หยวนเจียงนิ่งเงียบไปสักพัก ไม่รู้ควรจะตอบกลับว่าอย่างไรในเวลานั้น ในใจเขารู้สึกว่าศิษย์หลานพูดถูก เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่พวกเขาอยากหรือไม่อยาก แต่พวกเขาได้เกี่ยวข้องไปแล้วต่างหาก ตั้งแต่ที่เขาสืบเรื่องอสูรกลืนนภาก็ควรจะรู้ว่าพวกเขาได้เข้าสู่สายตาของคนบางคนแล้ว ไม่ว่าเขาอยากหรือไม่ แต่อย่างน้อยศิษย์หลานเล็กและศิษย์หลานไป๋ หรือแม้กระทั่งอาจารย์ ล้วนถูกดึงเข้าไปพัวพันแล้ว
เขากำมือข้างตัวแน่น ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจอย่างหมดแรง พร้อมทั้งเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับบนโลกออกมา
“ศิษย์หลานยังจำเรื่องท่านมหาเทพทั้งสี่ของสวรรค์ที่ข้าเคยเล่าให้ฟังได้หรือไม่!”
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า
เขาพูดต่อ “โลกสวรรค์ในตอนนี้ไร้ซึ่งท่านมหาเทพชั่วคราว ท่านมหาเทพองค์ก่อนมีบุตรสี่คน แต่ละคนล้วนมีพลังแก่กล้าพอ อีกทั้งพลังของทั้งสี่ยังพอๆ กัน พวกเขาจึงแทนตัวเองเป็นท่ามหาเทพของแต่ละทิศ เพียงแต่ความสัมพันธ์ของพวกเขา…ไม่ดีขนาดนั้น อีกทั้งตอนที่ท่านมหาเทพองค์ก่อนสวรรคต ท่านไม่ได้ทิ้งคำสั่งการแต่งตั้งเอาไว้ ดังนั้นใครจะเป็นคนที่ขึ้นเป็นท่านมหาเทพจึงกลายเป็นปัญหา”
“ดังนั้น…พวกเขาจึงเริ่มแย่งชิงสมบัติกัน?” ความขัดแย้งภายใน?
“เอ่อ…” หยวนเจียงผงะ แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ “ตำแหน่งมหาเทพแต่งตั้งกันไม่ได้เสียที ต่อมาเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของท่านมหาเทพทั้งสี่ยิ่งคับขัน…ดังนั้นพวกเขาจึงขนานนามที่อยู่ของตนว่าสวรรค์ จึงเกิดเป็นสวรรค์ทั้งสี่ทิศ ส่วนเหล่าเทพโลกบนนั้นต่างสนับสนุนมหาเทพแตกต่างกัน ถึงแม้ภายนอกจะดูเหมือนเงียบสงบ แต่ที่จริงแล้วกลับยังคงมีความขัดแย้งในบางครั้ง เรื่องขัดแย้งหลักคือตำแหน่งของท่านมหาเทพ”
“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้แต่เสวียนเหมินยังใช้วิธีการแบบประชาธิปไตยอย่างทดสอบเลื่อนระดับ และแบ่งปันทรัพยากรการฝึกฝนแล้ว แต่โลกสวรรค์ยังอยู่ในระบอบสังคมเก่าที่ต้องแย่งชิงบัลลังก์?!
“ข้าและศิษย์น้องเล็ก รวมทั้งศิษย์น้องและศิษย์หลานคนอื่นล้วนเป็นเทพที่อยู่ภายใต้ท่านมหาเทพสิงซีแห่งสวรรค์ตะวันออก” สีหน้าเคร่งเครยีดของหยวนเจียงผ่อนคลายลง “ท่านมหาเทพสิงซีแตกต่างคนท่านมหาเทพอีกสามองค์โดยสิ้นเชิง ท่านมีนิสัยอ่อนโยน ไม่ชอบการต่อสู้ หากไม่ใช่เป็นเพราะต้องปกป้องเหล่าเทพที่อยู่ภายใต้ ท่านคงไม่แย่งชิงกับท่านมหาเทพคนอื่น และเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีอคติกับคนที่บรรลุเป็นเทพอย่างพวกข้า”
“อคติ?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ มองไปยังหยวนเจียงด้วยความฉงน
เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะอธิบาย “ศิษย์หลานอาจไม่รู้ เหล่าเทพของโลกสวรรค์ไม่ได้มาจากคนที่ฝึกฝนจนบรรลุจากโลกล่างทั้งหมด พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเกิดในตระกูลเทพ ไม่ต้องฝึกฝนก็มีร่างเทพ อีกทั้งพลังเทพทั้งหมดมาจากสายเลือด อย่างท่านมหาเทพทั้งสี่ ร่างเดิมของพวกท่านคือผู้สืบสายเลือดมังกร เมื่อเทียบกับพวกเขา เหล่าเทพที่เพิ่งบรรลุนั้นดุจดั่งเด็กทารก”
อ่อ ที่แท้ก็เหยียดเชื้อชาติ
“อาจารย์อาหยวนเป็นท่านเทพระดับสูงไม่ใช่หรือ” เธอจำที่ราชาซิวหลิงเคยพูดว่า พลังของท่านเทพระดับสูงถือว่าเป็นกลุ่มเทพที่อยู่บนยอดสามเหลี่ยมทองคำแล้ว
“นั่นก็มาจากการฝึกฝนนับหมื่นปีถึงได้มา” หยวนเจียงถอนหายใจ
“ตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้ ข้าและเหล่าศิษย์น้องเพิ่งบรรลุ เป็นเพียงเทพแห่งพื้นดินที่ใครก็รังแกได้ ท่านมหาเทพในตอนนั้นมีความโหดเหี้ยม สิ่งที่เกลียดที่สุดคือเหล่าคนที่มีสายเลือดไม่บริสุทธิ์ เหล่าเทพที่เพิ่งบรรลุคิดจะมีชีวิตรอดยังยาก หากไม่ใช่อาจารย์…” เขาราวกับนึกบางอย่างได้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พักอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “พวกข้าคงได้ตายไปนานแล้ว จะมีฐานะเหมือนตอนนี้ได้อย่างไร”
“…” สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของโลกสวรรค์โหดร้ายขนาดนี้? ทันใดนั้นภาพจำที่มีต่อโลกบนยิ่งแย่ลงไปอีกหนึ่งระดับ
“โลกสวรรค์ในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก แต่ว่าทัศนคติบางอย่างกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงง่ายเช่นนั้น เหล่าเทพที่มาจากโลกมนุษย์ ถึงแม้จะไร้ซึ่งคนไปหาเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ถูกปฏิบัติอย่างเป็นมิตร” หยวนเจียงส่ายหัว “มีเพียงท่านมหาเทพตะวันออกที่แตกต่างออกไป ท่านดูแลทุกคนเท่าเทียบกัน” เสียดายที่โลกล่างนั้น ไม่มีคนบรรลุขึ้นมานานแล้ว อีกทั้งเทพอย่างพวกเขามีน้อยมาก ใช้นิ้วนับยังได้
“เช่นนี้นี่เอง” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า เหล่าอาจารย์อาก็ลำบากเหมือนกัน
“หากท่านมหาเทพตะวันออกสามารถกลายเป็นท่านมหาเทพได้ สถานการณ์บนโลกสวรรค์คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี” หยวนเจียงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ปิดบังศิษย์หลาน พวกข้าล้วนมีความคิดอยากให้ท่านมหาเทพขึ้นครองบัลลังก์ ถึงแม้ท่านมหาเทพจะมีความเมตตาต่อผู้คนมาเกินไป แต่ท่านก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของโลกสวรรค์”
“อืม…” อวิ๋นเจี่ยวตอบรับ ก่อนจะถามต่อ “เช่นนั้นอสูรกลืนนภาล่ะ? เรื่องมันเป็นอย่างไร”
สีหน้าของหยวนเจียงดำทะมึนลงทันที คิ้วของเขาขมวดมุ่น ก่อนจะพูดด้วยความขุ่นเคือง “ข้ากลับไปสืบเรื่องของเทพฉู่เหยียนและอสูรกลืนนภาที่โลกสวรรค์ พบว่าอสูรนี้ได้สูญสลายไปเป็นเวลานานมากแล้ว เพียงแต่ข้าได้ยินว่า ท่านมหาเทพใต้นั้นได้มอบสมบัติชิ้นหนึ่งแก่เทพฉู่เหยียนเมื่องานเลี้ยงหลายพันปีก่อน มีคนบอกว่าสมบัติชิ้นนั้น ท่านมหาเทพองค์ก่อนเป็นคนมอบให้ท่านมหาเทพใต้ ไม่มีใครรู้ว่าสมบัติชิ้นนั้นคืออะไร รู้เพียงแต่ว่ามีคนพบดินแดนที่ถูกทอดทิ้งได้ และได้มอบมันให้แก่ท่านมหาเทพ”
“ดินแดงที่ถูกทอดทิ้ง?”
“แดงที่ถูกทอดทิ้งเป็นดินแดงว่างเปล่าของโลกสวรรค์ ลือกันว่าสถานที่แห่งนั้นเคยเป็นสนามรบเมื่ออดีต หยวนเจียงอธิบาย “หลังจากที่ท่ามหาเทพใต้มอบสมบัติชิ้นนั้นให้เทพฉู่เหยียนก็ไม่มีคนเคยพบสิ่งนั้นอีกเลย”
“แล้วอสูรกลืนนภา?” อวิ๋นเจี่ยวถาม
“ข้าก็คาดวว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน!” หยวนเจียงพยักหน้า “ร่างเดิมของฉู่เหยียนคือหนูทอง เผ่าพันธุ์ของพวกเขาถึงแม้จะไม่เก่งกาจมาก แต่กลับสามารถกลืนกินสิ่งของวิเศษต่างๆ มาเพิ่มพลังให้ตนเอง ดังนั้นจึงมีสัมผัสพิเศษต่อสิ่งเหล่านี้ ข้าคาดว่าเขาคงรู้ว่าสมบัตินั้นคืออะไร ดังนั้นท่านมหาเทพใต้จึงเจตนามอบของชิ้นนี้ให้เขา พร้อมทั้งวางแผนไว้มากมาย จุดประสงค์คือยมโลก!”
“ยมโลก?” อวิ๋นเจี่ยวถาม “พวกท่านมีสัญญากับยมโลกไม่ใช่หรือ” ทำไมถึงลงมือกับยมโลกอย่างกะทันหัน
“ใช่” สีหน้าของหยวนเจียงดพลง ก่อนจะพูดต่อ “ศิษย์หลานก็รู้ ยมราชเจ็ดเมืองในยมโลก มีสองคนที่เป็นลูกศิษย์เสวียนเหมิน อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ของศิษย์น้องเล็กทั้งคู่ อีกทั้งศิษย์พี่ใหญ่ข้าเฝ้าอยู่ที่เหวยมโลกเสมอมา สามารถพูดได้ว่าสัญญาระหว่างยมโลกและสวรรค์เป็นฝีมือของสวรรค์ตะวันออก ถึงแม้จะเป็นสัญญาที่ท่านมหาเทพทุกฝ่ายยอมรับกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนจิตใจชั่วร้าย คงจะกลายเป็นว่ายมโลกยืนอยู่ฝั่งเดียวกับท่านมหาเทพตะวันออก”
“ดังนั้น…พวกเขาตะทำลายสัญญานี้?”
“…อืม” หยวนเจียงพยักหน้า
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกหงุดหงิดกับเกมแย่งชิงอำนาจนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตัวเองเล่นยังไม่พอ ยังต้องลากคนอื่นลงน้ำไปด้วย ทันใดนั้นเธอเข้าใจอาจารย์อาหยวนเจียงที่ไม่ยอมบอกเรื่องเหล่านี้กับเธอตั้งแต่แรก เพราะว่าโลกสวรรค์เดิมทีก็เต็มไปด้วยขนไก่อยู่แล้ว
“โลกสวรรค์ในตอนนี้ถึงแม้ภายนอกจะดูสงบ แต่คงจะวุ่นวายขึ้นมาสักวันหนึ่งอยู่ดี” หยวนเจียงถอนหายใจ ก่อนจะมองไปยังอวิ๋นเจี่ยว “พวกข้าเดิมทีไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพียงแต่สถานการณ์บีบบังคับ อีกทั้งท่านมหาเทพสิงซีถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว พวกข้าแค่อยากให้อาจารย์เข้าใจการเลือกของพวกข้า ดังนั้นศิษย์หลาน เจ้าช่วย…”
“ไม่ได้!” อวิ๋นเจี่ยวปฏิเสธทันควัน!
“ฮะ? อ้า!
Σ(°△°|||)︴
เมื่อกี้ที่เขาพูดไปทั้งหมด ล้วนเสียเปล่า?