“เจ้าเป็นใคร” ฉินมู่ร้องด้วยความแตกตื่น
เสียงหนึ่งดังออกมาจากปากของเขา มันทั้งดังและกังวาน แต่ทว่ามีวี่แววของความไร้เดียงสาและชั่วร้าย “ข้าคือ–”
เหนือหัวเขา ฝ่ามือใหญ่ของพุทธเจ้านั้นได้กดฟาดลงมาและฉินมู่ก็พลันรู้สึกว่า ‘ตัวเขา’ อีกคนตื่นขึ้นมาในร่างกาย ความรู้สึกนี้ประหลาดพิสดารเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับว่าเขาถูกแยกออกเป็นสอง
“–ฉินเฟิงชิง!”
ขณะที่เสียงนั้นกล่าว สำนึกรู้เดิมของฉินมู่ก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นอันดับสอง เขากลายเป็นผู้สังเกตการณ์!
ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือเมื่อ ‘ตัวเขา’ อีกคนปรากฏขึ้นมา พลังระลอกหนึ่งก็พลันพุ่งเข้ามาเติมเต็มทั้งร่างเขา เขาไม่รู้ว่ามันมาจากที่ไหน มันไพศาลไร้ประมาณ มันน่าสะพรึงกลัวและชั่วร้ายขนาดว่าพลังวัตรดั้งเดิมของฉินมู่ได้หลบเร้นอยู่ในซอกหลืบเล็กๆ ของสำนึกรู้ของเขา และเพียงมองไปที่มัน พลังอันชั่วร้ายก็อัดแน่นเต็มไปทั้งร่างกาย
“จิตวิญญาณดั้งเดิมที่แย่งชิงมายังคงน้อยไปหน่อย มันยังไม่พอที่จะทลายเวทปิดผนึกของภูติบดีได้ ภูติบดี วายร้ายตัวใหญ่คนนี้…แต่ทว่า หลังจากที่ข้าสังหารพุทธเจ้านี่ ข้าก็จะสามารถทำลายผนึกได้มากขึ้น!”
ฉินมู่ได้ยินเสียงอันไม่คุ้นหู ทั้งยังหยิ่งยโสของเด็กทารก เสียงนี้เต็มไปด้วยความเลือดเย็นและชั่วร้าย ความชั่วร้ายถึงขนาดที่ว่าทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นเทา ภาษาแดนใต้พิภพออกมาจากปากของเขา และมันมีพลังเวทมนตร์อันแปลกประหลาดอันทั้งยิ่งผยองและไร้ความกลัว มันยังคงมีความละโมบที่ไร้ก้นบึ้งอีกด้วย ราวกับว่ามันเป็นการหลอมรวมอารมณ์ความละโมบทั้งโลกหล้าเข้าด้วยกัน
“ข้าอยู่ที่ใด ที่นั่นคือแดนใต้พิภพ”
ฉินมู่เห็นความมืดแผ่ขยายออกมาจากร่างกายของเขา แปดเปื้อนบรมสวรรค์ชั้นพรหมแห่งพุทธเกษตร สวรรค์ชั้นพรหมอันมีทะเลทองคำและสว่างไสวดุจกลางวันตลอดเวลา พลันมีพื้นที่ที่กลายเป็นความมืด!
ทะเลทองคำราวกับอ่างน้ำที่ถูกหมึกหยดใส่ การรุกรานของความมืดได้ทำให้ทะเลทองคำแปดเปื้อน เปลี่ยนมันให้เป็นสีดำ พื้นที่อันปกคลุมไปด้วยความมืดแผ่ขยายกว้างออกไปทุกทีๆ
บรมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธเกษตรได้ค่อยๆ แปรสภาพเป็นแดนใต้พิภพ
มือของพุทธเจ้าตนนั้นซึ่งฟาดตกลงมาแล้วและกำลังฉายส่องด้วยแสงพุทธธรรม แต่หลังจากนั้นมันก็ถูกความมืดกลืนกินเข้าไป
พุทธเจ้านั้นร้องด้วยความตื่นตระหนก ดึงฝ่ามือของเขาออกจากความมืด ฝ่ามืออวบอ้วนของพุทธเจ้าบัดนี้เหลือแต่กระดูกขาวโพลน เนื้อหนังบนนั้นได้หายวับไปโดยสิ้นเชิง
มันเป็นทักษะเทวะประเภทที่แตกต่างอย่างสุดกู่กับสันตินิรันดร์ สวรรค์ไท่หวง พุทธเกษตร และแม้แต่สภาสวรรค์ เขาควบคุมพลังแห่งความตาย และแย่งชิงชีวิตทั้งหลายมาเพื่อตนเอง
ฉินมู่กระโดดขึ้นและหัวเราะร่า ด้วยนิ้วทั้งสิบของเขากางแผ่ออกไป เขาก็กดลงบนศีรษะของพุทธเจ้า
ตูม!
เสียงระเบิดรุนแรงก้องดังออกมาเมื่อพุทธเจ้าถูกกดลงไปบนเกาะทองคำด้วยกำลังเถื่อน เกาะนั้นพลันแตกระเบิดและกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ฉินมู่เองก็เห็นการเปลี่ยนแปลงอันพิลึกประหลาดเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา ร่างของเขาขยายขนาดออกอย่างดุเดือด กลายเป็นสูงขึ้นและสูงขึ้น แต่ทว่าอายุของเขากลับดูเหมือนจะค่อยๆ ถดถอย เมื่อเขากลายเป็นเด็กลงทุกทีๆ เขานั่นยิ่งเหมือนกับทารกแบเบาะมากขึ้นเรื่อยๆ
โชคยังดี เสื้อผ้าที่หัวหน้าเผ่าขนนกสวรรค์อวี่เจ้าชิงถักทอขึ้นมานั้นมีความเหนือธรรมดา มันถูกสร้างขึ้นจากวัสดุที่ล้ำเลิศที่สุดจากเผ่าขนนกสวรรค์ ดังนั้นมันจึงนับว่าเป็นอาวุธวิญญาณอันพิเศษซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามขนาดร่างกายของเขา
ในตอนนั้นเอง เขาก็สูงกว่าสิบห้าวาแล้ว แต่ทว่าอายุของเขาได้ถดถอยไปถึงสี่สาห้าขวบ เขาดูเหมือนกับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่น่าเอ็นดู
แม้ว่าเด็กผู้นี้จะดูน่ารัก แต่เขามีพละกำลังอันไร้ประมาณ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังชั่วร้ายอย่างสุดขีดขั้ว แทบจะฟาดหัวของพุทธเจ้านี้จนแหลกเหลว
ไม่เพียงแค่นั้น ‘เด็กชายตัวเล็ก’ ยังดึงพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยมือเดียว ยกเขาขึ้นไปบนอากาศ เขาอ้าปากและดูดเข้าไปอย่างรุนแรง
แสงพุทธธรรมไหลเวียนรอบกายของพุทธเจ้า เมื่อเขาพยายามทุกหนทางที่จะดิ้นรนขัดขืน แต่ทว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาดูเหมือนจะไม่ยินยอมพร้อมตาม มันถูกแยกออกจากร่างกายของเขาเป็นระยะๆ
พุทธเจ้าดิ้นรนอย่างไม่หยุดยั้ง และสมบัติเทวะทั้งหมดของเขาก็ปรากฏ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอยู่ตรงหน้าปราสาทสวรรค์ เขาไม่อาจตั้งหลักยืนให้มั่นได้ และแทบจะถูกดูดออกจากข้างหน้าปราสาทสวรรค์ก็หลายครั้ง
ฉินมู่พบว่าอายุของเขายังคงถดถอยต่อไป เมื่อไม่กี่อึดใจเขายังอายุสี่ห้าขวบ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นไม่ถึงสามขวบดี
ในตอนนั้นเอง เทวราชโม่หลุนก็มาถึง และฟาดมุทราลงไปที่ข้างหลังหัวใจของฉินมู่
ฉินมู่ที่ถือพุทธเจ้านั้นไปด้วยกลิ้งหลุนๆ ไปหลายรอบ เขากระดอนไปมาท่ามกลางทะเลทองคำ บดขยี้ภูเขาไปหลายลูกก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด ในเวลาเดียวกันนั้น พุทธเจ้าในมือก็ถูกเขาดูดจิตวิญญาณดั้งเดิมออกในรวดเดียว
จิตวิญญาณดั้งเดิมของพุทธเจ้าไม่ได้เข้าไปในปากของฉินมู่ ในทางกลับกัน มันถูกหดรัดและส่งเข้าไปในดวงตาที่สาม
ฉินมู่ตกตะลึงและพลันตระหนักขึ้นมา เขาเข้าใจในที่สุดว่าทำไมท้องพระโรงราชาฉินถึงได้พังทลายหลังจากที่ท้าวยมราชแห่งยมโลกได้สะกดข่มเวทปิดผนึกของเขา และทำไมท้าวยมราชถึงถูกซัดฝังเข้าไปในเสา และเขาก็เข้าใจในที่สุดว่าทำไมตัวตนอันแข็งแกร่งอย่างฟู่ยื่อลัวจึงกระดูกซี่โครงหัก และถูกฝังจมเสาไร้สติสมประดีหลังจากเข้าไปแตะต้องกับจี้หยก
และเขาก็ยังเข้าใจในที่สุดว่า ทำไมเมืองไร้โอหังถึงประสบภัยพิบัติ และทำไมภูติบดีต้องเรียกตัวเขามาพบและประทับผนึกลงในจี้หยกใหม่อีกครั้ง
ในอดีตนั้น เขาคิดแต่ว่ามันเป็นคำสาปในจี้หยก เขาไม่ได้ขบคิดอะไรมากมายนัก หลังจากการเปลี่ยนแปลงไม่กี่ครั้งที่ว่า เขามักจะจมอยู่ในการหลับลึกและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาก็เข้าใจแล้วในที่สุด ว่าคำสาปที่แท้จริงคือตัวเขาเอง หรือถ้าพูดให้ชัด ก็คือ ‘ตัวเขา’ อีกคนในร่างกายของเขา
สาเหตุที่เขาหลับไปในครั้งก่อนๆ นั้นก็เพราะว่าตัวเขาอีกคนนั้นแข็งแกร่งเกินไปขณะที่เข้ามายึดครองกายเนื้อ สาเหตุที่เขามีสติดีในคราวนี้ก็เพราะว่าเวทปิดผนึกของภูติบดีแข็งแกร่งอย่างเหลือล้น ตัวเขาอีกคนไม่อาจทำลายผนึกออกมาได้โดยสิ้นเชิง ทำให้สองสำนึกรู้แบ่งปันร่างกายเดียวในเวลาเดียวกัน
เขายังมีเวลาขบคิดใคร่ครวญ ส่วนธรรมราชโม่หลุนและพุทธเจ้าอื่นๆ อีกสามตนก็รีบพุ่งทะยานเข้ามาโดยการเหยียบบนผิวทะเลทองคำ พุทธเจ้าทั้งสี่ขับเคลื่อนกระบวนท่าทั้งหมดเพื่อโจมตีเขา และทักษะเทวะของพวกเขาก็พลุ่งพล่านเกลื่อนเวหน พลานุภาพเหล่านั้นตระการตา และรูปเงาของทักษะเทวะก็พวยพุ่งไปถึงชั้นเมฆ
ทันใดนั้น สำนึกรู้ของฉินมู่ก็เข้าควบคุมร่างกาย เขาไม่เสียเวลาใดๆ และรีบวิ่งตะบึงไปอย่างเร็วรี่ เขาขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์ที่เฒ่าเป๋าสอนให้ และเขาก็หลบหลีกการโจมตีของธรรมราชโม่หลุนและคนอื่นๆ
ขาเทวะขโมยสวรรค์ของเฒ่าเป๋ กลายเป็นเร็วอย่างผิดธรรมดาใต้เท้าของเขา เขาสามารถพุ่งตัวผ่านห้วงอวกาศได้อย่างแท้จริง หากว่าเฒ่าเป๋มาเห็นเข้า เขาก็จะต้องเบิกตากว้างอ้าปากหวอด้วยความตกตะลึง ไม่กล้าเชื่อสายตาว่าวิชาขาของเขาสามารถบรรลุมาถึงเขตขั้นนี้ได้
กระนั้น ในชั่วจังหวะนี้ ฉินมู่มีพลังวัตรอันไร้ประมาณ เขาสามารถขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์จนถึงสุดขีดขั้ว เขาพุ่งผ่านพุ่มไม้ใบหญ้านับพัน แต่ก็ไม่มีละอองใดที่ติดต้องตัวเขาได้ ไม่มีใครแตะต้องตัวเขาได้เลยสักนิด แม้แต่ทักษะเทวะของธรรมราชโม่หลุนก็ตาม
ทำไมจู่ๆ ข้าก็ควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง
ฉินมู่พลันมีความคิดนี้ขึ้นมา แต่อึดใจถัดมาสำนึกรู้ของฉินเฟิงชิงก็ย้อนกลับ เสียงอันไร้เดียงสา ทว่าชั่วร้ายของเขาก็ดังมา “ภูติบดี วายร้ายตัวใหญ่ เจ้าวางแผนร้ายใส่ข้าอีกแล้ว!”
สำนึกรู้ของฉินมู่คืนกลับมายังลำดับที่สอง ร่างกายของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นทารกตัวมหึมาโดยสมบูรณ์แบบ เขากระโดดไปมารอบๆ อย่างตื่นเต้น และทำให้ทะเลทองคำระเบิดอย่างต่อเนื่องจากย่างเท้าของเขา คลื่นของแสงพุทธธรรมซัดกระเซ็นไปสู่ท้องฟ้า
ไม่ว่าเขาจะผ่านไปที่ใด ทะเลทองคำก็กลายเป็นแปดเปื้อน เริ่มแรกมันอาจจะเรียกได้ว่าหมึกหนึ่งหยดตกลงไปในทะเล แต่ตอนนี้ มีหมึกร่วงใส่ไปทุกหนทุกแห่ง!
เขาคว้าจับพุทธเจ้าตนหนึ่ง และกำลังจะฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ ราวกับว่าพุทธเจ้าคือตุ๊กตาผ้า และตัวเขาคือทารกแสนซนที่อยากจะฉีกทึ้งของเล่นของตนเอง
ธรรมราชโม่หลุนและพุทธเจ้าอีกคนคนไล่ล่าตามเขามา ฉินเฟิงชิงดูเหมือนว่าจะไม่ได้เรียนทักษะเทวะมากมายเท่าไร ทักษะเทวะทั้งหมดที่เขาใช้ล้วนแต่เรียบง่าย แต่กระนั้น ทักษะเทวะแห่งแดนใต้พิภพก็พิลึกกึกกือและยากจะคาดคะเน ทำให้พวกเขารับมือได้ยาก
ที่น่าสยดสยองยิ่งไปกว่านั้นก็คือพละกำลังของร่างเนื้อของเขานั้นมากมายไร้ปานเปรียบ เขาฉีกทึ้งพุทธเจ้าในมือของเขาด้วยกำลังเถื่อน สาดกระจายโลหิตของเขาลงไปในทะเลทองคำ!
จิตวิญญาณดั้งเดิมของพุทธเจ้าตนนี้ก็ถูกดวงตาที่หว่างคิ้วของฉินมู่กลืนเข้าไปเช่นกัน ด้วยการหมุนวนติ้วๆ มันก็เข้าไปในดวงตาและหายวับ
รอยประทับรูปปีกผีเสื้อออกมาจากดวงตาของฉินมู่ ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ยิ่งมันกินพื้นที่มากเท่าไร กำลังฝีมือของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น เขาต่อสู้ซึ่งๆ หน้ากับธรรมราชโม่หลุนและพรรคพวก
ในเวลาเดียวกันนั้นหลวงจีนหมิงซิ่นก็เหาะขึ้นไปบนอากาศ เขามองไปยังการต่อสู้ในทะเลทองคำจากที่ไกลๆ และรู้สึกแตกตื่นอย่างระงับไว้ไม่อยู่ เขาเห็นเกาะทองคำรูปทรงหมั่นโถวพังทลายไปอย่างต่อเนื่องทีละอัน ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ย่อยยับอับปาง และความมืดก็เข้ามารุกรานแต่งแต้มบรมแดนศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างต่อเนื่อง
หลวงจีนหมิงซิ่นใบหน้าซีดเผือด ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม และจิตของเขาก็ว่างเปล่า
“หลวงจีน ลงมา!”
เขาพลันได้ยินเสียงดังจากข้างล่าง และเขาก็รีบมองลงไป เขาเห็นหลวงจีนท่าทางสัตย์ซื่อยืนอยู่ตรงหน้าวัด โบกมือให้แก่เขา เขาถูกเรียกตั้งหลายครั้งหลายหน แต่เขากำลังตกตะลึงอยู่และไม่ทันได้ยิน
หลวงจีนผู้นั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลงมาเร็วเข้า จอมราชาปีศาจกำลังจะฆ่าฟันมาถึงที่นี่แล้ว พวกเราไปหลบในวัดกันเถอะ”
หลวงจีนหมิงซิ่นรีบกล่าว “ศิษย์พี่ฉินไม่ฆ่าข้าหรอก!”
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่านั่นคือศิษย์พี่ฉินของเจ้า”
หลวงจีนหมิงซิ่นมองไปยังทะเลทองคำ อันแทบจะกลายเป็นทะเลหมึกดำ ทารกตัวใหญ่ที่แปลงกายมาจากฉินมู่กำลังคว้าจับพุทธเจ้าตนหนึ่งและต่อยตีเขารัวๆ ทำให้พุทธเจ้าตนนั้นกลายเป็นกองเนื้อแหลกเหลว
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงกึกก้องสะท้านพิภพเมื่อร่างของธรรมราชโม่หลุนกระเด็นออกไปจากทะเลทองคำ เขากลิ้งไปหลายตลบและร่วงลงมาบนเกาะนี้ บดขยี้ป่าทั้งหลายที่เขากระเด็นผ่าน
ในขณะเดียวกันนั้น ทารกที่ฉินมู่แปลงมากำลังกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของพุทธเจ้าอีกตน ขณะที่เขากินอยู่นั้น เขาก็กระโดดโลดเต้นและรีบรุดมายังทิศทางนี้
หลวงจีนหมิงซิ่นตัวสั่นเทิ้ม เขาเหาะลงมาในทันที
หลวงจีนท่าทางสัตย์ซื่อเปิดประตูวัดและเรียกเขาเข้าไป หลวงจีนหมิงซิ่นรีบเหินไปหา และพลันนึกอะไรได้ หากว่าพุทธเจ้าพรหมอนุญาตให้คนเข้าไปเรียนคัมภีร์เที่ยงแท้บัลลังก์จักรพรรดิได้เพียงสามคน ไม่ใช่ว่าสามตำแหน่งนี้จะเต็มแล้วหรือ ก็ในเมื่อมีศิษย์พี่จ้านคง และพุทธเจ้าท้าวสักกะล่วงหน้าเข้าไปแล้ว
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ ทารกยักษ์ที่ฉินมู่แปลงร่างมา ก็ยกร่างของธรรมราชโม่หลุนขึ้นจากทางขา และเอาเขาฟาดไปทางนั้นทีทางนี้ที เขาทลายภูเขาและแยกพื้นพิภพ ทำให้ธรรมราชโม่หลุนเหลือเพียงลมหายใจรวยริน
หลวงจีนคนนั้นปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว กั้นสายตาของหลวงจีนหมิงซิ่น เขาผลักหลวงจีนหมิงซิ่นเข้าไปในลานวัดพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ เจ้านั้นโชคดีแล้ว หากว่าเจ้าเดินเข้าไป เจ้าก็จะได้พบกับพุทธเจ้าพรหมและได้รับคัมภีร์เที่ยงแท้ระดับบัลลังก์จักรพรรดิ ไปสิๆ!”
หลวงจีนหมิงซิ่นยังคงตกตะลึงเมื่อเขาเดินเซไปข้างหน้า วัดแห่งนี้ดูไม่ใหญ่โต แต่หลังจากเดินไปเป็นเวลานาน มันก็ยังไม่มีจุดสิ้นสุด
เสียงร้องโหยหวนของธรรมราชโม่หลุนดังออกมาจากข้างนอก หลวงจีนหมิงซิ่นขนบนหัวลุกเต็มเหยียดหลังจากได้ยินเช่นนั้น แย่แล้ว! ศิษย์พี่ฉินตกอยู่ในอันตราย! เขาสังหารพุทธบุตรมากมายขนาดนี้ และตอนนี้เขาก็ยังได้สังหารพุทธเจ้าห้าตน รวมทั้งธรรมราชโม่หลุนด้วย พุทธเจ้าพรหมจะอดทนเขาได้อย่างไร
เขาหันกลับไปและวิ่งออกไปจากวัดพลางครุ่นคิดกับตนเอง ข้าไม่อาจปล่อยให้พุทธเจ้าพรหมปลิดชีวิตศิษย์พี่ฉินได้…
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงพุทธเจ้ากล่าว “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม หันกลับมาก็จะพบว่าฝั่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม!”
หลวงจีนหมิงซิ่นตกตะลึง เขาเห็นพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอยู่ตรงหน้าอันเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ทุกประการในโลกหล้า และกำลังแย้มยิ้มให้แก่เขา
“หมิงซิ่น หากว่าเจ้าเอาแต่เดินตรงไปและไม่หันหลังกลับ เจ้าก็จะไม่มีวันได้พบกับข้า บัดนี้เมื่อเจ้าหันกลับมา เจ้าสามารถมาถึงมรรคาของข้าได้”
พุทธเจ้าผู้ยิ่งยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขึ้นมาสิ ข้าจะถ่ายทอดคัมภีร์เที่ยงแท้บัลลังก์จักรพรรดิให้แก่เจ้า”
หลวงจีนหมิงซิ่นเดินไปข้างหน้าแม้ว่าจะยังคงกังวลเรื่องฉินมู่ เขานั้นกำลังจะวิงวอนให้พุทธเจ้าประทานอภัยไว้ชีวิตฉินมู่ แต่พุทธเจ้ายิ่งใหญ่นี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จิตทารกแรกเกิดของเจ้านั้นแตกต่างไปจากจ้านคง สี่ธาตุของจ้านคงเป็นความว่างเปล่า และเขามีรากเหง้าปัญญาโดยธรรมชาติ ธรรมชาติสันดานของเจ้านั้นด้อยกว่าเขา แต่เจ้ามีบางอย่างที่เขาไม่มี ดังนั้นสิ่งที่ข้าถ่ายทอดให้แก่เขาคือคัมภีร์เที่ยงแท้ไร้พจนา ขณะที่ข้าจะถ่ายทอดให้แก่เจ้าด้วยคัมภีร์สวรรค์แห่งพจนา”
คัมภีร์เล่มหนึ่งปรากฏอยู่ในมือของพุทธเจ้าใหญ่ยื่นมามอบให้แก่เขา
แม้ว่าหลวงจีนหมิงซิ่นจะถือคัมภีร์เที่ยงแท้ระดับบัลลังก์จักรพรรดิเอาไว้ในมือ เขาก็ยังคงกังวลถึงความปลอดภัยของฉินมู่ เขาไม่มีกะจิตกะใจจะอ่าน
พุทธเจ้าใหญ่แย้มยิ้ม “สหายน้อยฉินมีชะตากรรมเป็นของตนเอง เจ้าไม่ต้องกังวลห่วงเขาหรอก เพียงแต่เพ่งสมาธิตรึกตรองนี่ก็พอ”
เมื่อได้ยินคำเหล่านั้น หลวงจีนหมิงซิ่นก็วางใจลงและพลิกเปิดคัมภีร์ เขาเห็นนิพนธ์บนคัมภีร์กระโดดไปมาอย่างต่อเนื่อง และก่อโครงสร้างขึ้นมาใหม่ มันอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งกำลังสาธยายหลักเหตุผลบรมธรรมของลัทธิพุทธ
ข้างนอกวัด หลังจากทารกยักษ์ฉินเฟิงชิงได้กลืนธรรมราชโม่หลุนเข้าไปแล้ว และก็แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก เขากระโดดขึ้นๆ ลงๆ อย่างตื่นเต้น ทำให้พื้นดินสะท้านสะเทือนอย่างต่อเนื่อง “ผนึกของภูติบดีหลวมลงอีกหน่อยแล้ว ฮี่ๆ ตราบเท่าที่ข้ากินทุกๆ คนในพุทธเกษตร ข้าก็จะเป็นอิสระ! ข้าจะเปลี่ยนพุทธเกษตรให้เป็นแดนใต้พิภพอีกแห่ง และข้าก็จะเป็นภูติบดีของที่นี่ ราชาของที่นี่! ใช่ ข้ายังต้องไปแดนใต้พิภพ ไปรับตัวท่านแม่มา เพื่อพวกเราจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข ไม่ต้องมาคอยดูสีหน้าของภูติบดี…เอ๋ ยังมีวัดอยู่ตรงนี้อีกหลังนึง ทำลายมันสักหน่อยดีกว่า และกินทุกๆ คนในนั้นก่อนที่จะออกไปกินมื้อใหญ่ที่พุทธเกษตรอื่นๆ!”
ตูม
วัดพังแตกเป็นชิ้นๆ และทารกยักษ์ก็วิ่งไปด้วยขาม่อต้อของเขาเข้าไปข้างในนั้น ถนนตรงหน้ายาวไกลเป็นอย่างยิ่ง
ทารกยักษ์เดินเตาะแตะไปข้างหน้า ขณะที่เขาเดินไป เขาก็รู้สึกว่าเดินด้วยสองขานั้นไม่ค่อยสบาย เขาจึงคลานต่อไปด้วยแขนและขาสี่ข้าง
เสียงไม้กวาดกวาดพื้นพลันดังมา และมีหลวงจีนภารโรงปรากฏตรงหน้าเขา หลวงจีนนั้นรีบโยนไม้กวาดทิ้งเมื่อเห็นเขา และกำลังจะวิ่งหนี ทากรกยักษ์คว้าหลวงจีนภารโรงและยิ้มด้วยความเริงร่า “แม้ว่าเจ้าจะแก่ไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกิน”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็เด็ดหัวหลวงจีนนี้และดูดดึงเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมากลืนเข้าไปในดวงตาที่สาม
“หากว่าเป็นข้า ข้าคงไม่มีทางกินเขาหรอก…” ข้างในร่างกายของทารกยักษ์ สำนึกรู้ของฉินมู่กล่าวอย่างขุ่นเคือง
หลังจากกลืนจิตวิญญาณดั้งเดิมของหลวงจีนภารโรงเข้าไปแล้ว ทารกยักษ์ก็พลันตะโกนออกมา “บัดซบ ข้าถูกหลอก! ไอ้เปรตที่ไหนมันกล้าหลอกข้า…”
ฉินมู่พลันรู้สึกว่าสำนึกรู้ของเขาได้การควบคุมร่างกายคืนกลับมา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจแกมยินดี ร่างกายเขาก็ค่อยๆ ย่อหดลงเป็นขนาดปกติ
เขาเห็นศีรษะที่ถูกเด็ดของหลวงจีนภารโรงลอยกลับไปบนบ่าของเขา หลวงจีนภารโรงยืนอยู่ที่นั่นด้วยไม้กวาดและมองเขามาด้วยรอยยิ้ม
ฉินมู่โค้งคารวะ “คนเถื่อนกักขฬะ ฉินมู่ น้อมคารวะพุทธเจ้าพรหม!”