กู้ป๋อเป็นชายชราที่รูปร่างเล็กและผ่ายผอม เส้นผมบนศีรษะนั้นบางตาและหงอกขาว ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เขาสวมเสื้อคลุมสีดำที่ทำด้วยผ้าขนสัตว์ ในมือถือกระบอกเก็บความร้อนเป็นโลหะสีเงิน เขาชี้ไปอีกฝั่งของโต๊ะทำงาน
“นั่งสิ”
หลงเยว่หงกับไป๋เฉินก้มศีรษะคำนับอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ออกมานั่งลงไป
“พวกคุณมีเรื่องอะไรให้ช่วยงั้นหรือ” ภาษาแดนธุลีของกู้ป๋อนั้นติดสำเนียงท้องถิ่นอื่นเล็กน้อย แตกต่างไปจากสำเนียงท้องถิ่นที่นี่โดยสิ้นเชิง
จากสิ่งนี้จึงทำให้หลงเยว่หงกับไป๋เฉินประเมินว่าประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่นผู้นี้น่าจะเป็นคนรุ่นแรกหรือไม่ก็รุ่นสองที่มา
จากภูมิภาคอื่น
“ประธานกู้ พวกเรามีบางเรื่องต้องการปรึกษาคุณหน่อยน่ะครับ” หลงเยว่หงตอบกลับด้วยความเกรงใจ
กู้ป๋อหัวเราะ
“ไม่ใช่ว่าต้องแจ้งภารกิจก่อนหรอกเหรอ จากนั้นผมจะดูจากค่าตอบแทนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับหรือเปล่า
“จะเป็นข้อมูลหรือข่าวสารก็ดี ต่างก็มีราคาค่างวดกันทั้งนั้น”
“…” หลงเยว่หงถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ทำได้เพียงแค่ทอดถอนใจด้วยอารมณ์ พลางคิดว่าสมแล้วที่เขาเป็นนักล่าอาวุโสของสมาคมท้องถิ่น เป็นนักล่าโดยสายเลือดจริงๆ
ไป๋เฉินตอบอย่างใจเย็น
“คุณฟังคำถามของเราก่อนก็ได้ แล้วค่อยตัดสินใจว่าต้องการค่าตอบแทนเท่าไหร่ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องผ่านสมาคมหรอก”
กู้ป๋อเปิดฝากระบอกเก็บความร้อน ดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง
“ผมน่ะแก่จนปูนนี้แล้ว กลัวว่าเกิดพวกคุณกลับคำ ไม่รักษาคำพูดขึ้นมา แล้วจะทำยังไง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นมิกลายเป็นว่าเนื้อไม่ได้กิน แถมยังเอากระดูกมาแขวนคออีก ค่าตอบแทนก็ไม่ได้รับซ้ำยังกลับถูกทุบตีด้วย”
หลงเยว่หงเห็นเขายิ่งทีก็ยิ่งพูดไปกันใหญ่ ทำให้อดคิดถึงซางเจี้ยนเย่าขึ้นมาไม่ได้
ในเวลาแบบนี้ หมอนั่นสามารถชักใบให้เรือเสียได้อย่างแน่นอน
“คุณเป็นถึง ‘ราชันนักล่า’ ของท้องถิ่น ยังต้องกลัวเรื่องแบบนี้ด้วยหรือไง” ไป๋เฉินมองดูกู้ป๋อแล้วย้อนถามกลับไป
เมื่อคืนนี้หลงเยว่หงได้สอบถามเรื่องของกู้ป๋อมาบ้างแล้ว รู้ว่าเดิมทีนั้นเขาเป็น ‘นักล่าอาวุโส’ มาก่อน ต่อมาถึงกลายเป็นประธานสมาคม อีกทั้งยังได้รับตำแหน่ง ‘ราชันนักล่า’ อันทรงเกียรติอีกด้วย
“ชายชาตรีไม่โอ้อวดความกล้าในอดีต ” กู้ป๋อหัวเราะเยาะตัวเอง “คนเราน่ะ พอแก่ตัวไป ร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรงกระฉับกระเฉงเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
