ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างหันหน้าไปทางฝั่งของตัวเองมองดูร้านรวงที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมทาง บ้างก็ขายของจากโลกเก่าจำพวกเครื่องประดับที่ทำจากแก้วคริสตัล เพชร มรกต หยกขาว บ้างก็เป็นหน้าจอ LCD สารพัดขนาดกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก บ้างก็เป็นวัตถุปัจจัยจำพวกอาหารกระป๋องกับเสื้อผ้า บ้างก็ขายข้าวของจิปาถะที่เก็บรวบรวมมา
“สื่อบันเทิงจากโลกเก่า…” หลงเยว่หงอ่านข้อความบนป้ายกระดาษ
ป้ายนี้ไม่ได้ถูกแขวนห้อยเอาไว้ เพียงแค่วางไว้ด้านหน้าของร้านแห่งหนึ่ง
ร้านแผงลอยร้านนี้เน้นการซ่อมคอมพิวเตอร์จากโลกเก่าเป็นหลัก
เมื่อไป๋เฉินซึ่งกำลังขับรถอยู่ได้ยินคำที่หลงเยว่หงอ่าน เธอก็เตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
“อย่าไปยุ่งกับมันดีกว่า”
“ทำไมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงถามขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
ไป๋เฉินนึกทบทวนแล้วเล่าออกมา
“สมัยตอนที่ฉันยังเร่ร่อนอยู่ในแดนร้างน่ะ ตอนนั้นได้รู้จักกับนักล่าคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมาก น่าจะเก่งได้สักครึ่งหนึ่งของหัวหน้า”
“หือ นี่ฉันกลายเป็นมาตราวัดความเก่งไปแล้วเหรอเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งกำลังมองสำรวจถนนที่มีคนเดินกันคึกคักด้วยความสนอกสนใจก็พลันหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ไป๋เฉินไม่ได้ตอบคำที่ตนถูกสัพยอก ยังคงเล่าต่อไป
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาไปสำรวจในซากเมืองแล้วพบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่สภาพยังดี นอกจากแบตเสื่อมแล้วก็ไม่มีปัญหาอย่างอื่นอีก
“ต่อมาเขาเจอคนที่สามารถซ่อมอาการเสียเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ได้ ก็เลยแลกเปลี่ยนเอาแบตก้อนใหม่ที่ใช้งานได้มา ทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นสามารถใช้งานได้…”
เธอยังพูดไม่ทันจบก็หยุดชะงักไปเพราะว่ามีคนหนึ่งข้ามถนน ไป๋เฉินจึงต้องหลบให้
หลงเยว่หงพยายามคาดเดาเรื่องราว
“ในตอนท้ายมีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นสินะ
“สื่อบันเทิงจากโลกเก่าที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นมีอันตรายซ่อนอยู่ใช่ไหม”
“เปล่า” ไป๋เฉินตอบตามความเป็นจริง “หลังจากที่เขาค้นสื่อบันเทิงที่เก็บอยู่ข้างในนั้นออกมาได้ เขาก็หมกมุ่นขลุกอยู่กับมัน ไม่ทำการทำงาน ไม่ออกไปสำรวจซากเมืองอีกเลย อาศัยเงินออมและเส้นสายที่มีอยู่ทำการค้าเล็กๆ ในเมืองปฐมนคร แทบไม่มีอันจะกิน และยิ่งกว่านั้นนะ ขนาดตอนที่ร้านกำลังยุ่งวุ่นวายแต่เขาก็ยังไม่ยอมออกห่างจากคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น ไม่คิดว่าจะทำยังไงให้ค้าขายได้ดีขึ้นหรือขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น คิดแต่อยากจะอยู่เฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น ก้มหน้าก้มตาจิ้มแป้นพิมพ์คลิกเมาส์ไม่ยอมปล่อย”
ท้ายที่สุดไป๋เฉินก็สรุปออกมา
“เดิมทีนั้นเขาเป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้าและมีความสามารถมากคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าอาจจะมีคฤหาสน์เป็นของตัวเองก็ได้ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าปล่อยชีวิตไปวันๆ”
หลงเยว่หงตอบรับ อืม อืม เป็นระยะ
“สื่อบันเทิงโลกเก่าพวกนั้นน่ากลัวจริงๆ”
ซางเจี้ยนเย่ากลับพูดอย่างคึกคักกระตือรือร้น
“ฉันอยากลองแข่งกับมันสักตั้ง ดูว่าปณิธานความมุ่งมั่นของฉันจะสามารถเอาชนะสื่อบันเทิงจากโลกเก่าได้ไหม”
ในระหว่างที่คุยกันอยู่ หลงเยว่หงเหลือบมองดูหัวหน้าทีมก็เห็นเธอกำลังเม้มปากแน่น แก้มป่องเล็กน้อย ร่างกายสั่นเบาๆ ราวกับพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต
ก่อนหน้านี้หัวหน้าน่าจะเคยได้สัมผัสกับสื่อบันเทิงจากโลกเก่ามาบ้าง… หลงเยว่หงเพิ่งจะเกิดความคิดนี้ผุดขึ้นมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นเสียจนไม่อาจจะนั่งตัวตรงได้
“ฮ่า ฮ่า เสี่ยวไป๋ ตอนเธอทำท่าจริงจังแบบนี้ น่ารักมาก!
“ฮ่า ฮ่า…”
ไป๋เฉินเม้มปากแน่น ไม่ได้ตอบคำ
เจี่ยงไป๋เหมียนสลัดรอยยิ้มทิ้งไปจากใบหน้าแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
“แต่ว่านะ ห้ามซางเจี้ยนเย่าแตะต้องสื่อบันเทิงจากโลกเก่าพวกนั้นเด็ดขาด”
เพียงแค่รายการทางวิทยุ เพลง และการแสดงสิ้นปีก็ทำให้ซางเจี้ยนเย่ามีไอเดียบรรเจิดเสียขนาดนั้นแล้ว ถ้าขืนยังปล่อยให้เขารู้จักสื่อบันเทิงจากโลกเก่าที่มีสารพัดแนวและมากมายสารพัดเรื่อง ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“คุณไม่ไว้ใจผมเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าท้วง
“เปล่า ไม่ใช่ไม่ไว้ใจนาย แต่ฉันแค่ไม่ไว้ใจสื่อบันเทิงโลกเก่าพวกนั้นต่างหาก ฉันกลัวว่านายจะถูกมลพิษจากมันเข้าน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดสะเปะสะปะไปเรื่อยเปื่อย
เธอรู้สึกว่านี่เป็น ‘เหตุผล’ ที่น่าเชื่อถือที่สุดที่ใช้กล่อมซางเจี้ยนเย่าแล้ว
แล้วก็เป็นตามคาด ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับมา
“คุณโชคดีที่ตอนนี้ผมคือนายเย่อหยิ่ง”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาแล้วค่อยๆ ถอนหายใจ
รถจี๊ปแล่นไปครู่หนึ่ง หลงเยว่หงก็เห็นว่ามีคนอยู่แถวแท่นเวทีที่วางอยู่ข้างถนน ในมือถือหนังสือปกสีดำ บนแท่นนั้นมีคนกำลังยืนเทศน์อะไรสักอย่างให้คนรอบๆ ฟัง และยังมีคนอื่นถือหนังสือเล่มหนา พยายามเข้าไปพูดคุยกับคนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมา…
“ที่นี่มีพวกนิกายอยู่เยอะแยะจริงๆ” เมื่อหลงเยว่หงนำภาพที่เห็นมารวมกับข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ก็พลางถอนใจอย่างสะเทือนอารมณ์
เนื่องจากหุ่นสมองกลจาก ‘สวรรค์จักรกล’ นั้นไม่เชื่อเรื่องศาสนา อีกทั้งยังไม่สนใจด้วยว่าใครจะนับถือศาสนาหรือไม่ ดังนั้นจึงมีพวกนิกายต่างๆ ซึ่งเดิมทีต้องซ่อนตัว แต่เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ก็ผุดขึ้นมาเหนือน้ำราวกับดอกเห็ด ก่อสร้างโบสถ์ อาราม หอธรรม เพื่อเทศนาในที่สาธารณะ
สำหรับ ‘นิกายเตาหลอม’ ซึ่งเป็นนิกายที่สามารถดำเนินการได้อย่างเปิดเผยใน ‘สมาพันธ์หลินไห่’ อยู่แล้วจึงยิ่งไม่มีอะไรให้ต้องห่วงพะวง ไม่เพียงแต่จะสร้างโบสถ์และส่ง ‘ผู้อุทิศ’ มาเท่านั้น ยังถึงกับเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสมาคมการค้าและจุดขนถ่ายสินค้าของ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ จำนวนมากอีกด้วย
และแน่นอนว่าเงื่อนไขข้อแรกที่ทำให้ผู้เผยแผ่นิกายสามารถเผยแผ่นิกายได้ก็คือต้องมีคน ทาร์นันนั้นไม่เคยขาดแคลนผู้คน
ก่อนจะได้รับข้อมูลมาจากหานวั่งฮั่วนั้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ยังคิดว่าทาร์นันจะเต็มไปด้วยหุ่นยนต์ ส่วนมนุษย์ที่เป็นคาราวานการค้า นักล่าซากอารยะ และตัวแทนการค้าต่างๆ จะเพียงแค่เดินทางไปๆ มาๆ ซึ่งคนที่มาก็คงมีไม่มากนักเนื่องจากกองกำลังที่ได้รับอนุญาตให้ทำการค้ากับ ‘สวรรค์จักรกล’ นั้นมีเพียงไม่กี่แห่งที่รู้ถึงการมีอยู่ของทาร์นัน
ดังนั้นต่อให้กองกำลังพวกนั้นส่งคาราวานการค้ามาหลายกลุ่มและมีพวกนักล่าติดตามมาปกป้องคุ้มครองด้วยก็ตาม จำนวนประชากรของที่นี่ก็ยังไม่น่าจะเท่ากับมาตรฐานของนิคมระดับกลางด้วยซ้ำ
ทว่าในความเป็นจริงเรื่องราวกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าจะออกมาจากชุมชนศิลาแดงก็ได้รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ทราบว่าทาร์นันมีประชากรท้องถิ่นอาศัยอยู่จำนวนมาก
พวกเขามากันจากสามแหล่ง นั่นก็คือ…
พวกแรกเป็นสมาชิกของกองคาราวานและลูกๆ หลานๆ
ทาร์นันอยู่ภายใต้การควบคุมของ ‘สวรรค์จักรกล’ ห้ามต่อสู้กันเองในทาร์นัน ระเบียบและความสงบสาธารณะนั้นเป็นไปด้วยดี อีกทั้งยังมีกองกำลังติดอาวุธที่แข็งแกร่งอีกด้วย จึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องถูกโจรถูกกองกำลังอื่นโจมตี ดังนั้นสำหรับคนจำนวนมากแล้ว ที่แห่งนี้นับได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์แห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ในช่วงกลียุคและช่วงต้นนวศักราช สถานที่แห่งนี้จึงมีแรงดึงดูดยากต้านทาน ในเวลานั้นบรรดาคาราวานการค้าและกลุ่มการค้าระหว่างนครรัฐต่างๆ จึงมีคนที่ใช้ช่องทางอย่างเป็นทางการหรือไม่ก็ใช้วิธีการอื่นๆ เพื่อถ่วงเวลารั้งรอไม่กลับไปพร้อมกับกองกำลังเดิม จากนั้นก็แยกตัวออกมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรซากเมืองที่ได้รับการดูแลอย่างดีเช่นนี้ก็มีบ้านไร้เจ้าของอยู่มากมายที่ครอบครองเป็นของตัวเองได้
ในเวลานั้น ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ยังไม่ถูกก่อตั้งขึ้นมา ดังนั้น ‘สวรรค์จักรกล’ จึงมีการค้าระหว่างนครรัฐอย่างมากมายในพื้นที่แถบนี้ ภายหลังต่อมานครรัฐที่อยู่นอกเขตมลพิษพวกนี้จึงสามารถก่อตั้งเขตปกครองขึ้นมาได้ จากเขตปกครองก็จัดตั้งเป็นสมาพันธรัฐ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจาก ‘สวรรค์จักรกล’ ไม่ว่าจะช่วยส่งหุ่นยนต์อาสา ช่วยจัดหาเทคโนโลยีสกัดน้ำปนเปื้อนให้เป็นน้ำบริสุทธิ์ อีกทั้งยังช่วยต่อต้านพวก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ให้อีกด้วย และยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย
พวกที่สองคือคนเร่ร่อนแดนร้างในบริเวณนี้
เมืองอันสงบสุขซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนวัตถุปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีพได้เช่นนี้ ทำให้คลื่นมหาชนคนเร่ร่อนพากันหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย
พวกที่สามคือบรรดานักล่าซากอารยะจากต่างถิ่น
อาณาบริเวณโดยรอบของทาร์นัน ซึ่งนับรวมไปถึงเทือกเขาภูชีลาร์ด้วยนั้นมีซากเมืองอยู่มากมาย นี่ย่อมดึงดูดเหล่านักล่าซากอารยะทั้งหลาย การหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาพบเมืองแห่งนี้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และหลังจากได้พักอยู่ในทาร์นันไปสักช่วงหนึ่ง พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็ไม่คิดจะออกไปเผชิญอันตรายที่อื่นอีก เลือกจะลงหลักปักฐานในทาร์นัน ออกไปบุกเบิกถากถางพื้นที่เพาะปลูกและสำรวจซากเมืองในละแวกนี้ จากนั้นก็ก่อตั้งสมาคมนักล่าท้องถิ่นขึ้น
แน่นอนว่าเงื่อนไขข้อแรกของการก่อตั้งสมาคมนักล่าท้องถิ่นก็คือการลงนามข้อตกลงกับ ‘สวรรค์จักรกล’ เพื่อรับรองว่าการกระทำทุกอย่างของพวกนักล่าจะถูกจำกัดไว้ว่าไม่ให้เปิดเผยการดำรงอยู่ของทาร์นันต่อโลกภายนอก
เครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งข้าวของจิปาถะต่างๆ ที่ขายอยู่ตามร้านรวงแผงลอยต่างๆ นั้น ทั้งหมดล้วนแต่หามาจากซากเมืองในย่านนี้ทั้งนั้น
ก่อนหน้านี้มีนส์จากสือฟางพาณิชย์บอกว่าหุ่นยนต์ของทาร์นันไม่กินอาหาร ไม่เพาะปลูก ส่งผลให้ที่นี่มีวัตถุดิบที่ใหม่สดน้อยมาก แต่ละคนต้องอาศัยอาหารกระป๋อง บิสกิตอัดแข็ง และธัญพืชอัดแท่งเพื่อใช้ในการดำรงชีพ ซึ่งนั่นหมายถึงสำหรับ ‘คนภายนอก’
ประชากรในพื้นที่ล้วนถางที่เพาะปลูกกันบนผืนดินนี้ แต่เนื่องจากเป็นเขตหุบเขา สภาพดินจึงย่ำแย่ขาดแร่ธาตุ อีกทั้งบริเวณที่ยังมีมลพิษหลงเหลือจนไม่อาจใช้เพาะปลูกได้ก็มีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นอาหารและพืชผักที่ปลูกไว้จึงมีผลผลิตเพียงพอแค่สำหรับครอบครัวตัวเองเท่านั้น
สัตว์ที่เลี้ยงไว้เป็นอาหารก็มีขายแค่ในบางเวลาบางช่วงจังหวะเช่นกัน
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือในทาร์นันนั้น การหาซื้อวัตถุปัจจัยจำพวกแป้ง ข้าว ผัก ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่ามันมีราคาแพงมาก ไม่คุ้มค่าแม้แต่น้อย เหล่าบรรดากองคาราวานและพวกนักล่าทั้งหลายจึงเลือกออกไปซื้อหาจากพื้นที่โดยรอบแทน
ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ในที่สุดรถจี๊ปก็แล่นออกจากถนนที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ เข้าไปในเขตที่ค่อนข้างเงียบสงบ
ที่นี่ยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงจากไฟถนน ดูเหมือนว่าทาร์นันจะไม่ขาดแคลนไฟฟ้า แต่ก็มีบ้านเพียงไม่กี่หลังเท่านั้นที่มีแสงไฟสีขาวสีเหลืองสว่างออกมา
ด้านหลังบานหน้าต่างของอาคารส่วนใหญ่นั้นไร้ซึ่งผู้คน
“ผมคิดว่าทาร์นันนี่จัดว่าคึกคักเฟื่องฟูแล้วนะ แต่กลับกลายเป็นว่ายังมีคนไม่พอจะเอามาใส่ในบ้านทุกหลังในซากเมืองนี้ให้เต็มได้เลย” หลงเยว่หงเปรียบเทียบทาร์นันกับเมืองหญ้าไพร
“ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นสถานที่กึ่งปิดนี่นา” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างไม่จริงจัง
หลงเยว่หงมองไปโดยรอบแล้วก็ถอนใจด้วยความสะเทือนอารมณ์
“พอเอาไปเทียบกับซากปรักบึงหมายเลข 1 แล้ว ที่นี่ก็เป็นแค่เมืองเล็กๆ เท่านั้นเอง บนแดนธุลีไม่ว่าที่ไหนก็มีเมืองแบบนี้ทั้งนั้น
“ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย ที่นี่จะต้องมีผู้คนอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ เท่านั้น…”
แม้แต่เมืองเล็กอย่างทาร์นันที่มีคนอาศัยอยู่ไม่ถึงหนึ่งในห้าของพื้นที่เมือง สำหรับแดนธุลีในปัจจุบันนี้ก็เรียกได้ว่าคึกคักแล้ว ถ้าอย่างนั้นโลกเก่าในสมัยนั้นจะเฟื่องฟูดูมีชีวิตชีวาขนาดไหนกันนะ
ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วย
“นั่นสินะ”
จากนั้นเขาก็พูดเสริมอีก
“ดังนั้น นายอยากท่องตามฉันไหมล่ะ”
“ท่องอะไร” หลงเยว่หงงุนงงขึ้นมา
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“เพื่อช่วยมนุษยชาติทั้งหมด ข้าขอตั้งปณิธานว่า…”
คนที่ขัดจังหวะคำพูดเขาไม่ใช่เจี่ยงไป๋เหมียน แต่เป็นไป๋เฉิน
เธอจอดรถที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง
โรงแรมแห่งนี้มีชื่อว่า ‘ฝันนิทรา’ ตั้งอยู่ห่างไปสองสามร้อยเมตรจากถนนที่คึกคักมากที่สุด เดิมทีนั้นเหมือนจะเป็นร้านเหล้าของโลกเก่า ต่อมาภายหลังได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมขึ้นใหม่
ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งพ่อค้าของเถื่อนสองสามคนในชุมชนศิลาแดงแนะนำมา บอกว่าเป็นสถานที่พักอาศัยที่สะดวกสบายที่สุด
หลังจากจอดรถจี๊ปไว้หน้าโรงแรมเสร็จ พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าก็เดินผ่านประตูหมุนอัตโนมัติเพื่อไปที่แผนกต้อนรับ
ในระหว่างที่กำลังเดินผ่าน ซางเจี้ยนเย่าก็เจตนาเดินวนตามประตูหมุนไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่กำลังจะวนออกมาก็ถูกเจี่ยงไป๋เหมียนลากออกมาเสียก่อน
หลงเยว่หงเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับประตูชนิดนี้ที่สามารถหมุนได้เองเมื่อมีคนเดินเข้าใกล้
นี่เป็นอุปกรณ์การใช้งานในสายวิชาชีพที่เขาร่ำเรียนมา
ที่แผนกต้อนรับของโรงแรมมีผู้หญิงในวัยสามสิบเศษนั่งอยู่ เธอเป็นคนแดนธุลี สวมกระโปรงยาวตัวหนาที่มีสีสันสดใสสวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หน้าตาจัดว่าไม่เลว บุคลิกลักษณะค่อนข้างมีเสน่ห์
ในขณะที่เธอกำลังใช้นิ้วม้วนปอยผมที่ห้อยลงมา เธอก็พูดกับแขกด้วยรอยยิ้ม
“พวกคุณฉลาดเลือกมาก นี่ถ้าหากว่าเข้าไปในเมืองหาบ้านไม่มีคนอยู่เพื่อเข้าไปนอนพักล่ะก็ พวกคุณจะต้องเจอกับ…”
พูดถึงตรงนี้เธอก็หยุดไปอึดใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงยานคางชวนให้ขนหัวลุก
“ผี”
ซางเจี้ยนเย่าพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ที่ไหน พวกมันอยู่ไหน”
“…” ผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของโรงแรมถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที