ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 614 ต้นไม้แสงกลางฟ้าราตรี

เสียงร้องเปิดศึกดังออกมาเมื่อมารเทวะมากมายร้องคำราม พวกเขาโจมตีเข้าใส่ชื่อซี

หลังจากการต่อสู้นองเลือดครั้งนี้ ซากศพก็ก่ายกองเท่าภูเขา และแม้แต่ชื่อซีเองก็ต้องรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ที่เขาฝึกคือวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหล และวิชาเช่นนี้แย่งชิงปราณและโลหิตของผู้อื่นมารักษาพละกำลังอันเต็มเปี่ยมของตนเองตลอดการต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยมีสามเศียรหกกร ความสามารถในการต่อสู้ประชิดตัวของเขาก็กล่าวได้ว่าบรรลุถึงขั้นไร้ที่ติ

ตราบเท่าที่คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บ โลหิตก็จะหลั่งไหลอย่างต่อเนื่อง และมันก็จะไหลเข้ามาในร่างกายของเขา ยิ่งการต่อสู้ลากยาวไปนานเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขาได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น

วิชาเทวะนี้กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในวิชาที่ล้ำเลิศที่สุดในยุคสมัยแสงฉาน ในครั้งกระโน้น ผู้คนมากมายได้ฝึกมัน และจำนวนของเทพเจ้าที่ฝึกมันก็มีไม่น้อยเลยเช่นกัน ดังนั้นเทพเจ้าแห่งยุคสมัยแสงฉานจึงมักจะใช้รูปลักษณ์สามเศียรหกกร

วิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลมีจุดอ่อนสองประการ ประการแรกคือมันจะสร้างภาระหนักหน่วงแก่ร่างกาย ผู้ใช้จะรู้สึกว่ากายเนื้อของตนกลายเป็นเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่ว่าอย่างไร ปราณและโลหิตของเขาก็จะยังคึกคักเข้มแข็ง

จุดอ่อนที่สองคือมันขาดทักษะเทวะ ในเมื่อมันเป็นวิชาบู๊ต่อสู้ประชิดตัว ความสำเร็จในทักษะเทวะของเขาจึงไม่สูงล้ำโดดเด่น

เพชฌฆาตแห่งยุคแสงฉานผู้นี้ นั่งอยู่บนภูเขาซากศพขณะที่ราตรีคืบคลานเข้ามา มีกองไฟมากมายเผาไหม้อยู่รอบๆ พวกมันคือเพลิงไฟที่หลงเหลือจากทักษะเทวะต่างๆ ปลดปล่อยพวยควันพุ่งไปในท้องฟ้าราตรี

เมืองเสื่อมทรามถูกทำลายล้าง

เรือกระดาษกำลังลอยเลื่อนมาจากความมืด ผู้นำทางความตายและเรือมากมายมาเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณคนตาย ชื่อซีมองไปยังผู้นำทางความตายเหล่านี้ที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาด้วยสีหน้าว่างเปล่า เขาไม่ไต่ถามอะไรทั้งสิ้น

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพชฌฆาตแห่งสภาสวรรค์แสงฉาน เขานั้นคุ้นเคยกับภาพเช่นนี้มานานแล้ว

ขณะที่นั่งอยู่บนภูเขาซากศพ เขามองไปยังที่ไกลๆ มารเทวะสามหน้าตนหนึ่งกำลังเดินตรงมายังเขา ขณะที่ก้าวเดินมา มารเทวะตนนั้นก็ปรับสภาวะของตนเอง นั่นคือศัตรูที่มีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดา

มหาราชาฟู่ยื่อลัว!

ชื่อซีจัดแจงท่าทางของเขาขณะที่เท้าหนึ่งเหยียบอยู่บนหัวของศพ ส่วนอีกเท้าห้อยลงมาอย่างอิสระ เขากำลังปรับลมหายใจและตั้งท่าพร้อมรับมือ เขานั้นพยายามอย่างที่สุดที่จะข่มระงับโทสะ รอชั่วจังหวะที่จะปลดปล่อยมันออกไปในรวดเดียว

คู่ต่อสู้ของเขาคือมหาราชาแห่งเผ่ามาร ครั้งหนึ่งเขาได้ประหัตประหารมหาราชาอีกตน และนั่นเขาก็ต้องอาศัยมีดปริศนาประหารเทพในการทำเช่นนั้น เขารู้ว่าศัตรูเช่นนี้ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด ดังนั้นเขาจึงต้องมีกรอบคิดจิตใจอันสมบูรณ์พร้อม เขาไม่อาจเปิดโอกาสให้ศัตรูได้เลยแม้แต่นิด