เมื่อพูดล้อเล่นไปพอหอมปากหอมคอ เขาก็เปลี่ยนสีหน้ากลับคืน
“ว่ามาเถอะ บอกมาว่าต้องการรู้อะไร เดี๋ยวผมจะตัดสินใจเองว่าจะจัดการยังไง”
หลงเยว่หงหยิบปากกาหมึกซึมและสมุดโน้ตขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ขยับตัวจัดท่าเตรียมจดเนื้อหาลงไปพร้อมกับเอ่ยปากถามขึ้น
“ประธานกู้ คุณยังจำคนที่ชื่อแม็กซิเมียนได้หรือเปล่า”
“หือ” กู้ป๋อมีสีหน้างุนงง
หลงเยว่หงรีบยกประเด็นสำคัญขึ้นมาเตือนความจำให้เขาทันที
“เป็นคนที่ทาง ‘สวรรค์จักรกล’ ประกาศให้รางวัลตามหาตัวเมื่อตอนช่วงต้นๆ ของนวศักราชน่ะ”
กู้ป๋อนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่งถึงจะพูดออกมา
“อ้อ เขานั่นเอง นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายสิบปีแล้ว คุณถามหาเขาไปทำไม
“หรือว่าคุณมีเบาะแสของเขา ไม่ก็ทายาทของเขางั้นเหรอ”
ท่านผู้อาวุโสช่างมีจินตนาการสูงส่งยิ่งนัก… หลงเยว่หงแอบค่อนแคะในใจ จากนั้นก็อธิบายโดยย่อ
“พวกเราต้องการพบ ‘ซอร์สเบรน’ ก็เลยอยากจะหาของอะไรที่ทำให้ ‘สวรรค์จักรกล’ สนใจไปเสนอน่ะครับ”
“งั้นพวกคุณก็เก็บสะสมแร่โลหะไปทำการค้าครั้งใหญ่กับ ‘สวรรค์จักรกล’ สิ ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสก็ได้นา” กู้ป๋อรู้สึกว่าความคิดของเจ้าหนุ่มนี่ออกจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไปหน่อย “ที่ตามหาแม็กซิเมียนน่ะ มันผ่านมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ป่านนี้คงตายไปแล้วละมั้ง”
“พวกเรารับผิดชอบแค่งานด้านนี้เท่านั้นน่ะ” คำพูดประโยคนี้ของไป๋เฉินปิดตายคำแนะนำของกู้ป๋อทันที
กู้ป๋อคลายเกลียวเปิดฝากระบอกเก็บความร้อนอีกครั้ง แล้วจิบอีกคำเพื่อให้คอชุ่มชื่น
“ถ้างั้นผมจะขอพูดตามตรงก็แล้วกัน ไม่ต้องการค่าตอบแทนจากพวกคุณด้วย ในตอนนั้นผมไม่พบเบาะแสอะไรแม้แต่น้อย คนผู้นี้ไม่ได้อยู่ในเขตภูชีลาร์แน่นอน และถ้าอยู่จริงๆ ก็คงไปนอนเล่นในท้องสัตว์ป่าหรือไม่ก็ ‘คนไร้ใจ’ ไปแล้ว”
“เขามีลักษณะยังไงเหรอ แล้วตอนนั้นประกาศรางวัลตามหาของ ‘สวรรค์จักรกล’ เขียนไว้ว่ายังไง” หลงเยว่หงจดคำตอบไปพลาง ถามต่อไปพลาง
“เขามีลักษณะยังไงนะเหรอ…” กู้ป๋อนึกทบทวน “ตอนนั้นมีภาพถ่ายอยู่ แล้วก็มีคำอธิบายอยู่บ้าง… คนคนนี้สูง 180 กว่า ร่างกายกำยำ ผมสีทอง ตาสีฟ้า จมูกค่อนข้างโต หน้าตาดูดี เห็นว่าได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพพันธุกรรมมา…”
ในสถานที่บางแห่งนั้นเรียกการปรับปรุงพันธุกรรมว่าการเพิ่มประสิทธิภาพพันธุกรรม นี่เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจนประสบความสำเร็จตั้งแต่ก่อนโลกเก่าจะถูกทำลายลง ทว่าในภายหลังต่อมามันก็ขาดช่วงไปจากบรรดากองกำลังส่วนใหญ่ของมนุษยชาติ มีเพียงแค่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ และ ‘ชุมนุมอัศวินขาว’ เท่านั้นที่ยังคงมุ่งหน้าต่อไปในเส้นทางสายนี้ และปรับปรุงจนกระทั่งมีความสมบูรณ์มากเพียงพอ
หลงเยว่หงจดบันทึกข้อมูลอย่างรวดเร็ว ส่วนกู้ป๋อก็เล่าต่อไป
“ผมรู้สึกว่าเขาเหมือนพวกนักรบมากกว่านักวิทยาศาสตร์เสียอีก แต่ในประกาศรางวัลของ ‘สวรรค์จักรกล’ ก็เน้นย้ำตัวตนของเขาไว้เป็นพิเศษ
“นอกจากนั้นก็คือประกาศนี้ไม่มีรางวัลให้ บอกแค่ว่าหากหาตัวบุคคลผู้นี้พบ ทาง ‘สวรรค์จักรกล’ จะตอบรับคำขอให้หนึ่งเรื่อง ขอเพียงแค่คำขอนั้นไม่ส่งผลถึงความอยู่รอดของ ‘สวรรค์จักรกล’ และอยู่ในขอบข่ายที่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้”
งั้นส่งกองทัพหุ่นยนต์มาให้สักกองหนึ่งสิ ฉันจะได้เอาไปกอบกู้โลก… เมื่อได้ยินว่าขออะไรก็ได้ หลงเยว่หงจึงอดจำลองความคิดของซางเจี้ยนเย่าขึ้นมาไม่ได้
แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจเพราะรู้สึกว่าความนี้ออกจะธรรมดาไปหน่อย ยังไม่ถึงขั้นวิธีคิดของซางเจี้ยนเย่า
แล้วตอนนี้ไป๋เฉินก็ถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“บอกแค่ว่าให้หาคน แต่ไม่ได้บอกว่าหาทำไมงั้นเหรอ”
“ไม่ได้บอก” กู้ป๋อสั่นศีรษะ
“งั้นได้มีการเน้นย้ำบ้างหรือเปล่าว่าให้ปกป้องสิ่งของอะไร หรือว่าให้ติดตามข้อมูลอะไร” ไป๋เฉินถามต่อ
“เปล่า ไม่มีทั้งนั้นแหละ บอกแค่ว่าให้คุ้มครองเป้าหมายให้รอดชีวิต” กู้ป๋อยังคงมีความทรงจำลึกซึ้งในเรื่องนี้อยู่บ้าง
หากมีเรื่องที่ถามมาพวกนี้ เขาก็ยังพอจะมีแนวทางให้สืบหาบ้าง คงไม่เจอทางตันเช่นนั้นเป็นแน่
“จดเรื่องนี้ลงไปด้วยนะ” ไป๋เฉินกำชับหลงเยว่หงประโยคหนึ่ง
จากประสบการณ์ของเธอ นี่พอจะประเมินเบื้องต้นได้ว่า ประกาศรางวัลของ ‘สวรรค์จักรกล’ ที่ให้ตามหาตัวแม็กซิเมียนนั้นโดยหลักแล้วมุ่งเน้นไปที่ตัวบุคคล หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ว่าเขาเคยทำอะไรไว้ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเขาได้นำสิ่งของหรือข้อมูลอะไรไป
เธอกับหลงเยว่หงถามเพิ่มอีกสองสามคำถามแต่เป็นเพราะเวลาล่วงเลยมานานปี กู้ป๋อจึงไม่อาจจดจำได้อย่างชัดเจน
หลังจากอำลาด้วยมารยาทและออกจากสมาคมนักล่าแล้ว หลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็มุ่งไปยังทิศทางของ ‘นิกายเตาเผา’ เพื่อเตรียมไปสมทบกับเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า จะได้หารือว่าจะทำเช่นไรกันต่อ
ระหว่างเดินไปข้างหน้า หลงเยว่หงก็แปลกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าตลอดสองข้างทางนั้นมีแผงลอยแผงริมทางอยู่ไม่น้อย ส่วนห้องแถวชั้นล่างของทั้งสองฝั่งถนนนั้นกลับปิดสนิท ไม่มีพ่อค้าแม่ขาย ยกเว้นห้องที่มีป้ายชื่อจำพวก ‘สมาคมการค้า…’ ‘ร้านของชำ…’
เขาเดินไปที่แผงแบกะดินร้านหนึ่งแล้วถามเจ้าของแผงด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงไม่ไปขายในร้านล่ะ มานั่งตากแดดตากฝนอยู่ตรงนี้ทำไม”
เป็นเพราะเคยอยู่เมืองหญ้าไพรมา เขาจึงรู้ว่าแผงลอยข้างถนนนั้นเป็นเช่นไร
และเขาก็จำได้ว่าในข้อมูลที่ชุมชนศิลาแดงให้มานั้น มีข้อหนึ่งบอกว่า…
‘ที่ทาร์นัน อาคารบ้านเรือนที่ไร้เจ้าของสามารถจับจองเป็นของตนได้ หากไม่ใช้งานในระยะยาวก็ไม่สามารถทำเรื่องขอกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินกับหุ่นสมองกลได้’
เจ้าของแผงริมทางรายนี้เป็นผู้หญิงวัยสามสิบ มีผิวหยาบกร้าน ใบหน้าคล้ำแดด
เธอใช้ภาษาแดนธุลีตะกุกตะกัก สำเนียงค่อนไปทางชุมชนศิลาแดง
“ไปใช้ร้านก็ต้องซ่อมเองทำความสะอาดเอง ฉันจะไปหาวัตถุปัจจัยมากมายขนาดนั้นจากไหนมาจ่ายได้ล่ะ
“ต่อให้เราตั้งขายอยู่ริมถนน พวกหุ่นยนต์นั่นก็ไม่ว่าอะไรหรอก ถ้ามีฝนตกฉันก็แค่กางร่มคันใหญ่ๆ แถมยังใช้ไฟฟ้าได้ฟรีอีกด้วย”
พอพูดมาถึงตอนท้าย เธอก็ชี้นิ้วไปยังไฟถนนเหนือศีรษะ
อ้อ พอมีร้านค้า เวลาใช้ไฟก็ต้องจ่ายค่าใช้ด้วยงั้นสินะ… หลงเยว่หงผงกศีรษะว่าเข้าใจ
เป็นเพราะได้ถามคำถามอีกฝ่ายไป หากจะสะบัดก้นจากไปทันทีเขาก็รู้สึกไม่ดี จึงนั่งยองลงไปมองดูสินค้าของเจ้าของแผง
มีหนังสือที่หลงเหลือมาจากโลกเก่า กระดาษเหลืองกรอบหมดแล้ว นอกจากนั้นก็มีเครื่องประดับจำพวกหยก เพชรพลอย แล้วก็ข้าวของจิปาถะจากโลกเก่า
พอคิดไปคิดมาหลงเยว่หงก็หันไปถามไป๋เฉินที่ลงมานั่งยองข้างกาย
“ถ้าจะให้ของกับผู้หญิงอายุมากกว่า เธอว่าแบบไหนดีล่ะ”
“ให้แม่… นาย…” ไป๋เฉินเข้าใจความหมายที่แท้จริงของหลงเยว่หงได้ไม่ยาก
หากพูดคำว่า ‘แม่’ กับ ‘นาย’ ติดกันก็รู้สึกตงิดๆ นิดหน่อย ดังนั้นไป๋เฉินจึงจงใจเว้นวรรค
“ใช่” นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หลงเยว่หงจึงยอมรับออกมาตามตรง
ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าที่เพิ่งออกมาจากโบสถ์เตาหลอมก็มองเห็นสหายร่วมทีม จึงเร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้แล้วหาที่นั่งยองลงไป
หลังจากถามจนเข้าใจคำขอของหลงเยว่หงแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา
“ฉันอนุญาตเป็นพิเศษให้นายเอาวัตถุปัจจัยที่มีไปแลกเครื่องประดับได้ เอาไว้กลับไปค่อยหักออกจากแต้มส่วนร่วม”
ไป๋เฉินชี้ไปที่กำไลข้อมือหยกสีเขียววงหนึ่ง
“ดูจากอายุของแม่นาย น่าจะชอบแบบนี้นะ
“ถึงแม้ว่าตอนนี้อาจจะดูไม่ค่อยสวย แต่พอสวมไว้นานๆ มันก็จะยิ่งเป็นเงาแวววาว
“นักล่าซากอารยะผู้หญิงบางคนที่ฉันรู้จักในสมัยก่อนเคยเอาไปขายแล้วไม่มีคนซื้อก็เลยสวมไว้เอง แล้วต่อมาฉันก็เห็นว่ามันดูสวยขึ้น”
“ใช่ๆๆ” เจ้าของร้านได้ยินไป๋เฉินพูดก็รีบเออออห่อหมกด้วยทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ค่อยได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้มากนัก และก็ชอบเครื่องเพชรที่มีประกายแวววาวสดใสมากกว่า ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมา เธอกวาดสายตาไปมองดูหนังสือพวกนั้นแทน
แล้วเธอก็พบว่าซางเจี้ยนเย่าหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ
อ่านอะไรของนายน่ะ… ด้วยความสงสัย เจี่ยงไป๋เหมียนจึงก้มศีรษะลงไปมองปกหนังสือเล่มที่อยู่ในมือซางเจี้ยนเย่า
แล้วชื่อหนังสือก็ปรากฏต่อสายตาเธอในทันที
‘คู่มือการฝึกเป็นนักแสดงด้วยตัวเอง’
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าจนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี
หลังจากที่ต่อรองกันเสร็จ พวกเขาก็แลกอาหารหนึ่งกระป๋องกับกำไลหยก และอีกหนึ่งกระป๋องสำหรับหนังสือสี่เล่ม โดยเล่มที่เหลืออีกสามเล่มนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนเป็นคนเลือกเอง
เมื่อจัดการอาหารเที่ยงอันแสนจะเรียบง่ายและฝืดคอกันแล้ว สมาชิกทั้งสี่คนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไม่มีเรื่องอะไรจะทำกันอีก จึงไม่ได้ออกไปเดินเตร่ที่ไหน บ้างก็นอนพักหลังมื้อเที่ยง บ้างก็นั่งเก้าอี้นั่งโซฟาหยิบหนังสือที่เพิ่งซื้อออกมาอ่าน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีกเสมอ เมื่อใกล้ถึงเวลาเย็น จู่ๆ ก็พลันมีเสียงเอะอะดังขึ้นจากที่ไกล
“เกิดเรื่องขึ้นเหรอเนี่ย” หลงเยว่หงมองไปยังทิศทางต้นเสียงแล้วพูดพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย
“ไปดูกันเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าได้เวลาต้องออกไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย
คนทั้งสี่ออกจากโรงแรม ‘ฝันนิทรา’ เดินไปยังถนนเลียบน้ำ
ไม่นานพวกเขาก็ค้นพบที่มาของเสียงเอะอะ
นั่นคือสมาคมนักล่า
ตอนนี้เสียงเอะอะสงบลงแล้ว แต่ก็ยังมีคนจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย สีหน้าแต่ละคนล้วนเคร่งขรึม
เมื่อพวกของเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าก้าวเข้าไปในสมาคมก็มองเห็นรายการภารกิจปรากฏหราอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่ทันที
‘…สืบสวนเรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่เขตภูเขาตะวันตกเฉียงใต้…’
ไหนเกอนาวาบอกว่าจะส่งยามจักรกลไปแก้ปัญหาไงล่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนเลื่อนสายตาลงมา พลางเกิดความสงสัยอยู่ครามครัน แต่แล้วเธอก็พบคำอธิบายในทันที
‘…ยามจักรกลทั้งสิบตัวขาดการติดต่อไป…’
* * * * *