บทที่ 340 : โทรศัพท์
หลินเจี๋ยตกตะลึง นี่มันเรื่องอะไรกันหว่า?
ไม่รู้ทำไม…แต่เขากลับรู้สึกเหมือนถูกถามปัญหาประมาณว่า ‘ถ้าแฟนสาวกับแม่ของคุณตกลงไปในแม่น้ำพร้อมกัน คุณจะเลือกช่วยใครก่อน?’ อย่างไรชอบกล
หลินเจี๋ยแสร้งทำเป็นจิบชาเพื่อกลบเกลื่อนการเปลี่ยนสีหน้าของเขา
อย่างไรเสีย…โจเซฟกับไวลด์เหรอ?
ชายหนุ่มคิดไปถึงคู่เพื่อนเก่าที่คงจะกลับมาเป็นเพื่อนกันในไม่ช้า แต่ทำไมตอนนี้มันดูแย่จัง
ถึงอย่างไร เกร็กก็เป็นลูกศิษย์ของโจเซฟ การถามคำถามแบบนี้คงไม่ใช่แค่พูดลอย ๆ อย่างแน่นอน ความเป็นไปได้สูงสุดคือทั้งสองในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากันแล้ว
เป็นไปได้ไหมว่าความเข้าใจผิดตอนที่เฒ่าไวลด์เข้าร่วมองค์กรอาชญากรยังไม่ถูกปรับแก้?
ไม่ ๆๆ …ด้วยนิสัยอย่างตาเฒ่าไวลด์แล้ว เขาคงไม่คิดจะอธิบายแหง ๆ
โจเซฟเป็นคนอารมณ์ร้อนและโผงผาง เขาจะตัดสินโดยใช้สิ่งที่ตนเองรู้เท่านั้น เขาคงทำตามสัญชาตญาณโดยไม่รับฟังคำอธิบาย
วงจรอุบาทว์นี่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดที่รังแต่จะลึกล้ำขึ้นอีก…
หากคิดบนพื้นฐานว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้แย่ลงเรื่อย ๆ เกร็กที่เพิ่งถูกโจเซฟรับเป็นศิษย์ฝึกหัดเมื่อหกเดือนก่อนย่อมไม่รู้หรอกว่าพวกเขามีความบาดหมางอะไรกันอยู่ และเขาคงไม่สนใจความเข้าใจผิดอะไร
อันที่จริง หลินเจี๋ยเองก็ไม่รู้ว่าความหลังระหว่างทั้งคู่มันเกิดอะไรขึ้น เขารู้แค่ว่าแขนที่ขาดของโจเซฟมีส่วนเกี่ยวข้องกับไวลด์ และการที่ไวลด์ปลีกวิเวกก็เป็นเพราะโจเซฟ จากข้อเท็จจริงเหล่านี้ก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองตึงเครียดขนาดไหน
แต่ตอนนี้เมื่อเกิดคำถาม ก็กล่าวได้ว่าเขาไม่มีเงื่อนไขพื้นฐานในวิเคราะห์ข้อสรุปใด ๆ ได้เลย
ดังนั้น เกร็กจึงไม่น่าจะถามว่าใครจะชนะจริง ๆ หรอก เขาแค่อยากได้ยินว่าโจเซฟจะชนะเท่านั้นเอง
นักศึกษาเกร็กถามคำถามยากจริง ๆ …
ความยากของคำถามนี้ไม่ใช่ตัวคำถาม แต่เป็นการตอบ
จากความเข้าใจของหลินเจี๋ยต่อคนทั้งสอง หากทั้งสองฝ่ายประชันจิตใจกันด้วยเงื่อนไขที่เท่าเทียมกันทุกอย่าง โจเซฟจะแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอน ถ้าเปลี่ยนเป็นการต่อสู้แบบประชิดตัวล่ะก็ เฒ่าไวลด์ผู้แขนขาบอบบางคงรับหมัดเดียวของโจเซฟไม่ได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้น จึงสรุปได้ง่ายมาก
แต่พูดตรง ๆ แล้ว เกร็กไม่ได้อยากได้การวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลอย่างเห็นได้ชัด เขาแค่อยากฟังคนอื่นพูดยกย่องอาจารย์ของเขาเท่านั้นแหละ…
ปกติแล้ว มันไม่มีปัญหาอะไรในการคล้อยตามความต้องการของลูกค้าหรอก
แต่หลินเจี๋ยรู้จักบุคคลทั้งสองดี หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาได้ยินสิ่งที่เขาพูดในวันนี้เข้า ธุรกิจของเขาล่ะจะทำอย่างไร?
หลินเจี๋ยลูบคาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองเกร็กแล้วถามกลับอย่างใจเย็น “แล้วคุณคิดอย่างไรเหรอครับ?”
ใช่แล้ว!
ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือส่งเรื่องหนักสมองกลับไปให้ฝ่ายตรงข้าม แล้วชี้นำ คล้อยตามความคิดอีกฝ่าย
อย่างไรเสีย ข้อสรุปนี้คุณก็พูดออกมาเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมหลินเจี๋ยล่ะครับ?
“เอ๋?”
เกร็กตะลึง เขาไม่คิดว่าปัญหาจะถูกตีกลับ
เขามองดวงตาสื่อความหมายของหลินเจี๋ยด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน ความคิดฉวยโอการแอบดูความคิดของอีกฝ่ายถูกมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง…
ไม่สิ เขาควรจะรู้อยู่ตั้งนานแล้ว!
ตัวชี้วัดแพ้ชนะในครั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าปีศาจนี่อยากให้ใครชนะ…
เขาอยากจะลองง้างปากเจ้าของร้านหนังสือเพื่อฟังคำตอบ หวังจะให้เจ้าปีศาจเห็นใจสงสาร
แต่ว่าเจ้าปีศาจนี่กลับโยนปัญหากลับมา แถมมาถามเขาย้อนกลับว่าใครในสองคนนี้จะชนะ
เห็นได้ชัดว่าการสนทนาที่เหลือต้องขึ้นกับคำตอบนี้
หรือก็คือ คำพูดต่อจากนี้ของเขาอาจจะเป็นตัวตัดสินทิศทางของสงครามได้…
“ผ…ผม…”
หลังจากเข้าใจจุดนี้ เม็ดเหงื่อก็เริ่มผุดพรายขึ้นบนหน้าผากเกร็ก
ปีศาจ! เจ้าปีศาจนี่!
แน่สิว่าเขาอยากได้ และคิดจริง ๆ ว่าโจเซฟจะชนะ!
แต่ถ้า…ถ้าเขาพูดออกไปแล้วเจ้าปีศาจนี่คิดจะล้อเล่นกับเขา อยากเห็นท่าทางสิ้นหวังของเขาแล้วจงใจกล่าวเยินยอให้ไวลด์ชนะล่ะ?
หรือเขาต้องพูดว่าไวลด์จะชนะ?
แต่ถ้าเจ้าหมอนี่คล้อยตามมุมมองของเขาขึ้นมา แล้วทำให้ไวลด์ชนะจริง ๆ ล่ะ?
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรกับคำตอบ เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย!
เกร็กสับสนและหวาดกลัว เขาถูฝ่ามืออย่างต่อเนื่องและรู้สึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง เขาไม่น่าถามเรื่องนี้เลย ทำไมเขาต้องด่วนตัดสินใจเองด้วยนะ…
หลินเจี๋ยเห็นความกระวนกระวายจากสหายตัวน้อยแล้วคิดว่าเขาตัดสินใจพลาด หรือศิษย์ฝึกหัดของโจเซฟคนนี้จะคิดอย่างอื่นในใจ?
โอ้… เพราะฉะนั้นเขาเลยทรมานใจถ้าต้องพูดออกมาเอง
เจ้าของร้านหลินผู้ปรารถนาดีเลื่อนถ้วยชาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัวครับ พูดอย่างที่คุณคิดเถอะ เหมือนที่ผมพูดเมื่อครู่ คิดเสียว่าผมเป็นโพรงต้นไม้เถอะ มันเป็นแค่เรื่องสมมติ ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะต่อสู้ถึงตายกันจริง ๆ ใช่ไหมล่ะครับ? มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก ผ่อนคลายเถอะครับ”
ไอ้ ‘อะไร’ นั่นน่ะ มันเกิดขึ้นแน่ ๆ น่ะสิเฮ้ย!
นี่คงเป็นการแก้แค้นที่พยายามลองเชิงสินะ!
เกร็กโวยวายอยู่ลึก ๆ ในใจ เขาลุกลี้ลุกลนและพูดเสียงสั่น “ผม ผมคิดว่า…”
หลินเจี๋ยมองฝ่ายตรงข้ามอย่างใจดีมาก แล้วผลักถ้วยน้ำชาไปให้เขา “คิดอย่างไรครับ? จิบชาสงบใจลงสักหน่อยไหม?”
เกร็กคิดว่าถ้วยน้ำชาถูกผลักผ่านเส้นแบ่งความเป็นความตายของเขา แล้วความรู้สึกกดดันก็ยิ่งรุนแรง
หลินเจี๋ยถอนหายใจ “แต่เดิมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ดีจริง ๆ ไม่อย่างนั้นโจเซฟคงไม่ตามหาไวลด์มาถึงสองปีหรอก ถึงก่อนหน้านี้พวกเขาจะขัดแย้งกันมาบ้าง แต่ผมก็เห็นว่าพวกเขาเข้าใจกันมาก ๆ แค่ไม่ได้มาเปิดอกคุยกัน บางทีพวกเขาอาจจะเข้าใจหัวอกอีกฝ่าย หวนคิดถึงอดีตแล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันก็ได้นะ…”
เอื๊อก…
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย หรือว่าคุณโจเซฟกับไวลด์จะสู้กันอย่างเป็นทางการแล้วในตอนนี้ คุณโจเซฟเกือบถูกไวลด์บดเป็นผง ในขณะที่ไวลด์เกือบโดนคุณโจเซฟฉีกเป็นชิ้น ๆ…
นี่คือที่ว่า ‘เข้าใจหัวอกอีกฝ่าย’ เหรอ…
เขากัดฟันหลับตา ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยมือที่สั่นรุนแรง “ผมคิดว่า…”
ติ๊ด…ติ๊ด!
ก่อนที่เกร็กจะทันได้ตอบคำถาม อุปกรณ์สื่อสารที่เขาเพิ่งวางสายไปก็ส่งเสียงขึ้นมาขัดจังหวะกะทันหัน
สีหน้าของเด็กหนุ่มดูรำคาญใจมาก เขาลืมตาขึ้นแล้วคิดจะ ‘วางสายแม่มเลย’ แต่กลับพบว่าชื่อผู้ติดต่อเป็น ‘วินสตัน’ อย่างไม่คาดฝัน
หัวหน้าหน่วยรบคนนั้นอ่ะนะ?
บ้าจริง ไหงโทรมาตอนนี้ล่ะ มันค่อนข้างดึกแล้วนะ?!
จากธรรมเนียมของหอพิธีกรรมต้องห้าม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด เว้นแต่ความเคลื่อนไหวของตนจะถูกจำกัดอยู่ ผู้ใต้บังคับบัญชาห้ามวางสายสื่อสารจากบุคคลระดับสูงกว่าด้วยตัวเองเป็นอันขาด
แม้ว่าเกร็กกับวินสตันจะไม่ได้อยู่ในหน่วยเดียวกัน แต่พวกเขาก็ยังเป็นหัวหน้าลูกน้องกันอยู่ดี ยิ่งกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างวินสตันกับโจเซฟในช่วงนี้ก็ไม่ได้ดีมาก หากเขาวางสายไปตอนนี้ เขาได้เดือดร้อนทีหลังแน่ ๆ…
ไม่ ๆๆ สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้ดี ขืนเกิดอะไรขึ้นกับคุณโจเซฟขึ้นมา จะไม่มี ‘ทีหลัง’ สำหรับเรา!
เมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเกร็ก เจ้าของร้านหลินผู้ปรารถนาดีก็วางถ้วยชาลงแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ รับโทรศัพท์ก่อนเถอะ ถ้าใช้เวลาคิดนาน คำตอบที่ได้ก็จะเป็นกลางมากขึ้นนะครับ”
—