เผยเทียนอี้รู้จักกับอิ๋งเย่ว์เซวียนมาหนึ่งปีแล้ว เขาชอบรุ่นน้องคนนี้มาก
มีความตั้งใจ รักความก้าวหน้า ไม่ใช่คนจับจดเพราะตัวเองเกิดในตระกูลเศรษฐี
ด้วยเหตุนี้พอเห็นโอกาสดีอะไรเผยเทียนอี้ก็จะแย่งมาให้อิ๋งเย่ว์เซวียน
เขารู้ว่าจะมีคณะนักวิจัยมาที่ประเทศจีน เพียงแต่ตอนแรกสุดไม่รู้ว่าจะมาที่โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ ต่อมาพอทราบข่าวเขาก็ยื่นเรื่อง ถึงได้ติดตามมาด้วย
อันที่จริงรู้ภาษาอังกฤษยุคกลางหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือคนที่มาต้อนรับพวกเขาจะต้องเป็นอิ๋งเย่ว์เซวียน
เมื่อเป็นแบบนี้อีกหน่อยอิ๋งเย่ว์เซวียนก็จะมีโอกาสได้แสดงความสามารถมากขึ้น
พอได้ยินเผยเทียนอี้พูดแบบนี้อาจารย์เติ้งก็หุบยิ้ม ขมวดคิ้วแน่นขึ้น “พูดแบบนี้แสดงว่านักศึกษาเผยชำนาญภาษาอังกฤษยุคกลางเหรอคะ”
ตอนที่เธอไปเรียนประวัติศาสตร์ที่ยุโรปก็เคยเรียนภาษาอังกฤษยุคกลางอยู่ระยะหนึ่ง
เพราะหนังสือจำนวนหนึ่งมีแค่ฉบับภาษาอังกฤษยุคกลาง
“ไม่ถึงกับชำนาญครับ ก็แค่พอรู้ผิวเผิน” เผยเทียนอี้ตอบ “ผมรู้ว่าคำขอของผมอาจฟังดูเกินไป แต่อาจารย์เติ้งน่าจะทราบดีว่า การมาต้อนรับคณะนักวิจัยจะได้เรียนรู้อะไรมากมาย”
อาจารย์เติ้งทราบในจุดนี้
คณะนักวิจัยคณะนี้มาจากโรงเรียนเอลานและโรงเรียนมัธยมหลายแห่งของยุโรป นอกจากอาจารย์จำนวนหนึ่ง ศาสตราจารย์หัวหน้าคณะก็มีชื่อเสียงมากในระดับสากล
เธอถึงได้ให้อิ๋งจื่อจินมาต้อนรับ
เผยเทียนอี้พูดขึ้นมาอีกครั้ง “อีกอย่างผมกับเย่ว์เซวียนก็สนิทกันด้วย เวลาสื่อสารก็จะง่ายหน่อย”
ขณะพูดเขาได้หยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ “ตัดสินใจกะทันหัน นี่เป็นของขวัญเล็กน้อยแสดงความขอโทษ รบกวนฝากอาจารย์เติ้งเอาไปให้นักเรียนคนนั้นด้วยนะครับ”
พูดถึงตรงนี้อาจารย์เติ้งก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว จำต้องพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ”
ในคณะนักวิจัยมีลูกหลานของชาวจีนโพ้นทะเลอยู่ ทำให้การสื่อสารสะดวกมาก
จากนั้นอาจารย์เติ้งก็กลับไปที่ห้องพักครูก่อน ครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากอย่างไร สุดท้ายก็คิดว่าพูดไปตามตรงดีกว่า
พอฟังจบ สีหน้าของอิ๋งจื่อจินก็ชะงักเล็กน้อย เธอเลิกคิ้ว “ภาษาอังกฤษยุคกลางเหรอคะ”
“พวกเธออาจไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของภาษาอังกฤษ” อาจารย์เติ้งพยักหน้า “ภาษาอังกฤษโบราณคือช่วงศตวรรษที่ห้าถึงศตวรรษที่สิบสอง ต่อมาได้วิวัฒนาการกลายเป็นภาษาอังกฤษยุคกลาง หลังจากศตวรรษที่สิบหก ภาษาอังกฤษยุคกลางก็เริ่มถูกทำให้ง่ายขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นภาษาอังกฤษยุคปัจจุบันที่พวกเราเรียนกันอยู่ตอนนี้”
อิ๋งจื่อจินคิด “พอทราบมาบ้างค่ะ”
เธอเคยใช้ชีวิตอยู่กับพวกเชื้อพระวงศ์ในประเทศอังกฤษอยู่นานมาก เป็นโหราจารย์ของพวกเขา
ซึ่งก็ถือได้ว่าเธอเห็นวิวัฒนาการของภาษาอังกฤษยุคกลางว่าเปลี่ยนมาเป็นภาษาอังกฤษยุคปัจจุบันอย่างไร
“ตอนแรกอยากให้เธอได้เรียนรู้จากพวกเขา อาจารย์ไม่ดีเอง” อาจารย์เติ้งถอนหายใจ ยื่นของขวัญให้ “นี่เป็นของขวัญขอโทษจากพวกเขา”
อิ๋งจื่อจินไม่ถือสา เธอพยักหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ในเมื่อหนูไม่จำเป็นต้องไปแล้วงั้นหนูกลับห้องแล้วนะคะ”
อาจารย์เติ้งพยักหน้า “ไปเถอะ”
…
ห้องสิบเก้า
“เอ๊ะ พ่ออิ๋ง” ซิวอวี่ที่กำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ พอเห็นอิ๋งจื่อจินกลับมาก็ตกใจ “ไหนว่าตามอาจารย์ไปช่วยต้อนรับคณะนักวิจัยไง”
“มีคนไปแล้ว” อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้ สีหน้าผ่อนคลาย “ดีจริงๆ”
เดิมทีเธอก็ไม่ได้อยากเอาเวลาของตัวเองไปต้อนรับคณะนักวิจัย ก็แค่เพราะอาจารย์เติ้งขอมา เธอถึงได้จะทำ
“ใครกันจิตใจดีขนาดนี้” ซิวอวี่ได้ฟังก็เลยถามดู แต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไร “พอดีเลย พอดีเลย เธอว่างแล้ว มาช่วยฉันปั่นโหวตดีกว่า”
“อะไรเหรอ” อิ๋งจื่อจินหันมา เห็นหน้าโหวตคะแนนในโทรศัพท์มือถือของซิวอวี่
รายการวัยรุ่นสร้างฝัน 202 ครั้งนี้ไม่เหมือนกับซีซั่นแรก ยังไม่ได้เริ่มแข่งขันอย่างเป็นทางการก็มีการปล่อยข้อมูลของผู้เข้าแข่งขันทั้งร้อยเอ็ดคนออกมาแล้ว ตอนนี้เป็นการโหวตความนิยม
ซิวอวี่ลูบคาง “เวลาอารมณ์เสีย ดูคนหล่อก็หายแล้ว”
“แล้วลูกชายเธอล่ะ” เจียงหรานได้ยินเสียงก็เงยหน้าถามประชด “เปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้เลยเหรอ”
“นายจะไปเข้าใจอะไร” ซิวอวี่ไม่สนใจเขา “ลูกชายฉันก็ยังเป็นลูกชายอยู่นั่นแหละ ตัวคั่นเวลาจะสู้ตัวจริงได้ไง”
เจียงหราน “…”
หลังจากอิ๋งจื่อจินช่วยซิวอวี่โหวตเสร็จก็มีข้อความวีแชทเข้า
จั่วหลีส่งมา
[นักเรียนอิ๋ง ศูนย์ฟิสิกส์สากลประกาศโจทย์ยากออกมาข้อหนึ่ง เกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมกับฟิสิกส์อวกาศ เธออยากลองดูไหม]
อิ๋งจื่อจินยังไม่ทันตอบข้อความที่สองก็ตามมาติดๆ
[อาจารย์สืบมาแล้ว มีเงินให้ ใครแก้โจทย์ได้ก่อนจะได้เงินรางวัลมากถึงหนึ่งล้านดอลลาร์!!!]
