกับไปดึงจี้หยกมงคลขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยทำจากหยกเหอเถียนที่ห้อยอยู่บนคอชิ้นหนึ่งด้วยอาการสั่นเทา
โจวเสาจิ่นจับมือของนางเอาไว้แน่น ไม่ให้นางดึงออกมา
“ข้าไม่เป็นไรๆ” เสียงของนางประหนึ่งเสียงยุง บนหน้าผากมีเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วผุดออกมา กล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าบอกว่า เจ้าชอบหลี่จิ้ง…การชอบใครสักคนจะมีอาการอย่างที่เจ้าว่ามา…ที่บอกว่าสิ่งที่คะนึงหาอยู่ในใจและที่ปรากฏออกมาจากห้วงความคิดล้วนเป็นเขา…ขอเพียงคิดถึงเขา ในใจก็รู้สึกปลอดภัย ต่อให้เป็นเรื่องที่ไม่ชอบก็ยินดีทำใช่หรือไม่…”
เฉิงเจียมองโจวเสาจิ่นอย่างแปลกใจ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าถามเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร”
“เจ้าอย่าสนใจเลยว่าข้าถามไปเพื่ออะไร” ดวงตาที่เคยใสกระจ่างของโจวเสาจิ่นเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความสับสนและกระวนกระวาย “เจ้าเพียงบอกข้ามาว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ ก็พอ!”
โจวเสาจิ่นที่ดูเกรี้ยวกราดเช่นนี้ เฉิงเจียไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วก็ไม่เหมือนกับที่จินตนาการเอาไว้ด้วย
นางรีบกล่าวขึ้นว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น! ถ้าหากว่าทั้งหมดนี้มิใช่เพราะชอบ แล้วอะไรถึงจะเรียกว่าชอบ? เจ้าคิดถึงบิดาหรือคิดถึงพี่สาวชูจิ่นเช่นนี้หรือไม่เล่า”