บทที่ 350 : เกล็ดหิมะ
เฟจกลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วรีบฉีกยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแข็งแรงจะตาย ล้มสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นไรหรอก ดูสิ ผมยังวิ่งปร๋อแถมยังกระโดดได้อยู่เลย!”
เขาจงใจกระโดดสองสามครั้งเพื่อเป็นหลักฐานว่าร่างกายของเขายังดีอยู่
เขาไม่อยากถูกกำจัดออกไป…งานเลี้ยงที่กำลังจะเริ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นคลื่นใต้น้ำที่กำลังจะซัดโหม ยากจะจินตนาการได้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นบ้าง
ไม่ใช่ว่านี่คือโอกาสสำคัญที่เขาอยากเข้าร่วมเพื่อสร้างชื่อให้ผู้คนจดจำเหรอ? แน่ล่ะว่าพลาดไม่ได้!
แต่อันที่จริง เฟจคิดว่าหลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เขาควรหาที่ไปรักษาแขนตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเขาอาจต้องตัดแขนทิ้งในเร็ว ๆ นี้…
แต่ถึงตัดทิ้งไปก็ไม่เป็นอะไรมากหรอก เขาเปลี่ยนไปใช้แขนเทียมที่บริษัทโรลล์ฯ จัดจำหน่ายก็ได้
เขาไม่ต้องเล่นไวโอลินแลกเงินเพื่อซื้ออาหารแต่ละมื้ออีกต่อไปแล้ว และความสามารถของเขาก็ไม่ได้พึ่งร่างกายนัก
แล้วบริษัทโรลล์จะยอมขายแขนขาเทียมราคาแพงลิ่วที่จัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษนี้ให้เขาเหรอ?…คำตอบคือใช่แน่ ๆ เพราะถึงอย่างไร ตอนนี้เขาก็เป็นลูกน้องของเจ้าของร้านหลินแล้ว!
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะรู้จักความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าของร้านหลินหรือไม่ แต่ถ้าดูจากภายนอก เจ้าของร้านหลินก็ยังเป็นแขกรับเชิญพิเศษของตระกูลจี้และมีความสำคัญต่อคุณหนูจี้อยู่ดี
ถ้าเขาสามารถเดินไปด้วยกันกับเจ้าของร้านหลินได้ ก็เท่ากับว่าเขามีการติดต่อคู่ขนานกับบริษัทโรลล์แล้ว ไม่ว่าบริษัทโรลล์จะทำอะไร พวกเขาก็คงไม่กล้าปฏิบัติแย่ ๆ กับคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของร้านหลินอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงยืมหนังเสือมาห่มเพื่อรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าได้สบาย ๆ
แน่ล่ะ!
ขอบเขตของมันก็คือ เขาต้องรักษาความสัมพันธ์ในฐานะคนคุ้นเคยของเจ้าของร้านหลินไว้…
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ” หลินเจี๋ยรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าอย่างน้อยเขาก็ยังเคลื่อนไหวโดยอิสระได้ แต่ก็ยังคงพูดต่ออย่างเคย “ถ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนก็ขอให้บอกนะครับ ผมช่วยส่งคุณไปโรงพยาบาลได้”
เกร็กตีหน้าจริงจังแล้วพูดทันที “ผมเรียกคนรับใช้ของผมมาช่วยหามคุณไปได้นะ”
เจ้าเด็กนี่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของชาวบ้านอยู่ชัด ๆ!
เฟจกัดฟันพูด “ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงครับ แต่ไม่ต้องหรอก ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ”
เกร็กพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา แล้วละสายตาเมินเฟจที่กำลังอาฆาตเขาอย่างเงียบ ๆ
เขาเปลี่ยนทีท่า หันกลับไปมองหลินเจี๋ยด้วยท่าทางขอคำแนะนำอย่างนอบน้อมต่อ “คุณหลินครับ ว่าด้วยปัญหาของผมต่อ คุณมีหนังสือแนะนำให้ผมสักสองสามเล่มไหมครับ? ผมได้ยินมาจากคุณโจเซฟว่าหนังสือของคุณเป็นยาขมที่ช่วยคนที่ติดในความสับสนให้หาทิศทางและจุดประสงค์ของชีวิตได้”
ในฐานะของนักสืบ การปลอมตัวให้แนบเนียนเป็นธรรมชาติและการทำตัวให้ไหลลื่นเป็นคุณสมบัติจำเป็น
ถ้าเขาไม่ตกใจกลัวตอนที่จู่ ๆ หลินเจี๋ยก็โผล่มาที่หน้าประตู เขาคงไม่รู้สึกประหม่าขนาดนี้
หลินเจี๋ยไม่ได้แนะนำหนังสือที่บรรจุความรู้ต้องห้ามอย่างที่เขาคิดในทันที แต่กลับตบบ่าเขาแล้วพูดอย่างจริงใจว่า “ปัญหานี้ของคุณเกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างบุคคล เป็นเรื่องของความต่างทางฐานะและปัญหาทางจิตใจ มันไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถอ่านจากหนังสือแล้วแก้ไขด้วยตนเองได้ง่าย ๆ ครับ”
เกร็กอึ้งไป “แล้วคุณมีความเห็นอย่างไรครับ?”
หลินเจี๋ยยิ้มอย่างใจดีแล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่รังเกียจ สองสามวันนี้เราคุยกันให้มากขึ้นได้นะครับ ผมถนัดการให้คำปรึกษามาก หากไม่เชื่อ คุณถามอาจารย์คุณได้เลย”
“…”
ถ้าเมินหลักฐานบางอย่างไป การพูดคุยกับเจ้าของร้านหนังสือจะเป็นวิธีกอบโกยผลประโยชน์ที่ดีที่สุดจริง ๆ
อย่างเช่นโจเซฟที่ได้รับคำแนะนำบ่อย ๆ จนตอนนี้พัฒนาขึ้นถึงระดับเหนือนภาไปแล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็หมายความว่าเขาอาจจะกลายเป็นตัวหมากในกระดานที่จะถูกใช้หรือทิ้งอย่างไรก็ได้
ไม่สิ นั่นมันชัดเจนแล้วนี่นา…
ในตอนนี้ เกร็กรู้สึกว่าเขามางานเลี้ยงนี้อย่างจงใจ และวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วแน่ ๆ
วกกลับไปที่ประเด็น ในเมื่อหลินเจี๋ยพูดออกมา เกร็กก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย นี่คือการสร้างโอกาสสื่อสารมากขึ้นและยิ่งอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ…แต่ก็คงไม่อันตรายไปกว่าตอนนี้แล้วล่ะ
แน่นอน เขาไม่ได้อยู่ลำพัง แต่มีหอพิธีกรรมต้องห้ามคอยสนับสนุนอยู่ ตราบใดที่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้พลิกผันมากนัก เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวแม้จะโดนหลินเจี๋ย ‘ล้างสมอง’ เอาก็ตาม
ดังนั้นเกร็กจึงพยักหน้าพูดว่า “ผมไม่รังเกียจหรอกครับ…ตราบใดที่คุณไม่มองว่าผมน่ารำคาญไปซะก่อน”
เมื่อเฟจกลับมาจับประเด็นได้อย่างยากลำบาก เขาก็ดึงความสนใจกลับมาได้ และกระแอมเมื่อเห็นท่าทีที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นของหลินเจี๋ย
“เรามาถึงแล้วครับ ที่นี่ใหญ่มากจริง ๆ และอาหารที่เสิร์ฟก็มีเยอะมากด้วย บางอย่างผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย สมกับเป็นงานเลี้ยงชนชั้นสูงจริง ๆ ครับ…”
ถ้าไม่สนใจการที่เขาพูดมั่ว ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจและน้ำเสียงที่ฟังเหมือนประชดกันไปเสียหน่อย งานเลี้ยงนี้ก็เป็นไปตามที่เฟจพูด อาหารเช้าถูกจัดเตรียมในภัตตาคารใหญ่ที่สว่างไสวไปด้วยไฟประดับ ไม่ได้ด้อยไปกว่างานเลี้ยงเต้นรำเมื่อคืนนี้เลย
ตอนนี้แขกผู้มีเกียรติหลายคนอยู่ในภัตตาคารอาหารเช้านี้กันแล้ว บ้างก็ทานอาหารเงียบ ๆ ตามมุมต่าง ๆ และบ้างก็คุยกันเบา ๆ
ปกติแล้ว เมื่อตระกูลจี้รับแขกที่มาพักค้างคืน วันรุ่งขึ้นแม่บ้านจะนำอาหารเช้าไปให้พวกเขาที่ห้อง
แต่งานเลี้ยงนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อสร้างสังคมระดับสูง ย่อมต้องปล่อยให้แขกมีโอกาสได้พบปะสังสรรค์กันให้ได้มากที่สุด
…ทว่าเมื่อมีการสื่อสาร ความขัดแย้งย่อมตามมา…
เสียงของเฟจหยาบกระด้างชัดเจนเป็นพิเศษในตอนนี้
แต่เมื่อพวกเขาขมวดคิ้วมองมา ก็พบว่าชายที่เดินตามเขามาเป็นหนึ่งในฝ่ายที่มีข้อพิพาทกันเมื่อคืนวานนี้ คำพูดเดิมที่คิดจะปรามาสจึงจุกอยู่ในลำคอ พวกเขาได้แต่กลืนมันกลับลงไปเงียบ ๆ…
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้แน่ชัดถึงภูมิหลังของเจ้าคนที่ชื่อหลินเจี๋ยนี่ แต่ทัศนคตินอบน้อมและให้ความสำคัญยิ่งของคุณหนูจี้ก็ชัดเจน
อย่าโวยวาย! ก่อเรื่องไม่ได้!
จะมีใครอยากเป็นจอห์นคนที่สองบ้าง?
หลินเจี๋ยมองไปรอบ ๆ แล้วทอดถอนใจเห็นด้วยกับเฟจ “มันใหญ่มาก ๆ จริง ๆ ครับ…”
ภัตตาคารอาหารเช้านี้ใหญ่โตอลังการกว่าร้านหนังสือของเขามาก และยังดูข่มฐานะกันมากด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าคนระดับรากหญ้าอย่างเฟจถึงมีท่าทีแดกดันแบบนี้
แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เขามาที่นี่แค่เพื่อกินฟรีอยู่ฟรี ยิ่งภัตตาคารใหญ่เท่าไรยิ่งดี…
หลินเจี๋ยยักไหล่และเตรียมอุทิศตนไปกับการเป็นถังข้าว
ไม่ไกลนัก เด็กสาวผมสีบลอนด์ซีดในชุดเดรสทางการสีขาวพลันชะงักแล้วหันมาทางหลินเจี๋ย สีหน้าที่แต่เดิมเย็นชาดั่งน้ำแข็งของเธอพลันปรากฏความแปลกใจและคลั่งไคล้ ตื่นเต้นสุด ๆ จนแก้มแดงแปลก ๆ
เธอยกชายกระโปรงเดินไปทางหลินเจี๋ยทันที ทิ้งบรรดาผู้ดีรอบ ๆ ตัวเธอให้มีท่าทางสับสน
“คุณหลินคะ” หลินเจี๋ยเพิ่งหาที่นั่งได้ในขณะที่ได้ยินเสียงเรียกสั่น ๆ แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมาเจอคนคุ้นหน้า
“โอ้ คุณนี่เอง”
หนึ่งในผู้ช่วยคนใหม่ของไวลด์ เธอคือชาร์ล็อตต์ หรือโค้ดเนม ‘เกล็ดหิมะ’ คนนั้น
—