ตอนที่ 298 เยี่ยนอวี่ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่งตั้งให้เป็นขุนนางขั้นที่ห้า (5)
“เสด็จพี่ นามนี้ยิ่งใหญ่เกินไปหรือเปล่า!” เฉิงอ๋องเปรย แค่บุตรีของขุนนางคนหนึ่งถึงกับต้องเปิดสำนักแพทย์ที่มีเกียรติยศยิ่งใหญ่เช่นนี้จะเหมาะสมหรือ
“ไม่ๆ เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของเจิ้น” ฮ่องเต้ผายพระหัตถ์ “สำนักแพทย์ของแคว้นต้าอวิ๋นคือราชสำนัก บุตรีคนนั้นของเหยาหย่วนจือเป็นเพียงหมอหลวงหญิงของสำนักแพทย์เท่านั้น หากแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวงหญิง เกรงว่าตำแหน่งไม่ควรต่ำเกินไป มิเช่นนั้นก็ให้นางกลายเป็นขุนนางขั้นห้าเถอะ จากนั้นก็ให้นางควบคุมดูแลขุนนางยี่สิบคน เรื่องของแผนกนี้ก็ปล่อยให้นางเป็นคนจัดการ เจ้าเจ็ดบอกเจิ้น เหยาเยี่ยนอวี่มีความสามารถที่ไม่เลวในการสอนคน ตอนนี้สาวใช้สองคนนั้นของนางมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมาก”
เฉิงอ๋องอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้แล้วเกลี้ยกล่อมไม่หยุด “เสด็จพี่ เรื่องนี้ยังต้องพิจารณาอย่างละเอียด จะให้สตรีเป็นขุนนางดูแลสำนักแพทย์แคว้นต้าอวิ๋นจริงหรือ”
“เช่นนั้นก็ให้จางชางเป่ยเป็นผู้ดูแล” ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็นึกถึงผู้ที่เหมาะสมยิ่งกว่า “ช่วงก่อนเขาอยู่พักฟื้นตัวเป็นเพื่อนเจ้าหก ได้ยินมาว่าเขาฝึกวิชาความรู้ใหม่มาไม่น้อย แล้วยังรับเหยาเยี่ยนอวี่เป็นศิษย์”
จางชางเป่ยกระนั้นหรือ หมอหลวงขั้นที่หนึ่งซ้ำยังติดตามฮ่องเต้มาสามสิบกว่าปี หากไปเป็นผู้ควบคุมดูแลสำนักแพทย์แคว้นต้าอวิ๋นก็ยังถือว่าเหมาะสม แค่ว่า…เฉิงอ๋องครุ่นคิดสักพักแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงสร้างสำนักแพทย์ของแคว้นนี้เนื่องด้วยเหตุผลใดกัน หรือว่าจะให้สำนักนี้คอยแบ่งเบาธุรการทางสำนักหมอหลวง”
“ไม่ สำนักหมอหลวงก็คือสำนักหมอหลวง” ฮ่องเต้ผายพระหัตถ์ “สำนักแพทย์นี้ไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบมากมาย เจิ้นอยากรอดูว่าบุตรีตระกูลเหยาจะมีความสามารถมากเพียงใด ก็แค่ให้นางรักษาโรคที่พบเห็นไม่บ่อย อีกอย่าง ยังต้องรับผิดชอบคิดค้นสูตรปรุงยาใหม่…ใช่! วิจัยยาใหม่ๆ และรักษาโรคซับซ้อนและไม่พบเจอบ่อย”
เฉิงอ๋องเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ไม่รักษาโรคทั่วไป แค่รับผิดชอบวิจัยยาใหม่ๆ กระนั้นหรือ”
“อืม อีกทั้ง…ให้นางฝึกอบรมแพทย์หญิงเสียส่วนหนึ่ง หลายๆ เรื่องที่ต้องรับผิดชอบเช่นนี้ เพียงพอที่จะทำให้ยัยหนูนั่นยุ่งวุ่นวายแล้ว กระนั้นก็ตามนี้” ฮ่องเต้ทรงพยักพระพัตร์ “ประเดี๋ยวเจ้าทำกฎระเบียบที่เจิ้นกล่าวมาข้างต้นออกมาแล้วให้เจิ้นตรวจดูก่อนค่อยว่ากัน”
เฉิงอ๋องครุ่นคิดดูสักพักก็ไม่มีอะไรจะพูด อย่างไรฮ่องเต้ทรงตัดสินใจไปแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่การใหญ่ของทหารระดับแคว้น จะแต่งตั้งก็แต่งตั้งไปเถอะ อย่างไรฝีมือการแพทย์ของแม่นางเหยาก็กลายเป็นที่น่าสนใจไปแล้ว พอนึกเช่นนี้ เฉิงอ๋องก็ยิ้มในใจ หมอหลวงระดับห้ามีเบี้ยตอบแทนไม่เท่าเสี้ยนจู่ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่
ทว่าที่ผ่านมา เฉิงอ๋องเป็นผู้ที่ทำการรอบคอบมาโดยตลอด วันนั้นเขากลับไปก็เรียกเสนาธิการสองคนมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปหนึ่งคืน จากนั้นก็ทำกฎระเบียบที่ฮ่องเต้ต้องการ ตอนว่าราชการช่วงเช้า สาส์นกราบทูลก็ถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้แล้ว แต่เขาไม่ได้เปิดอ่านกลางราชสำนัก แค่สั่งให้ไหวเอินเก็บไว้
เฉิงอ๋องเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ดูท่าแล้วฮ่องเต้ค่อนข้างระมัดระวังตัวในเรื่องนี้เป็นพิเศษ
ตอนพระราชโองการมาถึง เหยาเหยียนอี้ก็ตะลึงงันทันที…ฮ่องเต้คิดอย่างไรกันแน่ สตรีคนหนึ่งกลับให้ไปเป็นหมอหลวงขั้นที่ห้าอะไรกันเล่า หากจะแต่งตั้งก็ควรแต่งตั้งเสี้ยนจู่อะไรเหล่านี้หรือเปล่า หมอหลวงขั้นห้านี่มันตำแหน่งของบุรุษชัดๆ!
หนิงฮูหยินน้อยก็รู้สึกแปลกใจ “นี่…นี่มันอะไรกันแน่”
เหยาเหยียนอี้หันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยยิ้มที่ขมขื่น “น้องสาวคิดอย่างไร”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ข้าจะไปรู้หรือ!” ข้าไม่ใช่พยาธิในท้องของฮ่องเต้สักหน่อย
แต่ไม่ว่าอย่างไร ฮ่องเต้ก็ทรงมีพระกรุณาธิคุณอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้จวนที่สัญญาว่าจะให้ ที่แท้ก็นึกว่าจะเป็นจวนเงียบสงบแห่งหนึ่ง ผ่านเพียงครู่เดียวก็กลายเป็นศาลาว่าการเสียอย่างนั้น
เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจลากยาว ตั้งแต่วันนี้ข้าก็เป็นคนที่มีเบี้ยตอบแทนประจำแล้ว! ถึงแม้หมอหลวงขั้นห้าจะไม่ใช่ตำแหน่งที่น่าเกรงขามอะไร ทว่าศตวรรษที่มีฮ่องเต้ปกครองแผ่นดิน มีอาชีพเช่นนี้ก็แสดงว่าฝีมือการแพทย์ของตนได้รับการยอมรับจากราชสำนักแล้ว
จริงๆ สำนักหมอหลวงของเมืองต้าอวิ๋นก็มีแพทย์หญิงอยู่ไม่น้อย แค่คนพวกนั้นไม่ได้รับตำแหน่งใด ถือว่าเป็นฐานะที่เทียบเท่านางกำนัลเท่านั้น ปกติก็คอยดูแลเกี่ยวกับยาดัดกระดูก บำรุงครรภ์ การคลอดบุตร และอื่นๆ
ว่าไป วันนี้เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้เป็นถึงแพทย์หญิงที่มีตำแหน่งแล้ว ทว่าการประกาศพระราชโองการนี้อาจทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจ ว่าไปแล้วตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงตอนนี้ ไม่มีสตรีผู้ใดที่ถูกแต่งตั้งตำแหน่งสูงเช่นนี้ เช่นนั้นบุตรีตระกูลเหยาจะกลายเป็นสตรีที่ครอบครองอำนาจจะนำหายนะให้แก่บ้านเมืองหรือเปล่า
แค่คำพูดของคนเหล่านี้แพร่งพรายออกไปก็ถูกฮ่องเต้สบถหยาบ เจิ้นยังไม่สิ้นพระชนม์ ฮองเฮายังไม่ได้คัดค้านบรรทัดฐานทางราชสำนัก แล้วอำนาจสตรีจะนำพาหายนะสู่บ้านเมืองได้อย่างไร พวกเจ้าหวังว่าเจิ้นจะสิ้นพระชนม์ในเร็ววันหรือ!
ดังนั้นคนพวกนี้จึงนิ่งเงียบทันทีแล้วไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก
เหล่าขุนนางอีกกลุ่มก็นึกว่าเรื่องนี้คงมีเพียงนี้ ฮ่องเต้คงอยากจะแต่งตั้งเพื่อเป็นการตบรางวัลให้กับแพทย์หญิงผู้หนึ่งก็เท่านั้น สำหรับเรื่องที่เหตุใดฮ่องเต้ถึงต้องพระราชทานตำแหน่งสูงศักดิ์ให้นาง…พูดตามตรงสตรีผู้นี้มีความสามารถอย่างถ่องแท้ ฮ่องเต้จะใช้คนย่อมทำให้คนที่อยู่ในราชสำนักยินยอมถึงจะเกิดประสิทธิผล
อีกอย่าง แม้ราชสำนักจะไม่เคยมีสตรีที่ได้เป็นขุนนาง ทว่าในการบันทึกประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ก่อนก็มีสตรีที่ร่วมรบแล้วสังหารแคว้นศัตรู วันนี้เมืองหลวงต้าอวิ๋นอยู่อย่างสงบสุขจึงไม่ต้องการสตรีออกศึกสังหารศัตรู หากจะมีหมอเซียนหญิงที่ปรุงยาวิเศษเพื่อรักษาผู้ป่วยได้จะมีอะไรไม่ดีเล่า
หากให้เหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปในสำนักหมอหลวงโดยไม่แต่งตั้งตำแหน่งใดๆ ตระกูลของเหยาหย่วนจือต้องไม่พอใจแน่นอน สตรีผู้นี้เป็นตั้งสตรีของขุนนาง ตอนนี้บิดาของนางได้รับภาระหน้าที่สำคัญจากทางราชสำนัก จะมีความเป็นไปได้ที่นางจะไปเป็นเพียงนางกำนัลหรือ
แน่นอนว่ามีคนมากมายที่ดูหมิ่นและแอบรู้สึกขนขันที่เหยาหย่วนจือเลี้ยงดูบุตรีได้แปลกประหลาดนัก กลับเป็นแม่นางที่รู้วิชาการแพทย์แล้วยังจะให้เป็นหมอหญิงอีก บุตรีไม่ควรเลี้ยงดูอยู่แต่ในเรือนมีคุณธรรมมีนิสัยอ่อนโยนและควรสนับสนุนสามีและสั่งสอนบุตรในจวนหรอกหรือ อยู่ดีๆ ก็เที่ยวไปรักษาผู้ป่วย พูดตามตรงถือว่าเป็นการทำให้ตัวเองด้อยคุณค่ายิ่งนัก
ในสถานการณ์ที่วุ่นวาย จวนที่เคยเป็นศาลาว่าการที่ถูกปิดไปเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ถูกเลือกให้เป็นสำนักแพทย์ต้าอวิ๋น มีเฉิงอ๋องเป็นผู้ออกหน้าออกตาในการซ่อมแซมสถานที่ใหม่
และขณะเดียวกัน เทียบเชิญที่หันหมิงชั่นนัดเหยาเยี่ยนอวี่ไปร่วมสังสรรค์ก็มาถึงแล้ว
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก เหยาเยี่ยนอวี่ที่จะออกเรือนในเดือนเก้านี้แล้ว และก่อนหน้านี้นางมัวแต่อุดอู้อยู่ในบ้านนาน้อยวัวจวู ไม่ง่ายเลยที่จะออกมารวมงานเทศกาลวันไหว้พระจันทร์
เหยาเหยียนอี้ที่มีฐานะเป็นขุนนางราชสำนักก็ต้องไปร่วมงานสังสรรค์ของเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นตัวแทนของตระกูลเหยาในเมืองหลวง นอกจากจวนติ้งโหวที่ยังคงไว้อาลัยจึงแค่ส่งของขวัญวันไหว้พระจันทร์ไปให้ ส่วนที่อื่นที่เหยาเหยียนอี้จะไปเยือนก็คือสหายของเหยาหย่วนจือ ดังนั้นเหยาเหยียนอี้จึงยุ่งมาหลายวัน หนิงฮูหยินน้อยก็ยุ่งเช่นกัน เหยาเยี่ยนอวี่พลอยยุ่งไปกับพวกเขาด้วย
ไปๆ มาๆ หันหมิงชั่นทำได้เพียงเลือกวันเวลาเป็นวันที่สิบเก้าเดือนแปดแล้ว
หนิงฮูหยินน้อยมองเทียบเชิญของหันหมิงชั่นจึงพูดยิ้มๆ กับเหยาเยี่ยนอวี่ “น้องสาวยุ่งมาหลายวัน นี่ก็ถึงเวลาผ่อนคลายตัวเองหน่อยแล้ว รอเดือนหน้าก็ต้องกลายเป็นสะใภ้ของคนอื่น คงไม่มีเวลาว่างเช่นนี้แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่เปรยอย่างจนปัญญา “พี่หันก็แค่อยากจะอยู่ร่วมกันกับสหายคนอื่นก็เพื่อปลอบใจเหิงเอ๋อร์เท่านั้น ได้ยินมาว่าหลายวันมานี้นางต้องอดทนกับความยากลำบากอย่างมาก”
หนิงฮูหยินน้อยนึกถึงว่าก่อนจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์นางไปเยือนจวนติ้งโหวก็ไม่เห็นหน้าซูอวี้เหิง ด้วยเหตุนี้จึงถามขึ้น “เจ้าพูดถูก ผู้สิ้นใจก็ไปสู่สุคติแล้ว ส่วนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ควรไว้อาลัย ทว่าชีวิตก็ยังต้องดำรงต่อไป”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น “พี่สะใภ้กล่าวถูก!”
หนิงฮูหยินน้อยจึงพูดคุยเรื่องสินเดิมเจ้าสาวของนาง เหยาเยี่ยนอวี่ฟังแล้วปวดศีรษะ แค่พูดว่า “พี่สะใภ้ปรึกษากับแม่นมแล้วจัดการเถอะ เรื่องพวกนี้อย่ามาถามข้าเลย”