โทสะและความกระหายที่จะล้างแค้นของเขานั้นเป็นพลังขับเคลื่อน แค่ทว่า พวกมันก็ทำให้เขาสูญเสียเหตุผลไปด้วยเช่นกัน

ก็มีแต่เมื่อสะกดข่มโทสะเอาไว้และรอให้ถึงช่วงตัดสินเป็นตาย ที่เขาสามารถโจมตีพิฆาตไปยังศัตรูได้ เขาถึงจะระเบิดโทสะอันสะกดข่มไว้อย่างเนิ่นนาน และถึงจะสามารถต่อสู้จนสาสมใจและปลดปล่อยความเคียดแค้นทั้งหมดไปได้ การล้างแค้นสำเร็จนี้ก็จะนำมาซึ่งความปีติยินดีแก่จิตเต๋าของเขา!

จากที่ไกลๆ มหาราชาฟู่ยื่อลัวยังคงเดินเข้ามา หากว่าดูเผินๆ เขาก็มองดูไม่เหมือนกับมารเทวะแห่งเผ่ามาร เขาดูเหมือนกับชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาซึ่งดูคงแก่เรียนและสง่างาม

ขณะที่เขาเดินไป แขนของเขาก็ยกขึ้นยกลงพลางขับเคลื่อนทักษะเทวะอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าทักษะเทวะเหล่านี้มีแต่จะสะสมรวมเข้าด้วยกันและไม่สลายหายไป เขารั้งพลังของเขาเอาไว้โดยไม่ปลดปล่อยออก

ความถี่การย่างเท้าของเขานั้นไม่ได้รัวเร็ว แต่เขาเคลื่อนที่มาได้ไวจนน่าทึ่ง มันทำให้ผู้ชมดูรู้สึกราวกับว่าเขากำลังวิ่งตะบึงลงจากภูเขาสูง

นี่เป็นรัศมีแบบหนึ่ง รัศมีแห่งความไร้เทียมทาน

ท่วงท่าภายนอกของเขาไม่สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของขา ความถี่การย่างเท้าของเขานั้นเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นเขาก็ให้ความรู้สึกของการไร้คู่ต่อสู้!

ทักษะเทวะของเขาสั่งสมมาด้วยอัตราอันน่าตื่นตระหนก และชื่อซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดัน แรงกดดันนั้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้นและเพิ่มพูนขึ้นจนเขานั่งอยู่ไม่ได้อีกต่อไป!

ข้างหลังเขา ห้วงอวกาศเป็นชั้นๆ พลันเบ่งบานออกมา และทำให้เมืองเสื่อมทรามยิ่งถอยห่างไกลออกไปจากเขา ศพพวกนั้นก็ยิ่งถอยห่างออกไปเรื่อยๆ เช่นกัน

ทักษะเทวะของฟู่ยื่อลัวนั้นได้ตระเตรียมเพื่อการต่อสู้อันเดือดพล่านที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาเคลื่อนย้ายกองศพของมารเหล่านั้นออกไปห่าง เพื่อมิให้ชื่อซีสามารถหยิบยืมปราณและโลหิตใดๆ

หากว่าเขาลงมือโจมตีในตอนนี้ รัศมีไร้เทียมทานของฟู่ยื่อลัวก็จะยังไม่บรรลุถึงจุดสุดยอด!

ชื่อซีเหาะขึ้นไปบนอากาศ แขนทั้งหกของเขาควงมีดทองเล่มยาวหกเล่มและกวัดแกว่งพวกมันขึ้นๆ ลงๆ ระเบิดออกไปด้วยทักษะเทวะวิชาบู๊ทุกชนิด!

ทักษเทวะวิชาบู๊พวกนี้ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากจากก้อนคลื่น ซ้อนทับซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พวกมันเข้ามารวบรวมเข้าด้วยกัน คลื่นของแสงมีดก็ทับถมกันสูงขึ้นทุกที!

ความเร็วของเขากลายเป็นเร็วขึ้นกว่าเดิมขณะที่เขาเดินไปร้อยห้าสิบวาเหนือพื้นดิน หลังจากก้าวไปหลายก้าว พื้นดินข้างล่างก็พลันปรากฏร่องรอยคล้ายกับว่าเป็นทะเลสาบแห้งผากรูปทรงฝ่าเท้า!

พื้นดินสั่นสะเทือน และทะเลสาบแห้งผากเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื้อง แม้แต่ภูเขาก็ถูกถล่มจนราบจากการเหยียบไป เขาเข้าไปใกล้ฟู่ยื่อลัวผู้ซึ่งกำลังเดินมาอย่างแช่มช้าด้วยความเร็วอันเกินจินตนาการ!

ทะเลสาบแห้งผากปรากฏตรงหน้าฟู่ยื่อลัวอย่างรวดเร็ว พวกมันอยู่ห่างจากเขาไปเพียงสามร้อยวาเท่านั้น

ในที่สุด ตัวตนน่าสะพรึงกลัวสองตนก็เข้ามาปะทะกัน!

ไกลออกไป ในป้อมปราการเมืองหลี ฉินมู่นั้นกำลังจะพักผ่อน แต่ทันใดนั้นก็เห็นแสงประหลาดส่องมาจากทิศตะวันตก

สถานที่นั้นเป็นเขตแดนของเผ่ามาร

เด็กหนุ่มยืนอยู่บนป้อมปราการเมือง มองไปยังที่ไกลๆ อันมีแสงระเบิดปะทุขึ้นมาบนท้องฟ้าค่ำคืน แม้ว่าระยะห่างจะไกลมากนัก แต่แสงนั้นก็ยังแสบตาเป็นอย่างยิ่ง

แสงนั้นราวกับต้นไม้อันแข็งแกร่งมั่นคง และมันพลันงอกเงยผงาดขึ้นมาเมื่อแสงพวยพุ่งขึ้นสู่เวหา แม้แต่ในเมืองหลี เขาก็สามารถเห็นเสาแสงนี้เติบโตสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ได้

ผ่านไปสักพักหนึ่ง กิ่งก้านอันเจิดจ้าเหลือแสนก็งอกเงยออกจากต้นไม้อันเปลือยเปล่า กิ่งไม้เหล่านั้นเผยรูปทรงอันละลานตาของอสุนีบาต

ฉินมู่ลองใช้วิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าเพื่อมองดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น แต่เขามองเห็นสถานการณ์ไม่ชัดเลยสักนิด

ด้วยระยะห่างขนาดนี้ แม้แต่ภูเขาสูงสิบหมื่นคืบเขาก็ยังมองไม่เห็น อย่าว่าแต่รูปเงาของเทพเจ้าเลย!

ทว่า เขาสามารถจิตนาการออกได้ว่าการต่อสู้นั้นดุเดือดเลือดพล่านมากแค่ไหน!

ฟู่ยื่อลัวและชื่อซีคงกำลังต่อสู้กันอยู่ในขณะนี้ เขาคิดในใจ

ทุกคนในเมืองหลีแตกตื่น และพวกเขาทั้งหมดเหาะขึ้นไปบนอากาศ หรือไม่ก็ปีนขึ้นไปที่สูงเพื่อมองดูภาพปรากฏการณ์อันหากได้ยาก

หลังจากที่กิ่งแสงกิ่งแรกปรากฏ แสงสว่างวาบก็พลันระเบิดออกมาจากลำต้น เมื่อกิ่งแสงกิ่งที่สองแผ่ขยายออกไป ตามด้วยสาม และสี่…

กิ่งไม้ยืดยาวออกจากต้นไม้แสงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมันดูเหมือนกับคาคบไม้ใหญ่อันเขียวขจี ในเพียงชั่วไม่กี่อึดใจ ฉินมู่และผู้ฝึกวิชาเทวะและเทพเจ้าทั้งหลายในเมืองหลีก็สามารถมองเห็นต้นไม้แสงขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ในท้องฟ้ามืดมิดทางทิศตะวันตก ร่มเงาคาคบไม้นั้นหนาทึบ ทั้งยังกวัดแกว่งไปมาอย่างน่าเกรงขาม

“การต่อสู้จบแล้วหรือ”

หัวใจของฉินมู่ยังเต้นตูมตาม และเขาพึมพำ “ใครชนะกัน ฟู่ยื่อลัวหรือชื่อซี?”

“ข้าไม่รู้” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังเขา

ฉินมู่รีบหันกลับไปและเห็นเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ เทพซังเย่ และเทพตนอื่นๆ ที่เหลือแห่งสวรรค์ไท่หวง เทพเจ้าเหล่านี้จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาราวกับภูตพราย และคงเพราะว่าป้อมปราการเมืองเป็นจุดที่สูงที่สุด พวกเขาทั้งหมดจึงมาที่นี่เพื่อชมดูภาพประหลาดในทิศตะวันตก

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ส่ายหัวและกล่าว “ข้าได้ต่อสู้กับฟู่ยื่อลัวมานับครั้งไม่ถ้วน และส่วนใหญ่แล้วก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของข้า มีไม่กี่คนที่สามารถทัดเทียมเขาได้ จากประสบการณ์ของข้าแล้ว ในการต่อสู้ที่เห็นตรงหน้า ฟู่ยื่อลัวได้งัดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีออกมาใช้ แต่ยากที่จะบอกได้ว่าเขาชนะหรือพ่ายแพ้ ต่อให้เขาได้รับชัยชนะ ก็คงเป็นชัยชนะอันขมขื่น”

ฉินมู่เริ่มคันยิบๆ ในหัวใจ “ข้าอยากไปที่นั่น ชมดูสักหน่อย…”

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้แตกตื่นขึ้นทันที และเขากล่าว “จ้าวลัทธิฉิน ตอนนี้ทั้งราชครูและครูบาสวรรค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นเจ้าไม่ก่อเรื่องวุ่นวายจะดีกว่า”

ฉินมู่กล่าวอย่างจริงจัง “เทพเที่ยงแท้ ข้าอยู่ที่สวรรค์ไท่หวงมาตั้งครึ่งปีแล้ว ท่านเคยเห็นข้าก่อเรื่องวุ่นวายสักครั้งไหม อย่ากล่าวหาข้าสิ”

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้หน้าเกลื่อนยิ้ม เขาผงกหัวแล้วกล่าว “ใช่ๆ ข้าเข้าใจทุกสิ่งที่จ้าวลัทธิฉินกล่าว ข้าใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมเอง จ้าวลัทธิโปรดให้อภัย”

เทพซังเย่เอียงไปกระซิบที่หูเขา “เจ้าเมือง ท่านลืมไปแล้วหรือว่าเขาทุบดวงตะวันสวรรค์ไท่หวงของพวกเราไปอย่างไร”

“ชู่ววว”

ผางอวี้หรี่เสียงลงและกล่าว “เขาไม่รู้ตัวเขาเอง เจ้าจะละเว้นไม่นับไม่ได้หรือ เขาเป็นศิษย์ของครูบาสวรรค์ ดังนั้นเจ้าและข้าไม่อาจตอแยเขาได้! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังให้ราชครูมาสร้างดวงตะวันสองดวงให้พวกเรา และพวกมันก็ดูดีกว่าของเดิมมากอีกด้วย”

เทพซังเย่รีบหุบปาก

ฉินมู่มองไปยังความมืดในทิศตะวันตกที่ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกที เขากำหมัดแน่นและเสียงของเขาก็ตื่นเต้น “ฟู่ยื่อลัวและชื่อซีจะต้องบาดเจ็บสาหัสอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเด็ดหัวพวกเขา! ข้าอยากจะไปเด็ดหัวชื่อซีกับฟู่ยื่อลัวเสียจริง…”

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้สะดุ้งโหยง และเขาปรายตาไปยังเทพซังเย่ “ดูเขาเอาไว้ อย่าปล่อยให้เขาไปก่อเรื่องวุ่นวาย”

ซังเย่ผงกหัวหงึกๆ ราวไก่จิกข้าวเปลือก

อีกฟากหนึ่ง ที่นอกเมืองเสื่อมทราม ฟู่ยื่อลัวร่วงลงเหยียบพื้น และเขาหันกายไป หายลับกับความมืด

ชื่อซีเองก็ร่วงลงกับพื้น เขาเซแซ่ดๆ ขณะที่มือก็กุมหน้าอก เขานั้นกำลังสร้างแรงกดดันไว้ที่บาดแผลบนหน้าอก แต่ก็ไม่สามารถระงับมันเอาไว้ได้อยู่ดี ร่างของเขาพลันฉีกแยกออก และเลือดเสียก็พวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง หัวทั้งสามและปากทั้งสามของเขากระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง

ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มอยู่ชั่วแวบ และมีดหกเล่มในมือของเขาก็แตกทำลาย

ทั้งเขาและฟู่ยื่อลัวได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ และพวกเขาไม่ปริปากกันเลยสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงแต่เสียงทึบหนักของการต่อสู้ และในระยะเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาต่อสู้กันนั้น พวกเขาก็สามารถทำร้ายอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วง และแทบจะเผาผลาญซึ่งกันและกันจนหมดสิ้น

สาเหตุที่ฟู่ยื่อลัวผละจากไปนั้นก็เพราะว่าเขามีบาดแผลมากมายบนร่างกาย เขาเกรงว่าชื่อซีจะฉวยโอกาสช่วงชิงปราณและโลหิตของเขา ดังนั้น การล่าถอยไปจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการคร่าชีวิตชื่อซี

เขาจะไปเรียกมารเทวะจำนวนหนึ่งที่ไม่มีบาดแผล และพวกเขาเหล่านั้นก็จะมาปลิดชีวิตชื่อซีได้อย่างไม่ยากลำบาก

ในฐานะปราชญ์ทรงปัญญาแห่งเผ่ามาร เขานั้นไม่มีข้อติดขัด ชาญฉลาดยิ่งกว่าใครๆ

ชื่อซีเองก็เข้าใจว่าทำไมฟู่ยื่อลัวถึงล่าถอยเช่นกัน เขารู้ว่าเขาไม่อาจรั้งรออยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป มารเทวะพวกนั้นกำลังจะมาคร่าชีวิตเขา

แต่ทว่า ปราณและโลหิตของเขาได้แห้งเหือด ดังนั้นเขาจึงเดินไปได้อีกไม่ไกล เขาจะถูกพวกมารเทวะตามทันในไม่ช้า และเมื่อเวลานั้นมาถึง ก็คงมีแต่ความตายสถานเดียว

“ข้าจะตายที่นี่หรือ”

ชื่อซีคุกเข่า และหัวทั้งสามของเขาห้อยตก หัวใจเขาหดหู่ “ข้ายังไม่ได้กลับเข้าไปในแผ่นดินบรรพชนเลยด้วยซ้ำ ข้ายังไม่ได้กลับไปยังสหายร่วมเผ่าของข้าเพื่อบอกพวกเขาถึงสถานการณ์ที่แผ่นดินบรรพชน ข้ายอมรับไม่ได้…”

ไกลออกไปในเมืองเสื่อมทราม ก้อนควันสีดำลอยไปลอยมาระหว่างซากศพราวกับภูตพราย บางครั้งมันก็เหมือนกับต้นไม้เล็กๆ และบางครั้งมันก็เหมือนกับก้อนหินแข็งทื่อ

และก็ยังมีธงเล็กๆ รอบก้อนควันสีดำนี้ที่ลอยไปมารอบๆ ดูดซับปราณมารและเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณแตกหักที่ผู้นำทางความตายไม่ต้องการ

ก้นควันสีดำลอยและแปลงร่างไปมานับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งมันถึงกับตกลงไปในเพลิงไฟจากทักษะเทวะ แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟ

ไม่นานนัก ก้อนควันสีดำก็พยายามเข้ามาใกล้ชื่อซี ดูกังวลและลังเล ราวกับว่ามันหมายจะสอดส่องดูว่าชื่อซีตายหรือยัง เพื่อที่จะได้ค้นหาของมีค่าจากร่างของเขา

“เจ้าคือมนุษย์” ชื่อซีกล่าวโดยพลัน

ก้อนควันมารนั้นกระโดดโหยงด้วยความตกใจและพลันแปรเปลี่ยนเป็นพุ่มไม้

ชื่อซีกล่าวต่อ “เจ้าไม่จำเป็นต้องแปลงร่างต่อหน้าข้า ข้ามองทะลุการปลอมตัวของเจ้า หากว่าเจ้าช่วยเหลือข้าได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ และข้าจะสอนสุดยอดวิชาแห่งยุคสมัยแสงฉาน วิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลให้แก่เจ้า กำนัลผลประโยชน์ใหญ่หลวงให้เจ้า”

พุ่มไม้นั้นสั่นไหว และก็หายวับไป เด็กหนุ่มที่มีขากวางสองข้างปรากฏขึ้นตรงหน้าชื่อซี และเขาโค้งขาเพื่อคารวะ “ผานกงสั่วน้อมกราบกรานอาจารย์! อาจารย์ ไม่ต้องกังวล ข้าได้ปะปนอยู่ในเผ่ามารมาหลายเดือนแล้ว เมื่อมาถึงเรื่องการหลบหนี ถ้าข้ากล่าวว่าเป็นที่สองก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นที่หนึ่ง”

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

Status: Ongoing
ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset