จากท้องฟ้าของถ้ำมืดจนถึงแสงข้างล่างนั้นเป็นการเดินทางอันยาวนานอย่างเหลือเชื่อ ฉินมู่ดำดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่อง โลหิตในกายของเขาเย็นเฉียบเมื่อความเร็วที่เขาพุ่งตัวลงไปยิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น หากว่าเขายังคงร่วงหล่นลงไปอย่างนี้ และไม่อาจขับเคลื่อนทักษะเทวะใดๆ เพื่อชะลอความเร็วของตน เขาก็คงจะเละเป็นเนื้อบด!
เขาพยายามขับเคลื่อนทักษะเทวะ แต่ขณะที่ปราณชีวิตของเขากำลังก่อขึ้นมาเป็นวงจรอักษรรูน อักษรรูนเหล่านั้นก็กระจัดกระจายไปในเสี้ยววินาทีถัดมา ไม่อาจก่อรูปขึ้นมาได้
ถ้ำใต้ดินนั้นดูเหมือนจะมีพลังอำนาจแปลกประหลาดที่สามารถขัดขวางการดำเนินไปของวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเขา ไม่นานนักฉินมู่ก็ตระหนักว่าการขัดขวางเช่นนี้อยู่ในสำนึกรู้ ทุกครั้งที่เขาพยายามจะขับเคลื่อนทักษะเทวะ ก็จะมีพลังอำนาจประหลาดที่ก่อกวนความคิดของเขาให้สับสน นี่ทำให้เขาไม่อาจขับเคลื่อนทักษะเทวะได้
ทักษะเทวะจิตงั้นหรือ
ฉินมู่ตกตะลึง แม้ว่าทักษะเทวะเช่นนี้จะหาชมได้ยาก แต่คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็มีบันทึกเกี่ยวกับทักษะเทวะในด้านนี้อยู่ พวกมันเป็นทักษะเทวะที่อาศัยคลื่นสมองอันแข็งแกร่ง มุ่งโจมตีไปที่จิตคิด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการโจมตีมายาภาพ นี่ทำให้ศัตรูตกลงไปในภาพหลอน ไม่อาจแยกแยะจริงเท็จได้
และในตอนนั้น เขาก็จะสามารถใช้ทักษะของเขาเพื่อทลายฝ่าออกมาจากแดนมายา และส่องเข้าไปในความจริง สังหารคู่ต่อสู้
แต่ทว่า ทักษะเทวะจิตในถ้ำใต้ดินนี้ยิ่งลึกล้ำกว่า มันฟาดไปยังสำนึกรู้ของเขาโดยตรง และทำให้เขาไม่อาจทลายฝ่าทักษะเทวะจิตของศัตรูได้
ทักษะเทวะจิตเป็นทิศทางการศึกษาค้นคว้าที่มีค่า ข้าจะต้องไปบอกราชครูเกี่ยวกับมันหลังจากที่กลับไปแล้ว พวกเราสามารถฝึกบัณฑิตด้านทักษะเทวะจิตจำนวนหนึ่งขึ้นมาได้ หากว่าพวกเขาอยู่ในสนามรบ และระเบิดทักษะเทวะจิตออกไป ศัตรูก็จะไม่อาจขับเคลื่อนทักษะเทวะได้ ก็จะฆ่าฟันง่ายดายเหมือนกับเชือดหมูเชือดไก่…บ๊ะ ข้ามัวแต่คิดอะไรอยู่นี่ ตอนนี้ข้ากำลังจะเละเป็นเนื้อบดอยู่แล้ว!
แม้ว่าฉินมู่จะไม่สามารถตั้งสมาธิสำนึกรู้ของเขาได้ แต่กายเนื้อของเขาก็แข็งแกร่งอย่างไร้เปรียบปาน เขาย่างเท้าออกไปและลองวิ่งตะบึงไปในความมืด เขาลองที่จะใช้ความเร็วอันน่าตื่นตระหนกเพื่อทำให้เขาวิ่งอยู่บนอากาศได้
ถัดไปนั้น เขาก็พบข้อประหลาด อากาศในสถานที่นี้บางเฉียบ ยิ่งเขาร่วงลงไปเท่าไร อากาศก็ยิ่งบางมากเท่านั้น ต่อให้เขาวิ่งตะบึงไปด้วยขาของเขา เขาก็ไม่อาจหยิบยืมกำลังใดๆ ได้
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นดาวดวงหนึ่ง ดาวนั้นจริงๆ แล้วมีขนาดเท่ากับตะกร้า มันน่าจะเป็นเม็ดทรายดาว
ทรายดาวของศิษย์พี่ใหญ่! เขาเคยมาที่นี่มาก่อนจริงๆ!
ฉินมู่ลิงโลด เมื่อเขาเหยียบลงไปบนทรายดาวนี้ มันก็ร่วงลงไปอย่างรวดเร็วหลังจากถูกกดทับ แต่ทว่า มันมีพลานุภาพประหลาดในทรายดาวที่ต่อต้านกับเขตพลังพิสดารที่นี่ แรงส่งการร่วงของเขาค่อยๆ ผ่อนช้าลง และในทางกลับกัน มันมีแรงส่งอีกอันที่จะดีดตัวเขาให้ลอยขึ้น
ฉินมู่รีบนั่งลง และขาของเขาก็ดีดแรงเพื่อทะยานตัวออกไปข้างนอก เขาลงไปเหยียบทรายดาวอีกเม็ดและกระโดดไปมารอบๆ ราวกับเหินบิน เขาเหยียบลงไปบนทรายดาวหลายสิบเม็ด และเข้าใกล้กับแสงในใจกลางพิภพมากขึ้นทุกที
สถานที่ในใจกลางพิภพที่ส่องแสงออกมา ปรากฏมีแท่นเวทีที่ลอยอยู่ในความมืด มันมีบันไดขึ้นไปจากสี่ทิศทาง ที่ฐานของแท่นนั้นกว้าง ส่วนบนยอดก็แคบ แท่นนี้ลอยอย่างโดดเดี่ยวอยู่ใจกลางความมืด เหมือนกับแท่นสังเวยที่ลอยอยู่ในอากาศ
ฉินมู่ลงไปเหยียบบนแท่นสังเวย และหันศีรษะไปมองทรายดาวอันลอยล่องอยู่ในความมืด บรรพจารย์ก่อตั้งจะต้องค้นหาหนทางมาที่นี้พบ และวางค่ายกลพยุหะเอาไว้ นี่ก็ยังหมายความว่าสิ่งที่อยู่บนแท่นสังเวยนี้ เป็นสิ่งที่บรรพจารย์ก่อตั้งต้องการทิ้งไว้ให้แก่นักบุญคนตัดไม้
สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ศิษย์พี่ใหญ่ได้ทิ้งของไว้สองสิ่งเรียบร้อยแล้ว หนึ่งนั้นคือมีดปริศนาประหารเทพ หัวคนที่ถูกยัดเอาไว้ในกล่องนั่น และอีกหนึ่งก็คือป้ายประกาศิตบัญชาทัพที่มาจากบางยุคสมัย ถ้าอย่างนั้น อะไรคือสิ่งที่อยู่บนแท่นสังเวยนี้…
เขามองไปยังใจกลางของแท่นสังเวย และพบว่ามีโลงหินอยู่หลังหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าหินที่โลงศพนี้ใช้เป็นวัสดุคืออะไรกันแน่ มันเต็มไปด้วยการสลักนูนสูงที่ดูเหมือนกับเวทมนตร์ปิดผนึกบางชนิด
โลงหินนี้ยาวกว่าสิบห้าวาและกว้างกว่าห้าวา มันใหญ่มหึมาเป็นอย่างยิ่ง และไม่อาจนับได้ว่าเป็นโลงศพของคนธรรมดา มันจะต้องเป็นของที่ใช้ฝังเทพเจ้า
ฉินมู่ลองขับเคลื่อนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า แต่เขาก็ยังไม่อาจขับเคลื่อนทักษะเทวะของตนได้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะนำเอาใบหลิวทองคำออกจากหว่างคิ้วของเขา จากนั้นเขาก็ใช้ดวงตาที่สามมองไปยังโลงหิน
เขาไม่อาจเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ ด้วยดวงตานี้ของเขา แต่เขาสามารถมองเห็นได้อย่างรางเลือนว่าไม่มีศพใดอยู่ในโลงหิน มีแค่ไหใบใหญ่อยู่ข้างใน
ฉินมู่ปิดใบหลิวทองคำกลับคืนและเดินไปข้างหน้า
หลักเหตุผลอะไรกันที่จะวางไหใบใหญ่เอาไว้ในโลงศพ
เขาค่อยๆ ใช้ปราณชีวิตของเขาแตะโลงหินนี้อย่างระมัดระวัง มันก็ยังคงไม่มีสิ่งผิดปกติ ฉินมู่ไม่คลายใจและเคลื่อนไหวมารอบๆ โลงศพหินราวกับแมววิเศษ เขาทดสอบแล้วทดสอบอีก แต่ก็ยังคงไม่มีสิ่งผิดสังเกต
ก็แบบนั้นเขาถึงค่อยวางใจ และเดินตรงไปข้างหน้าเพื่อลองเปิดโลงหินออกมา
ฝาของโลงศพหนักอึ้งเป็นอย่างยิ่ง เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี ในที่สุดก็เลื่อนฝาโลงออกไปได้นิดหน่อย
ข้างในโลงหิน มีไหใบใหญ่ตั้งไว้อยู่จริงๆ เมื่อมองไปจากร่องแง้มเล็กๆ ของโลง เขาก็เห็นศีรษะถูกวางเอาไว้ในไห ศีรษะนี้มีสี่หน้า และยังมีปิ่นปักผมที่มีรูปทรงแบบฉัตรเจดีย์อยู่บนยอด ปิ่นนั้นยังมีดวงตาอีกด้วย
ศีรษะนั้นถูกแช่อยู่ในของเหลวประหลาด และมันดูเหมือนกับว่าจะยังมีชีวิต ดวงตาที่ยอดฉัตรพลันเปิดออก และสายตาของเขาก็ตกลงมายังฉินมู่
ฉินมู่หัวใจไหวสะท้าน ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยน ใจกลางพิภพ ความมืด แท่นสังเวย โลงศพหิน และศีรษะที่อยู่ในไห ล้วนแต่หายวับไปโดยสิ้นเชิง!
เขาปรากฏขึ้นในราชวังอันหรูหราอย่างวิเศษ พื้นนั้นปูลาดด้วยหยกขาว และประดับมุกกับลูกแก้วเป็นดวงดาว ชายที่ไร้หน้าคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาที่เขาและกล่าว “อิ๋งจ้าว ข้าต้องการให้เจ้าทำบางอย่างเพื่อยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง”
“ข้าจะทำตามบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้ง”
“ท้าวสักกะนั้นกำลังไปรวบรวมช่างฝีมือในโลกหล้าเพื่อหลอมสร้างหมู่บ้านไร้กังวล และก่อสร้างมหานาวาปารมิตา ข้าต้องการให้เจ้ารักษารากฐานจำนวนหนึ่งเพื่อยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งของพวกเรา ข้าเกรงว่าผู้คนในอนาคตจะหลงลืมเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวล และข้าเองก็เกรงว่าศัตรูจะทำลายมหานาวาปารมิตา ของเหล่านี้คือพิมพ์เขียวของมหานาวาปารมิตา เจ้ามีสมองเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด จงจดจำพวกมัน”
ฉินมู่มองไปยังพิมพ์เขียวที่ก่ายกองสูงเท่าภูเขา เขา ‘มอง’ ไปที่ตัวเขาเองกำลังพลิกผ่านหน้าต่างๆ ของพิมพ์เขียวเหล่านี้ แผนผังและข้อเขียนในพิมพ์เขียวซับซ้อนอย่างสุดกู่ และยากที่จะจดจำ แต่ ‘เขา’ สามารถประทับรอยหน้าพิมพ์เขียวเหล่านี้เข้าไว้ในความทรงจำของเขาได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาด
“ฝ่าบาท พวกเราไม่มีโอกาสเอาชนะเลยจริงๆ หรือ” ฉินมู่ได้ยินเสียงที่เขาไม่คุ้นเคย
นั่นเป็นเสียงของเทพเจ้านามอิ๋งจ้าว
“ไม่มี”
ชายไร้หน้าผู้นั้นหันหลังให้แก่เขาและส่ายศีรษะ “ไม่มีเลยแม้แต่น้อย ยิ่งข้ารู้เกี่ยวกับศัตรูของพวกเรามากเท่าไร ข้าก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากเท่านั้น ยุคสมัยเก่าก่อนทั้งหลายในประวัติศาสตร์ ล้วนแต่ถูกลบล้างไป และมันยากที่พวกเราจะหลบหนีชะตากรรมเดียวกันนี้ได้ แต่ทว่า ยังมีความหวังอยู่ในอนาคต ทิ้งพิมพ์เขียวเหล่านี้ไว้หมายความว่าความหวังก็ได้ถูกฝากฝังเอาไว้ ในอนาคต ทายาทของข้าจะมาเสาะหาเจ้าเพื่อนำพิมพ์เขียวนี้กลับไป เขาจะนำพวกเจ้าไปพบข้าที่หมู่บ้านไร้กังวล เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเราก็จะฟื้นตัวกลับมา และบุกเปลี่ยนแปลงสวรรค์และพิภพ!”
“ฝ่าบาท…”
ชายไร้หน้าผู้นั้นเดินออกไปและทิ้งเขาเอาไว้ข้างหลัง เขาจดจำด้วยหัวใจของเขา และใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะจดจำพิมพ์เขียวอันซับซ้อนไร้ปานเปรียบของมหานาวาปารมิตาทั้งหมดได้
จากนั้นเขาก็ทำลายพิมพ์เขียว และพวกมันก็เผาผลาญอยู่เป็นเวลานานกว่าจะมอดดับไป
เมื่อพิมพ์เขียนทั้งหมดถูกเผา โถงวังนี้ก็จมอยู่ในความมืด
แสงพวยพุ่งออกมาจากความมืดตรงหน้าฉินมู่ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเขาคือสนามรบของเทพเจ้าที่คลี่คลายออกมาในระดับมหากาพย์ ทุกๆ ที่ในท้องฟ้าและผืนดินล้วนแต่เป็นเทพเจ้าต่อสู้รบพุ่งกัน เทพเจ้ามากมายนับไม่ถ้วนตกตายไป ภาพที่เห็นนั้นน่าสังเวชอย่างจับใจ
ฉินมู่เห็นปราสาทสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งร่วงลงมาจากสถานที่อันสูงลิ่ว และถล่มลงมาผ่านชั้นสวรรค์หลายต่อหลายชั้น มันทิ้งหางเพลิงและแสงสว่างไว้เป็นทางเมื่อร่วงหล่นลงไปในโลกมิติอื่น
ฉินมู่มองไปที่ ‘ตัวเขา’ ด้วยความตะลึงงัน และ ‘เขา’ ก็เงื้อกระบี่เทวะของตนขึ้นมา แต่แล้ว ‘เขา’ ก็วางมันลงและกลับไปยังเมืองเทพยดา เขาเข้าไปใต้ดิน และก่อสร้างพื้นที่แห่งความมืดภายใต้พื้น เขาหลอมสร้างแท่นสังเวยแท่นหนึ่ง
เขาใช้สำนึกรู้ของเขาเพื่อก่อสร้างสนามพลังจิตอันผิดธรรมดา และเตรียมโลงศพให้แก่ตนเอง เขาจึงวางไหใหญ่ไว้ในโลงและเทของเหลวลงไปในไห มันเป็นวารีเทวะที่กลั่นออกมาจากสำนึกรู้และพลังชีวิตของเขา มันสามารถรักษาร่างเนื้อของเขามิให้เน่าเปื่อยได้
เขาเงื้อกระบี่ขึ้นอีกครั้ง
“ผู้ที่ประจักษ์ภาพนี้…”
ฉินมู่ได้ยินเสียงอันไม่คุ้นเคยอีกครั้ง ที่กำลังพึมพำกับตนเอง “เจ้าคือทายาทแห่งฉินหรือ เจ้ากระทำตามบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้งเพื่อนำพิมพ์เขียวนี้กลับไปหรือ ข้าไม่อาจทดแทนความกรุณาของจักรพรรดิก่อตั้งได้ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ถวายศีรษะของข้า และรอที่นี่อย่างเงียบงันเพื่อให้ใต้เท้าฉินมารับไป”
ฉัวะ
แสงกระบี่พุ่งวาบวูบ และฉินมู่ก็รู้สึกเจ็บอย่างสาหัส เแล้วเขาก็ ‘เห็น’ ว่าเขาเองร่วงลงไปในไหและมองออกมาจากข้างในนั้น เขาสามารถมองเห็นศพของเทพอิ๋งจ้าวที่ขยับฝาโลงค่อยๆ ปิดงับลงมา
ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงทึบสนั่นดังมาจากใจกลางพิภพ มันคือเสียงที่เกิดจากเมื่อศพเทพเจ้าร่วงลงไปยังพื้น
ดวงตาของฉินมู่แดงก่ำ และเขาก็ปาดป้ายน้ำตาของตนเอง
ศีรษะในไหดูเหมือนว่าจะสามารถมองเห็นได้ และศีรษะนั้นนั้นก็ค่อยๆ หันมา คลื่นสมองอันแข็งแกร่งสั่นพ้องกับสำนึกรู้ของฉินมู่ และพิมพ์เขียวก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพวาดอันประทับรอยไว้ในจิตคิดของเขาอย่างแน่นหนา ยิ่งปรากฏภาพมากเท่าไร ก็ยิ่งเหลือวารีเทวะในไหน้อยลงเท่านั้น
เมื่อวารีเทวะในไหแห้งเหือดไปหมดสิ้น จิตคิดของฉินมู่ก็เต็มไปด้วยพิมพ์เขียวของมหานาวาปารมิตา
ศีรษะของเทพเจ้านั้นยังคงส่งคลื่นสมองออกมา และถ่ายทอดพิมพ์เขียวที่เหลือเข้าไปในจิตของฉินมู่ ศีรษะนั้นเน่าเปื่อยไปด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า เมื่อสำนึกรู้ของเขาแห้งเหือด ก็มีแต่หัวกะโหลกที่วางอยู่ตรงก้นไห
ฉินมู่ลุกขึ้นจากข้างหน้าโลงหินอย่างเงียบงัน เขาพลันกล่าว “เจ้าไม่ได้ติดค้างตระกูลฉินเลยสักสิ่ง ตระกูลฉินต่างหากที่ติดค้างเจ้า! ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าตายไม่มีสังขารที่สมบูรณ์!”
เขากระโดดลงไปจากแท่นสังเวย และห้อยโหนลงจากเส้นด้ายปราณชีวิตเพื่อลงไปยังเวิ้งมืดใต้ดินต่อ ฉินมู่แบกเอาโครงกระดูกไร้ศีรษะ และใช้ปราณชีวิตอันบางเท่าใยแมงมุมค่อยๆ ดึงเขาขึ้นมา
เขากลับไปที่แท่นสังเวย และนำไหใบใหญ่ออก เขาวางโครงกระดูกไร้ศีรษะลงไปในโลงศพอย่างนอบน้อม จากนั้นนำเอาหัวกะโหลกออกมาจากไห วางมันลงไปบนคอของโครงกระดูกไร้หัวนี้
ฉินมู่ปิดลงโลงหิน จากนั้นโค้งคารวะสามครา เขาหันกายไปเพื่อกระโดดขึ้น เขาเหยียบไปบนเม็ดทรายดาวทั้งหลายและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในการกระโดดครั้งสุดท้าย เขายังอยู่ห่างจากหลุมหนึ่งร้อยห้าสิบวา ฉินมู่ชี้นิ้วออกไป และเส้นด้ายปราณชีวิตของเขาก็ยิงไปไกลหนึ่งร้อยห้าสิบวา จากนั้นมันก็ไปม้วนพันกับเชือกกระดูกขาวที่ห้อยลงมาจากปากหลุม
โครงกระดูกมากมายที่หลุมรีบปีนไต่ขึ้นไปข้างบน หลังจากที่ใช้ความอุตสาหะสักหน่อย พวกมันก็สามารถดึงเขาขึ้นมาจากเวิ้งใต้ดินได้
ขณะที่ฉินมู่ปีนไต่ออกมาจากหลุม แรงสั่นสะเทือนก็ส่งออกมาจากข้างใต้ผืนดิน สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนอย่างระงับไม่อยู่ ปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งไปโดยพลัน และกวาดเอาโครงกระดูกทั้งหมดในบริเวณโดยรอบ เขาก่อเขตพลังหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา และนำพาโครงกระดูกทั้งหลายวิ่งหนีไป
ข้างหลังเขา ผืนดินยุบลงไป เมืองเทพยดาที่กลายเป็นซากโบราณอันซอมซ่อก็ร่วงลงไปในใจกลางพิภพ หลุมนั้นกลายเป็นใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น
ความเร็วของฉินมู่เพิ่มพูนไปถึงสุดขีดขั้นเมื่อเขารีบพุ่งทะยานออกไปจากซากโบราณนี้ด้วยความเร็วปานสายฟ้า แรงสั่นสะเทือนค่อยๆ หยุดลง และเมื่อเขาเหลียวกลับไปมองดู เมืองเทพยดาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นเหวลึก กลบฝังประวัติศาสตร์เอาไว้โดยสิ้นเชิง
ฉินมู่วางโครงกระดูกเหล่านี้ลงและนั่งลงกับก้อนหิน เขามองไปยังหลุมลึก ก้นบึ้งของมันมองหยั่งไม่ถึง สายตาของเขาลึกซึ้งและโศกสลด
โครงกระดูกหนึ่งลูบหัวเขาเบาๆ เหมือนจะปลอบโยนเขา โครงกระดูกอีกตนเข้ามาช่วยปาดน้ำตาให้เขา
ใบหน้าของฉินมู่คลี่ยิ้มออกมา เขาลุกขึ้นและคารวะทักทายโครงกระดูกทั้งหลาย “ข้าไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจทุกๆ คนที่อยู่เป็นเพื่อนข้าในช่วงหลายวันมานี้ บางทีในอนาคต หากว่าข้ายังไม่ตาย ข้าจะกลับมา ข้าจะรวบรวมดวงวิญญาณของพวกเจ้ากลับมาและฟื้นคืนชีพให้แก่พวกเจ้าทั้งหมด ไว้พวกเราค่อยพบกันในภายภาคหน้า!”
เขาจากไปด้วยก้าวยาวๆ และโครงกระดูกเหล่านี้ก็ไม่ตามเขาอีกต่อไป ฉินมู่หันกลับไปมองและเห็นโครงกระดูกขาวพวกนี้กำลังโบกมือให้แก่เขา
ฉินมู่โบกมือกลับและจากไป
“แม้ในความตายโครงกระดูกพวกเขาก็ยังคงระอุอุ่น และไม่ทำให้วีรชนทั้งหลายในแดนดินต้องอับอาย จักรพรรดิก่อตั้ง บรรพบุรุษของข้าที่อยู่ห่างไกลในหมู่บ้านไร้กังวล เจ้ายังคงจดจำเทพเจ้านามอิ๋งจ้าวที่ตัดศีรษะตนเองเพียงเพราะบัญชาของเจ้าได้หรือไม่ ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะไม่ ให้ข้าช่วยเตือนให้เจ้าจำได้ บุตรแห่งฉินผู้นี้จะไม่ทรยศผู้ใดที่ติดตามฉิน พวกเขาจะไม่ถูกหลงลืมคำมั่นสัญญาที่ฉินหรือบรรพชนแห่งฉินได้ให้เอาไว้!”
เขาวิ่งตะบึงไปในแดนรกร้างแห่งนี้ และมุ่งหน้าไปยังจุดที่ปราสาทสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งร่วงถล่มลงมา จากความทรงจำของเทพอิ๋งจ้าวแล้ว ที่นั่นน่าจะมีทางเข้าอันนำไปสู่สวรรค์ไท่หวงหรือไม่ก็แดนโบราณวินาศ
“ข้าจะสำเร็จสัญญาที่เจ้าให้ไว้แทนตัวเจ้า และให้ดวงวิญญาณของวีรชนทั้งหลายได้ตายตาหลับ!”
เขามายังห้วงอวกาศแตกหัก และแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าที่ไหลลอยอยู่ตรงนั้น เขาสามารถมองเห็นโลกมิติอื่นได้ลางๆ แสงอาทิตย์นี้ส่องมาจากชิ้นส่วนอวกาศแตกหัก การข้ามไปที่นั่นอันตรายอย่างยิ่งยวด
ฉินมู่นำกล่องเล็กมาจากถุงเต๋าตี้ และเขาก็กระโดดเข้าไปในอวกาศแตกหัก เมื่อเขาพบกับแสงอาทิตย์ เด็กหนุ่มก็พลันเปิดกล่อง แสงอันดุร้ายกระหายเลือดพลันท่วมท้นฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นแสงมีดสองเล่ม ด้วยการสะบัดไป มันก็เฉือนตัดแสงอาทิตย์!
ไม่ทันที่แสงอาทิตย์จะกลับเข้ามารวมตัวกันใหม่ ฉินมู่ก็พุ่งผ่านชิ้นส่วนแตกหักของอวกาศ และร่างของเขาก็ร่วงตกลงไปอย่างรวดเร็ว ข้างล่างเขาคือป่าไม้ขจีและขุนเขาไร้สิ้นสุด ประตูสวรรค์ทักษิณก็ตั้งอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย ที่อยู่ข้างล่างเขาไม่ใช่สวรรค์ไท่หวง มันคือแดนโบราณวินาศ