ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 633 ความดูแคลนของฉินมู่

บรรพชนแรกกระเด็นและพุ่งหายเข้าไปในส่วนลึกของพื้นที่อันไพศาล เขาหายลับไปกับหมอก และที่ตามถัดมาจากแสงอันสาดส่องออกมาจากหมอก มันคือแสงเนตรจากดวงตาของเขา

ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาสู้กัน เขาเคยใช้เนตรเทวะนี้เพื่อเสียบฉินมู่ไว้กับผนังโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ แทบจะสับเอวของฉินมู่ขาดครึ่ง

ดวงตาที่สามบนหว่างคิ้วของฉินมู่ปิดสนิทและไม่เปิดออก วงจรพยุหะนับไม่ถ้วนหมุนวนในดวงตาของเขา และลำแสงสองลำก็ยิงออกไป ปะทะเข้ากับลำแสงเนตรนั้น

ลำแสงเนตรของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกยิงพุ่งเข้ามา และทักษะเทวะวิชาเนตรของพวกเขาก็ปะทะกัน แสงอันเจิดจ้าแสบตาระเบิดออกมา มันเหมือนกับดวงอาทิตย์เล็กๆ สองดวงที่สาดรัศมีออกไปหลายสิบลี้ในทุกทิศทาง ขับไล่หมอกทั้งหลายให้หลีกไป!

ทักษะเทวะของบรรพชนแรกยังคงเพริศแพร้วพิสดารกว่าของฉินมู่ ก็ในเมื่อแสงเทวะจากดวงตาของเขาได้สะกดข่มเนตรเทวะสวรรค์เก้าโดยพลัน

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกร้องคำราม และเส้นผมของเขาก็ลุกโพลงในอากาศ เขายกมือทั้งสองขึ้นและเมฆดวงดาวก็ปรากฏบนท้องฟ้า ดาวตกใหญ่มหึมามากมายนับไม่ถ้วนกำลังจะร่วงลงมาจากนภากาศ!

ดวงตาที่สามที่หว่างคิ้วของฉินมู่เปิดขึ้นมา เขากล่าวด้วยเสียงนุ่ม “นี่คือครั้งที่สองที่ข้าจะปลดปล่อยพลังเต็มพิกัด”

ทันใดนั้น สมบัติเทวะแห่งมรรคาเทพและมรรคามารของเขาก็หมุนวนไปรอบกันและกัน ปราณชีวิตของมรรคาเทพและมรรคามารไหลเวียนไปด้วยกัน หลอมรวมกันภายใต้ดวงตาที่สาม!

พลังวัตรของเขากลับเป็นคูณสอง เขาได้ยินเสียงหึ่งฮัมเมื่อลำแสงเนตรของเขาเข้าไปปะทะกับทักษะเทวะวิชาเนตรของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแบบซึ่งๆ หน้า ลำแสงเนตรสองลำเข้าไปชนกับร่างของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และเสียบร่างของเขาไว้กับพื้นอย่างไร้ปรานี

ทักษะเทวะของบรรพชนแรกก็พังทลายลงมาทันที ให้เมฆดาวบนท้องฟ้าหายวับ ดาวตกที่กำลังร่วงลงจากนภากาศก็หายไปเช่นกัน

ลำแสงเนตรของฉินมู่ปักเขาไว้กับพื้นอย่างแน่นอน ทำให้กระดูกของเขาสร้างเสียงเปรี๊ยะปร๊ะ

ทันใดนั้น ปราณชีวิตรอบๆ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนนับไม่ถ้วน แปลงเป็นวงจรพยุหะหนึ่ง

“ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล?”

ฉินมู่รั้งแสงเทวะกลับเข้ามาในดวงตา อักษรรูนรอบตัวเขาโลดเต้นไปรอบๆ คิดคำนวณพิกัดที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจะเคลื่อนย้ายไปอย่างเร็วจี๋

ปราณชีวิตในมือของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่ละเอียดยิบ แสงกระบี่จำนวนมากเข้ามารวมตัวกันและแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่วิเศษในมือของเขา เมื่อสะบัดกระบี่ไปราวกับสายลม เขาก็สกัดวิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกที่กำลังจะปรากฏตัวเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ!

เงาร่างของบรรพชนแรกปรากฏขึ้นมาในที่สุด ด้วยมุทราหนึ่งเป็นฟ้า และอีกมุทราเป็นดิน เขานั้นเป็นจ้าวแห่งฟ้าและดิน ในแง่ความสำเร็จเชิงมุทราแล้ว เขายังเหนือล้ำกว่ามือหยินหยางพลิกสวรรค์ของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนสาม!

อันที่จริงแล้วมือหยินหยางพลิกสวรรค์ของบรรพชนสามนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากบรรพชนแรก แต่ทว่าบรรพชนสามยึดครรลองแห่งหยินและหยาง เก้ามหาทวี สิบเก้าก้าวในความยาวและความกว้าง สามร้อยหกสิบเอ็ดย่างเท้า และสามร้อยหกสิบเอ็ดวิชามุทรา

เมื่อครั้งนั้น ระหว่างรุ่นสมัยของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนสาม ท่าก้าวสิบเก้าก้าวของเขานั้นไร้เทียมทานไปทุกหนแห่ง

ผู้ที่ทำลายตำนานไร้พ่ายของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนสาม ก็คือศิษย์ของเขา กษัตริย์มนุษย์บรรพชนสี่ เขาได้คิดค้นวิชาฝึกปรือกฎสิบข้ามพ้นของตนเอง และเอาชนะอาจารย์เฒ่าของตนเสียยับเยิน

แต่ขณะเดียวกันนั้น วิชาของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสูงกว่าหนึ่งระดับชั้น ด้วยมุทราฟ้าและมุทราดิน เขาก็เป็นที่เคารพยกย่องท่ามกลางฟ้าและดิน กษัตริย์มนุษย์บรรพชนสามสามารถสำเร็จได้เพียงสิบเก้าก้าวย่างไปทั่วทิศ ขณะที่มุทราของบรรพชนแรกแผ่ขยายไปทั่วสวรรค์และพิภพ!

กระนั้นวิชามุทราของเขาก็ต้องมาเผชิญกับกระบี่ของฉินมู่

ฉินมู่ไม่ใช้ไจกระบี่ของเขา ต่อสู้กับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกในคราวนี้ เขาไม่ใช้อาวุธวิญญาณใดๆ ทั้งสิ้น เขาถึงกับโยนถุงเต๋าตี้ลงกับพื้น เขาหมายที่จะเอาชนะคนหนีทัพแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งผู้นี้ด้วยกำลังฝีมือที่แท้จริงของเขา เขาอยากจะเอาชนะบุคคลที่ทำลายความเหนื่อยยากตลอดทั้งชีวิตของกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลาย เขาอยากจะเหยียบลงไปบนไอ้คนต่ำช้าที่ได้หมิ่นหยามวิชาของกษัตริย์มนุษย์ในอดีตทั้งหลาย เขาอยากที่จะทำลายเกียรติยศทั้งหมด บดขยี้ความจองหองของเขาด้วยฝ่าเท้า!

แสงกระบี่ของเขาคือกระบี่ไร้ต่อต้าน มันไม่มีสิ่งใดเปรียบปานได้อย่างแท้จริง ด้วยการพลิกมือเล็กน้อย เขาก็ขับเคลื่อนภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่ง บรรยากาศแห่งภัยพิบัติอันไร้ประมาณ พลันเชื่อมต่อฟ้าและดิน ฝ่านภาและทลายปฐพี!

นี่คือเพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน ในฐานะกษัตริย์มนุษย์คนก่อน ความสำเร็จของผู้ใหญ่บ้านในเชิงกระบี่เหนือล้ำกว่ากษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ในอดีตไปหลายขุม

ในแดนยมโลก ผู้ใหญ่บ้านมักจะถูกรุมประชาทัณฑ์ แต่ไม่มีกษัตริย์มนุษย์คนไหนที่กล้าสู้ตัวต่อตัวกับเขา นั่นก็เพราะว่าผู้ใหญ่บ้านได้ตามทันการปฏิรูปในบั้นปลายอายุของตน ดังนั้นเพลงกระบี่ของเขาจึงรุดหน้าขึ้นไปอีกขั้น หากว่าเป็นการสู้ตัวต่อตัวแล้ว นอกจากบรรพชนแรกก็ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

ในมือของฉินมู่ เขาได้ผนวกรวมกระบี่ที่สิบแปดเข้าไปในภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่ง ให้มันมีท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทั้งสิบแปดท่า เทียบกับเพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้านแล้ว เขาก็ยังมิอาจขัดเกลามันจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ทว่า เพลงกระบี่นี้เมื่ออยู่ในมือของเขา กลับยิ่งทรงอานุภาพมากกว่าเดิม!

พลังวัตรของฉินมู่แผ่พุ่งออกไป แสงกระบี่ของเขาเฉือนตัดพลานุภาพของมุทราฟ้าและมุทราดิน ทำลายตำนานไร้พ่ายทั่วฟ้าทั่วดินของบรรพชนแรก กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปลี่ยนกระบวนท่า!

เพลงกระบี่ของฉินมู่มีจุดอ่อนอยู่ชัดๆ แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไม่อาจฝ่าเข้าไปได้ นั่นก็เพราะว่าพลังวัตรของฉินมู่เข้มข้นเกินไป และเขาสามารถใช้ปราณชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวมาปิดกั้นช่องโหว่เหล่านั้น

ขณะที่เขาควงกระบี่ด้วยมือหนึ่ง ร่างของเขาก็เคลื่อนที่ไปราวมังกร ไม่ว่าวิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ฉินมู่ก็เอาแต่ทำลายพวกมันทั้งหมดด้วยภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่ง!

เขาถึงกับคร้านเกินกว่าจะเปลี่ยนกระบวนท่าเพลงกระบี่!

“ดึงข้าออกมา ดึงข้าออกมา!”

ตรงหน้าโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ กษัตริย์มนุษย์อี้ซานดิ้นรนคลานออกมาจากในดิน เขาอยากที่จะเข้าไปในโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์เพื่อชมดูสถานการณ์ กษัตริย์มนุษย์ฉีคังข้างหลังเขา กล่าวอย่างร้อนรน “ข้าถูกวิชามุทราของบรรพชนแรกกักขังเอาไว้!”

กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่และคนอื่นๆ ดิ้นรนพยายามลุกขึ้น เมื่อพวกเขาลุกมาได้อีกครั้ง พวกเขาก็เข้าไปห้อมล้อมกษัตริย์มนุษย์ฉีคังและฟาดฝ่ามือใส่พื้นดินรอบๆ ตัวเขา ในที่สุด พวกเขาก็ร่วมมือกันทำลายวิชามุทราของบรรพชนแรก และช่วยเขาให้หลุดออกมาได้

กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายพยุงกันไปมา และในที่สุดก็เดินผ่าโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์อันถูกฟาดจนโหว่ทะลุ

ทันทีที่กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายมาถึงท้ายโถงวัง พวกเขาทั้งหมดก็ตะลึงลานเมื่อเห็นเงาร่างสองเงาร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในหมอก

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมีมุทราหนึ่งเป็นฟ้า อันมีพลานุภาพราวกับฟากฟ้าถล่มลงมา และอีกมุทราเป็นดิน พื้นดินสั่นกราวและภูเขาก็สะเทือนสะท้าน ร่างของเขาราวกับเสาใหญ่ที่ค้ำฟ้าและดินเอาไว้มิให้ถล่มทลายลงมา

วิชามุทราเช่นนี้เป็นทักษะเทวะมหัศจรรย์ที่สามารถรังสรรค์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อมีความสำเร็จสูงล้ำของการที่มุทราย่างกรายเข้าสู่เต๋า!

วิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกบรรจุกรอบคิดจิตใจของเขาเอาไว้ ในปีสุดท้ายแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ท้องฟ้าได้ร่วงถล่ม และผืนดินก็พังทลาย วิกฤตคืบคลานเข้าใกล้สภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เขาก็ยังเป็นบุคคลที่ผ่านประสบการณ์ของยุคสมัยอันแสนเศร้า และหมายที่จะกอบกู้ท้องฟ้าอันสูงลิ่วนั้นด้วยกำลังตนเพียงลำพัง

วิชามุทราฟ้าและดินของเขานำมาซึ่งความรู้สึกอันเข้มข้นที่เหนือจะปานเปรียบในตัวเขา ปล่อยให้ฟ้าและดินพลุ่งพล่านดาลเดือด แต่ทว่า ในฐานะเสาอันค้ำยันฟ้าและดิน เขาก็จะต้องยืนตระหง่านมั่นคงอยู่ระหว่างฟ้าและดินเสมอ

นี่คงเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวใจ

เขาเป็นบุคคลที่ได้ผ่านพบยุคสมัยอันน่าเศร้าโศก ยุคสมัยอันตราตรึงไว้ในวิชามุทราของเขาอย่างลึกล้ำ

วิชามุทราของเขาสามารถหยิบยืมพลานุภาพของสวรรค์ถล่ม และในทำนองเดียวกัน มันก็สามารถยืมพลานุภาพของแผ่นดินทลายได้ด้วย ดังนั้นพลานุภาพของเขาจึงกว้างใหญ่ไร้ประมาณ

นี่จึงเป็นสาเหตุที่อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมด ไม่สามารถทัดเทียมเขาได้

แม้ว่าอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายจะแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบอันหนักหน่วง แต่พวกเขาก็ไม่เคยประสบวันคืนแห่งโศกนาฏกรรมเหมือนที่กษัตริย์มนุษย์ประสบ และพวกเขาก็ไม่เคยได้ประจักษ์การถล่มลงมาของสภาสวรรค์อันเกรียงไกร ประจักษ์ความตายอันน่าสังเวชของสหายร่วมเผ่าและสหายร่วมรบทั้งหลาย และประจักษ์การผันผ่านของกาลเวลาที่กลบฝั่งวันปีอันเกริกไกรเหล่านั้น

มีก็แต่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้จึงจะก่อเกิดกรอบคิดจิตใจเช่นนี้ และเขาจึงสามารถสร้างสรรค์วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะเช่นนี้ได้

อีกทางหนึ่ง อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายไม่ได้มีประสบการณ์และกรอบคิดจิตใจเช่นนั้น ดังนั้นวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้นมาถึงด้อยกว่าเป็นธรรมดา

กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายหันไปสบตากันและกัน หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความพิศวงและตกตะลึง เมื่อเผชิญหน้ากับฉินมู่ แม้แต่บรรพชนแรก ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องตั้งรับอยู่ถ่ายเดียว เขานั้นอยู่ในสภาวะเสียเปรียบอย่างแท้จริง!

แม้ว่าเพลงกระบี่ของฉินมู่จะมีรอยเงาของผู้ใหญ่บ้าน กระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า และราชครูสันตินิรันดร์ เพลงกระบี่ของเขาก็มีแรงผลักอันกระโจนออกไปจากอิทธิพลของผู้ใหญ่บ้าน กระบี่เต๋า และราชครูเรียบร้อยแล้ว

อารมณ์ที่อยู่ในเพลงกระบี่ของเขาแตกต่างไปจากอารมณ์ในวิชามุทราของบรรพชนแรก

เพลงกระบี่ของเขาไม่มีความพิไรรำพัน หวนรำลึกถึงอดีตกาลของผู้ใหญ่บ้าน หรือความอัจฉริยะในการคำนวณของกระบี่เต๋า หรือปัญญาญาณของราชครูสันตินิรันดร์ที่เฝ้ามองทั้งโลกหล้าและคิดแผนยุทธศาสตร์

แต่ทว่า เพลงกระบี่ของเขาเหมือนกับเพลิงไฟร้อนแรงที่โหมไหม้ไปตามทุ่งหญ้า เพลงกระบี่ของเขาเหมือนกับลมวสันต์ที่พัดผ่านที่ราบอันเปลี่ยวร้าง หอบเอาชีวิตชีวาและจิตหาญสู้มาด้วย เพลงกระบี่ของเขาดูเหมือนพยายามที่จะตัดสะบั้นหมอกมารพิษร้ายและผู้คนสามานย์ทั้งปวง มันมีความตั้งใจมั่นอันยิ่งใหญ่ที่จะขจัดสิ่งเก่าและสนับสนุนสิ่งใหม่ เหมือนกับเพลิงไฟที่ลุกบนน้ำมันเดือดพล่าน มันมีเจตจำนงอันแรงกล้าที่จะทะเยอทะยานถึงความรุ่งเรือง

เพลงกระบี่ของเขาดูเหมือนจะมีความตั้งใจมั่นอันน่าตะลึงพรึงเพริดอีกรูปแบบหนึ่ง มันเป็นกรอบคิดจิตใจที่นำพามาจากอีกยุคสมัย มันเป็นยุคสมัยที่แตกต่างจากโศกนาฏกรรมและภัยพิบัติ มันมีแรงขับดันที่จะรุดหน้า กวาดซัดทั้งโลกหล้าไปด้วยการปฏิรูป ช่วงใช้จิตหาญสู้อันเหนือล้ำ!

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกและฉินมู่เป็นผู้คนที่มาจากยุคสมัยอันแตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีทักษะเทวะชนิดที่แตกต่างกัน หนึ่งนั้นเป็นวิชามุทรา ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นเพลงกระบี่ ทั้งสองทักษะเทวะก็มีรอยประทับของยุคสมัยที่ไม่เหมือนกัน

ถ้าจะพูดอย่างเคร่งครัด ก็ยากที่จะบอกว่าอะไรสูงกว่าหรือต่ำกว่ากัน หากว่าเทียบจากความหมายที่พวกเขาสถาปนาขึ้นมา แต่ทว่า เมื่อเทียบกับกรอบคิดจิตใจของพวกเขาแล้ว หนึ่งนั้นแสดงถึงเจตจำนงอันแรงกล้าที่จะผลักดันไปข้างหน้าด้วยจิตหาญสู้อันยิ่งใหญ่ ส่วนอีกหนึ่งนั้นจมอยู่กับการหวนรำลึกถึงความพ่ายแพ้ครั้งเก่าก่อน จากมุมมองนี้ แพ้และชนะย่อมเห็นขาด

ไม่เพียงแค่นั้น ประเด็นที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือพลานุภาพของฉินมู่นั้นเข้มข้นจนเกินไป เขาสยบวิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเอาไว้ และทำลายมันเหมือนกับหักกิ่งไม้ผุเปราะ!

ฉินมู่ต่อสู้อย่างดุร้ายมากขึ้นทุกที ขณะเขาฟาดฟันไปด้วยกระบี่ เขาก็มีความอยากอย่างแรงกล้าที่จะฟันสะบั้นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ฟันสะบั้นเสาค้ำฟ้าดินต้นนี้ เขาบีบให้บรรพชนแรกไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เขาเป็นกายาจ้าวแดนดินจริงๆ…” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังพึมพำ

บรรพชนสองกล่าวอย่างหดหู่ “มีกายาจ้าวแดนดินอยู่ในโลกนี้จริงๆ…เดิมทีข้าคิดกว่ากษัตริย์มนุษย์ฉินอาศัยความพากเพียรถึงขึ้นมายังจุดนี้ได้ ไม่เคยจะนึกฝันเลยว่าเขาจะเป็นกายาจ้าวแดนดินในตำนาน ปราณชีวิตพวกนั้น มันบ้าไปแล้วชัดๆ…”

กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ก็ผงกศีรษะ

หากว่าเขาไม่ใช่กายาจ้าวแดนดิน แล้วจะอธิบายภาพที่เห็นตรงหน้าได้อย่างไร

เมื่อพวกเขาทั้งหมดรุมต่อยตีบรรพชนแรก พวกเขาก็ได้พ่ายแพ้อย่างยับเยิน กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้ซัดพวกเขาจนหมอบด้วยขั้นวรยุทธเดียวกัน บัดนี้ ที่ขั้นวรยุทธเดียวกันนั้น ฉินมู่ถึงกับกำลังสร้างแรงกดดันและซัดบรรพชนแรกจนตั้งตัวไม่ติด!

มีก็แต่กายาจ้าวแดนดิน ที่จะสำเร็จอะไรแบบนี้ได้ ใช่ไหม

“ซูมู่เจ๋อ ไอ้เด็กแสบ สมควรแล้วที่จะโดนกระทืบ!” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกล่าวอย่างสะทกสะท้อน

กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน

“บรรพชนแรกยังมีท่าไม้ตายที่เขาไม่ได้ใช้”

บรรพชนสองพลันกล่าว “เขาเคยช่วงใช้มันมาครั้งหนึ่ง ข้าเคยเห็น มันคือวิชามุทราสามกระบวนท่าที่น่าสะพรึงกลัว”

บรรพชนสี่รีบกล่าว “มันน่ากลัวขนาดไหนหรือ”

“ฟ้าจะถล่มและดินก็จะทลาย สามท่วงท่าคว่ำฟ้าดิน”

บรรพชนสองมองไปที่การต่อสู้ระหว่างฉินมู่และบรรพชนแรก เขามองเห็นก็แต่รอยแผลกระบี่จำนวนมากบนบรรพชนแรกที่เป็นฝีมือของฉินมู่ การที่ฉินมู่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บจนถึงขนาดนี้ เขาควรจะภูมิใจในตนเองได้

“สามท่วงท่าคว่ำฟ้าดินนั้นเป็นทักษะเทวะของเขาที่ย่างกรายสู่เต๋า ครั้งหนึ่งข้าเคยอยากจะเรียนมัน แต่วิชามุทราทั้งสามท่านี้อัดแน่นไปด้วยความคิดการทำลายตนเองที่รุนแรง ข้าเกรงว่าหลังจากเรียนมันแล้ว เมื่อข้าใช้ไปครบสามท่าก็คงจะระเบิดตัวตาย”

บรรพชนสองระบายลมหายใจสะท้านและกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “ข้าหวังว่าเขาคงจะไม่ใช้มัน…”

ในตอนนั้นเอง ฟ้าและดินก็เปลี่ยนสี เวิ้งฟ้าปริแยกออกมาและดวงดาวสวรรค์ก็ร่วงตกราวห่าฝน ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน และพื้นดินก็แยกร้าวเผยให้เห็นภูเขาไฟทุกหนแห่ง! ภัยธรรมชาติทุกชนิดโถมซัดเข้ามา!

ในที่สุดบรรพชนแรกก็ข่มใจไว้ไม่ไหว และใช้กระบวนท่าแรกของสามท่วงท่าคว่ำฟ้าดิน!

ในจังหวะนั้นเอง ฉินมู่ก็ชี้ไปยังใจกลางหว่างคิ้วของตน ลำรัศมีแสงกระบี่พลันพวยพุ่งออกมาจากดวงตาที่สามของเขา แสงกระบี่ยาวสิบลี้ฉายส่องไปอย่างเจิดจ้า วาบมาในวูบเดียว เสียบปักกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเสียก่อนที่สามท่วงท่าคว่ำฟ้าดินของเขาจะมีโอกาสได้ระเบิดพลานุภาพออกไป บรรพชนแรกถูกซัดกระเด็นถอยหลังด้วยกระบี่ยาวสิบลี้ และถูกปักเอาไว้บนภูเขามหึมา

“ย่าาา—”

ฉินมู่กู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวและหมัดของเขาก็ซัดตรงไปข้างหน้า ระดมต่อยไปยังบรรพชนแรกราวกับพายุไต้ฝุ่น ไม่รู้ว่าในเสี้ยวพริบตาเดียวนั้นเขาซัดออกไปกี่กำปั้น!

พลังอันน่าสะพรึงกลัวจากหมัดได้สะสมเข้าด้วยกัน และแปรเปลี่ยนเป็นพลังทำลายล้างเพื่อฟาดซัดกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกซึ่งถูกเสียบเอาไว้บนภูเขา!

“หยุดก่อน!”

กษัตริย์มนุษย์ฉีคังและคนอื่นๆ กระโดดออกมา และร้องด้วยความตกใจ พวกเขาพยายามคว้าจับพลังกำปั้นของฉินมู่ แต่ว่ามันก็สายไปแล้ว

ครืนๆ

ภูเขาลูกนั้นพังทลายลงมาจากพลังอันน่าสะพรึงกลัว แต่พลังทั้งหมดนั้นมีแต่ตกไปรอบๆ ร่างของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ไว้ชีวิตเขา ทั้งภูเขาแปรเปลี่ยนเป็นเสาหินอันมีกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแขวนห้อยอยู่

ฉินมู่หันกายและเดินออกไปจากโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ เขาคร้านที่จะหันไปมองบรรพชนแรกบนเสาหิน เขากล่าวด้วยใบหน้าเยือกเย็น “เจ้าสามารถหมิ่นหยามอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลาย แต่ข้าไม่ใช่เจ้า ข้าไม่หมิ่นหยามเจ้า”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกุมแผลกระบี่บนหน้าอกของเขา เขาพลันร้องออกมา “อย่าเพิ่งไป! ข้าจะถ่ายทอดสามท่วงท่าคว่ำฟ้าดินให้เจ้าก่อน!”

ฉินมู่เดินไปที่หน้าโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ เขาก้มลงเก็บไจกระบี่และถุงเต๋าตี้ของเขา เขาเอี้ยวกายไปเล็กน้อยและหัวเราะในคอ “ไม่สนใจ มันไม่ควรค่าแก่เวลาของข้า”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตะลึงงัน เขาดิ้นรนให้หลุดออกมาจากเสาหิน

ฉินมู่เดินผ่านประตูโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ด้วยก้าวยาวๆ เงาร่างของเขาหายลับไปกับประตูที่ปิดลง

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

Status: Ongoing
ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset