บทที่ 137 ที่ราบหมอกลับแลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ดินแดนบูรพา แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
กระดาษที่ขีดเขียนอักษรเล็กบิดเบี้ยวเต็มไปหมดโปรยปรายเกลื่อนพื้น
ฟางฉางสวมชุดเกราะสีแดงอมทอง มือขวากำพู่กันขนสุนัขด้ามหนึ่ง
ตรงกลางพู่กันขนสุนัขนั้นมัดด้วยไม้เล็กๆ อันหนึ่ง ข้างหน้าหลังยังมัดพู่กันอีกด้าม
ใช่ นี่คือวิธีลับสุดยอดที่ฟางฉางคิดค้นขึ้นจากการคัดกฎสำนักมาหลายปี พู่กันล่องหน วิชาคัดสามพู่กัน
ใช้วิชาลับนี้คัดกฎสำนัก คัดหนึ่งบทเท่ากับคัดสามบท ประหยัดแรงไปได้ไม่น้อย แน่นอน ต่อให้เป็นเช่นนั้น การคัดกฎสำนักห้าพันจบก็ยังลำบากมากอยู่ดี
ถึงอย่างไรกฎของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์…ก็มีมากเกินไปจริงๆ!
“ศิษย์น้องรอง ข้าคัดไม่ไหวแล้วจริงๆ!”
ฟางฉางล้มนอนลงกับพื้น ดวงตาสองดวงไร้ประกาย เหนื่อยจนไม่อยากทำอีกต่อไปแล้ว
จางอวิ๋นถิงพูดด้วยความจนปัญญา “ศิษย์พี่อย่าหยุด ทำต่อไป มันยังไม่พอ!”
ฟางฉางส่ายหน้า เขารู้สึกว่าถ้าตนเขียนต่อไปก็อาจจะธาตุไฟเข้าแทรกก็ได้
คัดกฎสำนักอะไรนี่ยากยิ่งกว่าสู้กับผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณ มันทำให้จิตใจคนเป็นบ้า!
อ้อ ถึงอาจารย์จะลงโทษให้ข้าคัดกฎสำนัก แต่ก็ไม่ได้กำหนดว่าข้าจะคัดเสร็จเมื่อไร!
ฟางฉางพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ พบว่าตนเหมือนจะจับจุดบอดได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็อดดีใจขึ้นมามิได้ ใช่แล้ว!
สามวันคัดเสร็จก็คือคัดเสร็จ สามปีคัดเสร็จก็คือคัดเสร็จ สามสิบปีคัดเสร็จก็คือคัดเสร็จเหมือนกัน!
ยิ่งระยะเวลานานเท่าไร ก็ยิ่งต้องคัดอักษรในแต่ละวันน้อยลงเท่านั้น!
อีกทั้ง ถ้าข้าทะลวงขอบเขตแก่นพลังทองเก้ารอบสำเร็จ อาจารย์จะต้องปลื้มใจมากแน่ๆ ถ้าเกิดตอนนั้นอาจารย์เมตตาขึ้นมา ยกการคัดกฎสำนักที่เหลือให้ข้าล่ะ เช่นนั้นตอนนี้ข้าคัดไปเยอะขนาดนี้ อีกไม่นานก็ต้องเสียเปล่าทั้งหมด ขาดทุนยับไม่ใช่หรือ
ฟางฉางตบต้นขาไปทีหนึ่ง “ศิษย์น้อง เราไปปิดด่านบำเพ็ญฝึกฝนกันเถอะ! รอข้าทะลวงแก่นพลังทองเก้ารอบสำเร็จแล้วค่อยกลับมาคัดกฎสำนักพวกนี้ ศิษย์พี่คิดว่าตอนนี้ข้าแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะต้องทะลวงเยื่อบางชั้นนั้นได้แน่นอน!”
จางอวิ๋นถิงเห็นฟางฉางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอยแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย
…………
ตัดกลับมาที่ทางด้านเมืองหมอกลับแล
พวกเถ้าแก่ซ่งนำโชคลิขิตกลับมา ก็เห็นหลิวไท่อี่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
นี่ได้ที่ไหนกัน พวกเขาจึงรีบแย่งกันป่าวประกาศให้กลุ่มสวรรค์พิทักษ์
ภายใต้การล้างสมองอย่างขันแข็งของเจ้าพวกนี้ ทำให้มีคนเข้าร่วมเป็นครอบครัวใหญ่เคารพบูชาท่านเซียนมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งคนพวกนี้ยังแบ่งสมุนไพรวิญญาณอย่างว่านหมอกและเบญจมาศวิญญาณครองคู่ที่เก็บมาจากในที่ราบหมอกลับแลให้เสิ่นเทียนครึ่งหนึ่ง
แน่นอนว่าเสิ่นเทียนไม่ได้รับผลประโยชน์จากคนพวกนี้เฉยๆ โดยพื้นฐานเขาจะให้ยันต์อัสนีตามราคาตลาดกับพวกเขาไป
ถึงอย่างไรสำหรับเสิ่นเทียนแล้ว ต้นทุนของยันต์อัสนีพวกนี้ก็ต่ำจริงๆ ใช้สามถึงห้าศิลาวิญญาณก็ผลิตมาได้แผ่นหนึ่งแล้ว
อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าที่ราบหมอกลับแลอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเร็วๆ นี้ ยันต์อัสนีพวกนี้อาจจะช่วยชีวิตได้ ถ้าได้ผลดีจริงๆ นี่จะเป็นโอกาสโฆษณายันต์อันสีหยินหยางด้วย
ทว่าเสิ่นเทียนไม่ใส่ใจ ไม่ได้หมายความว่าผู้มีวาสนาพวกนั้นจะคิดเช่นนี้
ในมุมมองพวกเขา ท่านเซียนสูงส่งจริงๆ ไม่ใช่แค่ชี้แนะโชคลิขิตให้พวกเรา แต่ยังมอบยันต์ระเบิดอัสนีล้ำค่าเช่นนี้ให้อีก
ยันต์ระเบิดอัสนีชนิดนี้เป็นยันต์วิญญาณระดับสูงสุดในตลาด คนธรรมดาอยากจะซื้อก็ต้องจ่ายในราคาสูง ถ้าคำนวณตามราคาตลาดแล้ว ยันต์ระเบิดอัสนีที่เสิ่นเทียนให้มีมูลค่ามากกว่าโชคลิขิตครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
เวลานี้ชื่อเสียงของเสิ่นเทียนในเมืองเล็กลับแลโด่งดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะเดียวกันทุกคนยังแปลกใจกับใบหน้าแท้จริงหลังหน้ากากของท่านเซียนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญหญิงเหล่านั้น
…………
แน่นอน มีคนเลื่อมใสก็ต้องมีคนทนดูไม่ได้
เสิ่นเทียนชี้แนะโชคลิขิตให้ผู้มีวาสนา ผู้ไร้วาสนาย่อมไม่สบายใจ
โดยเฉพาะคนที่โดนเสิ่นเทียนตัดสินว่าไร้วาสนาพวกนั้น หลังจากบุกเข้าไปในที่ราบหมอกลับแลทั้งวันแล้วก็พบว่าไม่เจอโชคลิขิตใดๆ เลยจริงๆ
ตนไม่ได้โชคลิขิตใดๆ แต่คนอื่นกลับได้เป็นกอบเป็นกำ ทั้งยังได้ยันต์ระเบิดอัสนีระดับสูงสุดอีก
ความรู้สึกต่างกันเด่นชัดเช่นนี้ทำให้ผู้ไร้วาสนามากมายรู้สึกอิจฉา จิตใจค่อยๆ เสียสมดุล
แต่มีศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คุ้มกันอยู่ข้างกาย เจ้าพวกนี้ย่อมไม่กล้ามาหาเรื่องต่อหน้า ทว่านี่ไม่มีผลกับที่พวกเขาใส่ร้ายเสิ่นเทียนลับหลัง สาดน้ำสกปรกใส่เสิ่นเทียน!
“ท่านเซียนอะไร พูดไว้ดิบดีว่าผู้มีวาสนาไม่รับแม้แต่แดงเดียว แต่ก็ยังรับค่าผลประโยชน์!”
“ใช่ เปิดปากมาก็แบ่งครึ่งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะไม่ชี้แนะ นี่มันชั่วร้ายเกินไปแล้ว”
“บอกว่าที่ราบหมอกลับแลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะเป็นไปได้อย่างไร หลายพันปีมานี้ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงอะไรเลย”
“ข้าว่านะ ท่านเซียนนี่คงจะแอบอ้างมากระมัง อยากจะหลอกให้พวกเราออกจากที่ราบหมอกลับแลแล้วฮุบโชคลิขิตไว้คนเดียวน่ะ!”
…….
ทว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์กันจริงๆ ย่อมปกป้องเสิ่นเทียนเต็มที่ พยายามอธิบายแก้ความให้เสิ่นเทียน
“ท่านเซียนขอแบ่งครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่ชี้แนะให้ตั้งแต่เมื่อไร นี่มันใส่ร้ายกันชัดๆ!”
“พวกเราแบ่งให้ท่านเซียนเอง มันเป็นความเต็มใจล้วนๆ! ทุกครั้งท่านเซียนจะปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีกตลอด”
“ใช่ๆ อีกทั้งท่านเซียนยังให้ยันต์ระเบิดอัสนีระดับสูงสุดคืนมาเยอะด้วย”
“ท่านเซียนส่องเห็นความลับสวรรค์ เตือนให้พวกเราระวัง เห็นๆ อยู่ว่ามีเจตนาดี แต่พวกเจ้ากลับเอาจิตใจต่ำช้ามาวัดจิตใจท่านเซียน”
“ท่านเซียนพยายามเช่นนี้ จิตใจดีเช่นนี้ พวกเจ้ากลับว่าร้ายท่านอย่างหน้าไม่อาย มโนธรรมของพวกเจ้าโดนหมากินไปแล้วรึ”
…….
เวลานี้ ชื่อเสียงของเสิ่นเทียนในเมืองเล็กหมอกลับแลกับเมืองหมอกลับแลโด่งดังขึ้นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกัน ระหว่างที่เกาะโชคลิขิตไปอย่างเป็นลำดับขั้นตอนนั้น ดวงชะตาของเสิ่นเทียนก็กำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
จากวงรัศมีเหนือศีรษะเขาเป็นแค่สีเขียวมรกต แต่หลังจากทำนายชะตามาหนึ่งวันก็ค่อยๆ กลายเป็นสีเขียวเข้ม
ร่างกายค่อยๆ เบาบางขึ้น รู้สึกสบายขึ้น ทำให้เสิ่นเทียนเสพสุขอย่างยิ่ง
ต้องบอกว่าพอเห็นวงรัศมีเหนือศีรษะตนเป็นสีเขียวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว นี่เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ
เมื่อดวงตะวันยามอัสดงค่อยๆ ลาลับ หมอกวิญญาณบนที่ราบหมอกลับแลก็ค่อยๆ ชิดมารอบนอกเมืองเล็กหมอกลับแล
ทว่าไม่มีใครในเมืองเล็กหมอกลับแลเป็นกังวล
เพราะมองจากช่วงกระแสหมอกทุกครั้งในรอบหลายพันปีมานี้ หมอกวิญญาณจะไม่ลุกลามเข้ามาที่ชายแดนเมืองหลัก
ก่อนหน้าที่จะสร้างเมืองเล็กหมอกลับแล เหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญได้คำนวณพื้นที่ปลอดภัยไว้อย่างดีแล้ว ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น ช่วงที่หมอกวิญญาณห่างจากเมืองเล็กหมอกลับแลหลายลี้มันก็หยุดลง
หมอกสีขาวหนานั้นเหมือนกับม่านปกคลุมทั้งที่ราบหมอกลับแลอันลึกลับไว้
ต่อให้เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญก็ยังไม่อาจมองผ่านหมอกลับแลชั้นนั้นเข้าไปเห็นสิ่งใดในที่ราบได้
เสิ่นเทียนมองหมอกวิญญาณที่หมุนม้วนไม่หยุดแต่ไม่ลุกลามมาอีกแม้แต่น้อยแล้วรู้สึกหวาดผวานิดๆ
เขาพาพวกจางอวิ๋นซีบินไปยังเมืองแห่งหมอกลับแล ผู้ฝึกบำเพ็ญที่ทำใจจ่ายค่าเข้าเมืองไม่ได้ก็อยู่ในเมืองเล็ก
สำหรับพวกเขาแล้ว การต้องจ่ายค่าเข้าเมืองทุกวันมันไม่คุ้มเลยจริงๆ สู้อยู่นอกเมืองประหยัดเงินกว่า
ส่วนที่ท่านเซียนบอกว่าที่ราบหมอกลับแลอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อะไรนั่น ก็มีผู้มีวาสนาเพียงส่วนเดียวที่เชื่อ
ผู้ฝึกบำเพ็ญส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากเสิ่นเทียนยังคงเลือกเชื่อประสบการณ์ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าบางครั้งสิ่งที่ฆ่าคนก็มักจะเป็นประสบการณ์ที่ว่านั่น!
……
คืนนี้เป็นคืนที่สองของช่วงกระแสหมอก
ช่วงกระแสหมอกครั้งนี้ คนได้โชคลิขิตมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และเพราะแบบนี้เองจึงมีผู้ฝึกบำเพ็ญมารวมกันที่เมืองเล็กหมอกลับแลกับเมืองแห่งหมอกลับแลมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางฟ้า แสงจันทร์เต็มดวงดูเย็นเยือกและเงียบเหงาเป็นพิเศษ
ดวงดาราขยับแสง จุดแสงสว่างเงียบสงัดกลางฟ้าดิน
ไม่มีใครพบว่าหมอกวิญญาณที่เดิมทีไม่ลุกลามมาอีกเริ่มหมุนตลบอีกครั้ง
อีกทั้งมันยังเร็วขึ้นกว่าเมื่อก่อน เงียบเชียบกว่าเมื่อก่อน
ชั่วครู่เดียวก็ห่อหุ้มทั้งเมืองเล็กหมอกลับแล!
จากนั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองแห่งหมอกลับแลราวกับคลื่นลูกใหญ่…
…………………..