ตอนที่ 297 เยี่ยนอวี่ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่งตั้งให้เป็นขุนนางขั้นที่ห้า (4)
“เสด็จพี่ เหตุใดปีนี้ถึงเลือกเวลานี้มาตรวจสุขภาพร่างกายของเหล่าทหาร เหล่าแม่ทัพล่ะ”
“มีเรื่องอะไรหรือ มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ” ฮ่องเต้ถามกลับ
เฉิงอ๋องนิ่งงันไปสักพักแล้วพูดขึ้น “ไม่ น้องรู้สึกว่า…แค่ตรวจร่างกายก็ไม่เป็นไร เหตุใดถึงต้องเจาะเลือดของทหารกลุ่มหนึ่งด้วยเล่า บอกว่าไปทำอะไรนะ…ทดลอง? น้องรู้สึกว่าหากด้วยสายเลือด หากไม่ระวังหน่อยอาจทำให้บ้านเมืองได้รับผลกระทบได้ เสด็จพี่คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ!”
ฮ่องเต้มองเฉิงอ๋องพลางเงียบไปสักพัก กลับหันไปสั่งการไหวเอิน “ไปเรียกเจ้าหกมาหาหน่อย”
ไหวเอินค้อมตัวลงรับคำแล้วหันหลังจากไป ไม่นานองค์ชายหกอวิ๋นยิงก็มาถึง
หลังจากถวายบังคมเสร็จ ฮ่องเต้จึงรับสั่งอวิ๋นยิง “เจ้าหก ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกแล้วให้อาเจ็ดของเจ้าดูที”
“พ่ะย่ะค่ะ” อวิ๋นยิงตอบกลับแล้วยกมือถอดชุดเซินอีสีเขียว
ในชุดเซินอีเป็นชุดผ้าไหมสีขาวนวลจันทร์ และถัดจากชุดผ้าไหมก็คือเสื้อตัวใน หลังจากที่ถอดออกมาทีละชั้นก็ทำให้เฉิงอ๋องเห็นบาดแผลมีดบาดราวๆ สามนิ้วบนหน้าอก และท่อนบนที่ขาวผ่องประดุจหิมะ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” เฉิงอ๋องสะดุ้งตกใจ จึงผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปตรงหน้าอวิ๋นยิงพร้อมกับยื่นมือไปจับบาดแผลนั้นเบาๆ
“เด็กคนนี้เอาตัวบังลูกเหล็กแทนเจิ้นสองลูก” ฮ่องเต้เปรยด้วยความประหม่าแล้วผายพระหัตถ์เพื่อสื่อให้อวิ๋นยิงใส่เสื้อผ้า จนถึงตอนนี้เขายังคงไม่กล้ามองบาดแผลบนร่างของบุตรชาย
องค์ชายหกเป็นบุตรชายคนเดียวของซูเฟย ซูเฟยเป็นนางข้าหลวงที่รับใช้ขั้นสองที่อยู่ข้างกายไทเฮา เหตุเพราะครั้งหนึ่งที่ไทเฮาทรงพระประชวร ฮ่องเต้คอยปรนนิบัติ ก็เห็นว่านางเป็นสตรีที่อ่อนโยน จึงให้นางอยู่ข้างกายและแต่งตั้งเป็นเป่าหลินหลังจากนั้นเหตุเพราะคุณงามความดีและจิตใจที่อ่อนโยนของนาง ทั้งยังทำอาหารเลิศรส รู้จักเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ฮ่องเต้จึงโปรดปรานนัก จากนั้นนางก็มีบุตรชายให้เขา จึงได้แต่งตั้งขึ้นเป็นผิน
หลังจากให้กำเนิดองค์ชายหกร่างกายของนางก็ไม่สู้ดีนัก ฮ่องเต้รู้สึกซาบซึ้งใจที่นางคอยปรนนิบัติด้วยความใส่ใจมาโดยตลอดจึงแต่งตั้งนางเป็นเฟยตอนองค์ชายครบหนึ่งขวบ
ปีที่องค์ชายหกมีอายุสองขวบ บ้านเมืองต้องเผชิญกับภัยแล้ง ฝนไม่ตกมาครึ่งค่อนปี ไทเฮาจำต้องเสวยมังสวิรัติและสวดมนต์ขอให้ฟ้าประทานฝนทุกวัน เหตุเพราะกลุ้มใจเกินไปจึงประชวร ซูเฟยจึงยอมบวชเป็นแม่ชีด้วยความสมัครใจเพื่อให้พรที่ผู้เป็นแม่แห่งแผ่นดินทรงขอนั้นเป็นจริง
ว่าไปก็ช่างน่าแปลก ซูเฟยแค่บวชไปสองวันฟ้าก็ประทานน้ำฝนแล้ว
หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน ไทเฮาก็ทรงหายจากการประชวร
ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องมงคล มีเพียงองค์ชายหกเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่กับบิดาที่ให้กำเนิด ดังนั้นไทเฮาจึงเลี้ยงดูองค์ชายหก แม้ภายนอกฮ่องเต้ดูเหมือนจะเมินเฉยใส่องค์ชายหก ทว่าภายในใจลึกๆ โปรดปรานเด็กคนนี้อย่างถ่องแท้ เฉิงอ๋องก็รู้ในความคิดของพี่ชายคนนี้ อีกทั้งอวิ๋นยิงเป็นเด็กที่เชื่อฟังและรู้จักกาลเทศะ ทั้งยังใฝ่รู้ด้านการเรียน ดังนั้นเฉิงอ๋องก็โปรดปรานเขาอยู่เหมือนกัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เฉิงอ๋องเป็นคนคาดที่คาดเอวให้หลานชายคนนี้กับมือแล้วเอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด
อวิ๋นยิงหันไปมองฮ่องเต้เพียงพริบตาจึงเล่าเรื่องที่ได้เจอกับผู้ร้ายในวันนั้นให้เขาฟังคร่าวๆ
เฉิงอ๋องพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “เสด็จอาเจ็ดอย่าโกรธเลย ยังดีที่คุณหนูเหยามีฝีมือการแพทย์ที่อัศจรรย์ ตอนนี้แผลของหลานหายดีแล้ว ท่านดูสิ หลานอยู่อย่างสบายดีมิใช่หรือ”
เฉิงอ๋องถอนหายใจ “ต่อให้คุณหนูเหยามีฝีมือการแพทย์ที่เลิศล้ำ แต่หากเจ้าไม่บำรุงสุขภาพดีๆ ก็คงเป็นปัญหาใหญ่ ตอนหนุ่มอาจไม่รู้สึกอะไร ทว่าตอนแก่มาต้องรู้สึกทุกข์ทรมานแน่นอน!”
ฮ่องเต้ทรงผายพระหัตถ์แล้วสั่งการอวิ๋นยิง “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
อวิ๋นยิงพลันค้อมตัวตอบกลับ “พ่ะย่ะค่ะเ ช่นนั้นลูกขอตัวลา” จากนั้นประสานมือคารวะให้เฉิงอ๋องแล้วจากไป
ฮ่องเต้ถอนพระเนตรไปยังไหวเอินเพียงพริบตาเดียว ไหวเอินสะบัดแส้ในมือทันที แล้วพานางกำนัลและเหล่าขันทีที่อยู่ด้านข้างหลบไปไกลๆ
“เจ้าเจ็ด!” ฮ่องเต้ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ความกังวลของเจ้าเจิ้นเข้าใจดี เจ้าก็แค่อยากให้เชื้อสายของราชวงศ์ได้รับอาณัติเเห่งสวรรค์และกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างจากสามัญชนทั่วไป ส่วนบุตรีของตระกูลเหยากลับแบ่งกลุ่มเลือดของคนใต้หล้านี้เป็นสี่กลุ่ม ถือว่าเป็นการไม่เคารพราชวงศ์ใช่หรือไม่”
เฉิงอ๋องพยักหน้า เขาหมายความว่าเช่นนี้จริงๆ
“แต่เจ้ารู้ไหม ตอนที่เจ้าหกกำลังจะสิ้นใจ แต่หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่ถ่ายเลือดของเจ้าสามให้เขามันเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร เหยาเยี่ยนอวี่บอกว่าไม่ถึงหกชั่วยามเจ้าหกก็ฟื้นได้ ตอนนั้นเจิ้นก็ไม่เชื่อทว่าเป็นจริงอย่างที่คาด! ไม่ถึงหกชั่วยามเจ้าหกก็ลืมตาเรียกเจิ้นว่าเสด็จพ่อ หลังจากนั้นผ่านไปไม่ถึงสองวันก็ลงเตียงเดินบนพื้นได้ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นผ่านมาไม่ถึงครึ่งเดือน เจ้าดูสีหน้าของเจ้าหกว่าแตกต่างจากก่อนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บไหม”
เฉิงอ๋องพลันตอบกลับ “ใช่ หากไม่เห็นแผลเป็นกับตา น้องก็ไม่คิดว่ายิงเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ”
“ดังนั้นตอนที่เผชิญกับความตายจริงๆ การช่วยชีวิตถึงจะสำคัญที่สุด” ฮ่องเต้ถอนหายใจแล้วหันไปมองปลาในบ่อแล้วยกมือโยนอาหารปลาไปพร้อมแย้มพระสรวลจางๆ “ใต้หล้านี้เป็นของเจิ้น ใครไม่พอก็ให้คัดค้านเต็มที่! สำหรับเรื่องเหล่าขุนนางจะพูดอะไรหรือคิดอย่างไร สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าขึ้นอยู่กับเจิ้นหรือ”
เฉิงอ๋องพลันลุกขึ้นทันทีแล้วค้อมตัวลง “ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก!”
“เยี่ยม! ระหว่างพวกเราที่เป็นพี่น้องกันจะพิธีรีตองเช่นนี้ไปไยกัน” ฮ่องเต้ผายพระหัตถ์ให้เฉิงอ๋องแล้วตรัสต่อ “เมื่อครู่ตอนเจ้ามา เจิ้นกำลังคิดว่าเจิ้นควรให้บุตรีของเหยาหย่วนจือทำอะไรหน่อยไหม คิดไปคิดมาเจิ้นก็ไม่มีความคิดใดๆ ผุดขึ้นมาเลย มิเช่นนั้นเจ้าลองช่วยเจิ้นคิดดู”
“ไม่ว่าฝ่าบาทจะประทานสิ่งใดกับนางล้วนเป็นเกียรติของนางพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงอ๋องประจบประแจงก่อน จากนั้นก็พูดขึ้นอีกครั้ง “น้องจำได้ว่างานสมรสของนางกับเว่ยจางใกล้มาถึงแล้ว มิเช่นนั้นฮ่องเต้ก็ทรงแต่งตั้งให้นางเป็นเสี้ยนจู่เถิด”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลจางๆ “นางไม่ใช่บุตรีเชื้อพระวงศ์ ต่อให้แต่งตั้งนางเป็นเสี้ยนจู่ก็แค่ได้ที่ดินพระราชทานครอบคลุมสามร้อยครัวเรือนเท่านั้น เจ้าคิดว่ายัยหนูนั่นจะรู้สึกภาคภูมิใจหรือ นางเป็นตั้งบุตรีของเหยาหย่วนจือ สมองของนางวางแผนได้เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้นางขอสูตรลับหลอมกระจกกับองค์ชายอาเอ่อร์เข้อไหม ตอนนี้บรรพบุรุษผู้นี้เจิ้นกล้าพูดเลยว่าใช้งานนางไม่ถึงหนึ่งปี นางก็หาเงินได้มหาศาลจนทำดึงดูดสายตาของเจิ้นและเจ้าได้เลย”
“คงไม่ถึงขั้นนั้นหรือเปล่า ก็แค่กระจกมิใช่หรือไ ด้ยินมาว่าของพวกนั้นไม่ทนทาน แค่แตะเบาๆ ก็แตก มีอะไรดีหรือ” เฉิงอ๋องไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลพลางส่ายพระพักตร์อีกครั้ง “ยศเสี้ยวจู่หรือจวิ้นจู่ล้วนเป็นเพียงยศเท่านั้น ก็แค่ต้องการให้นางได้ยศมาครอบครองแล้วกินเบี้ยไปเท่านั้น เจิ้นรู้สึกว่านางไม่ได้สนใจ เจิ้นให้นาง นางก็ไม่ได้ภาคภูมิใจ อีกอย่างที่เจิ้นอยากใช้ก็คือความรู้ความสามารถของนาง”
“เสด็จพี่คงไม่ใช่ว่าจะให้นางเข้าไปในสำนักหมอหลวงนะ?”
“นี่ก็คงไม่เหมาะสม สำนักหมอหลวงก็มีกฎของทางสำนัก ไม่กล้าว่าใครอยากเข้าก็เข้าได้ อีกอย่างนางเป็นนางสตรีผู้หนึ่ง จะให้นางไปทำงานร่วมกับพวกผู้เฒ่า…เจิ้นยังกลัวว่านางจะพังสำนักหมอหลวงของเจิ้น”
“เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องยากแล้ว” เฉิงอ๋องส่ายหน้า “เสด็จพี่คงสร้างศาลาว่าการอะไรเพื่อนางโดยเฉพาะไม่ได้หรือเปล่า”
“เอ๊ะ?” ฮ่องเต้ทรงมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาทันทีจึงยกหัวแม่มือให้เฉิงอ๋อง ผ่านไปสักพักถึงจะตรัสขึ้น “ความคิดนี้ไม่เลว”
“เสด็จพี่?” ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม เฉิงอ๋องมองฮ่องเต้ด้วยความไม่พอใจ ในใจกำลังคิดว่าเหตุใดท่านถึงบ้าเช่นนี้
“ทีแรกเจิ้นอยากจะให้จวนส่วนตัวแก่นาง วันนี้เป็นเช่นนี้ก็ดี สร้าง…หอยาอะไรพวกนี้ให้นาง? หอยาแคว้นต้าอวิ๋น?”