เครื่องหมายตกใจสามอันข้างท้ายเพราะกลัวเธอจะไม่อยากลองทำ
อิ๋งจื่อจินนวดศีรษะ ตอบกลับสั้นๆ
[งั้นก็ได้ค่ะ]
หนึ่งนาทีต่อมาจั่วหลีก็ส่งโจทย์เข้าอีเมลของเธอ
อิ๋งจื่อจินกวาดตาอ่านหนึ่งรอบแล้วปิดไปก่อน เธอหันไป “เธอว่า ผู้ชายคนนึงชอบพูดว่า ‘เด็กน้อย เรียกพี่ชายให้ฟังหน่อยสิ’ แถมช่วงนี้ยังกล้ามากกว่าแต่ก่อนด้วย มันหมายความว่าไง”
“อื้อหือ” ซิวอวี่ตกใจเกือบทำโทรศัพท์ตก “ใครช่างกล้าพูดกับเธอแบบนี้”
คนในชิงจื้อที่ชอบอิ๋งจื่อจินมีเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่มีแค่ไม่กี่คนที่กล้ามาสารภาพตรงๆ
“ยังต้องให้พูดอีกเหรอ” ซิวอวี่ประคองตัวให้มั่นคง “แบบนี้ถ้าไม่ใช่ชอบเธอจะเป็นอะไรได้”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด “ฉันว่าไม่น่าใช่”
“หา? ทำไมล่ะ” ซิวอวี่ไม่เข้าใจ “สัญญาณมันชัดมากเลยนะ”
“เพราะ…” อิ๋งจื่อจินค่อยๆ เปิดฝาแก้วน้ำ “เขาก็พูดแบบนี้กับน้องชายฉัน เรียก ‘พี่ชาย’ ให้ฟังหน่อย”
ซิวอวี่ “…”
…
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากเผยเทียนอี้ดูแลความเรียบร้อยให้พวกอาจารย์กับศาสตราจารย์แล้วเขาก็ไปหาอิ๋งเย่ว์เซวียน
การปรากฏตัวของเขาเป็นที่ฮือฮาในคลาสเด็กอัจฉริยะมาก ต่างส่งสายตาอิจฉาไปที่อิ๋งเย่ว์เซวียน
ตอนนั้นโควตาไปยุโรปมีแค่โควตาเดียว จงจือหว่านไม่ไปก็ย่อมตกเป็นของอิ๋งเย่ว์เซวียน
อิ๋งเย่ว์เซวียนก็รู้สึกเซอร์ไพร้ส์มาก เธอเดินตามเผยเทียนอี้ออกไป “รุ่นพี่ มาด้วยเหรอคะ”
“ใช่ มาด้วย” เผยเทียนอี้ยิ้ม “อยากเซอร์ไพร้ส์เธอ เลยไม่ได้บอก พี่ไม่ได้กลับมาที่จีนนานมาก เลยอาศัยโอกาสนี้กลับมาเยี่ยมพอดี”
เขาหยุดเล็กน้อย ขมวดคิ้วพลางพูด “ทำไมทางชิงจื้อถึงไม่เลือกเธอไปต้อนรับล่ะ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปาก “เพราะฉันยังเก่งไม่พอ”
“เก่งไม่พอเหรอ” เผยเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “ถ้าอย่างเธอเก่งไม่พอจะได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ยุโรปได้ยังไง”
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่ตอบ
“ช่างเถอะ พี่บอกให้อาจารย์ของโรงเรียนเปลี่ยนคนต้อนรับเป็นเธอแล้ว” เผยเทียนอี้เห็นสีหน้าของอิ๋งเย่ว์เซวียนแปลกไปจึงไม่เซ้าซี้ถามต่อ “เธอจะได้มาช่วยพวกเราแปลหนังสือพอดีด้วย ยังจำภาษาอังกฤษยุคกลางที่เรียนตอนนั้นได้ไหม”
“ขอโทษด้วยค่ะรุ่นพี่ ตอนนั้นเรียนไปนิดเดียว” อิ๋งเย่ว์เซวียนอึ้ง พูดขอโทษ “พอฉันกลับมาก็ไม่ค่อยได้ทบทวนเท่าไร เกือบลืมไปหมดแล้ว”
ถ้าไม่ใช่คนที่ศึกษาทางด้านภาษาศาสตร์ เสียเวลาเรียนภาษาอังกฤษยุคกลางก็ไม่มีประโยชน์อะไร
อย่างไรเสียตอนนี้ก็นำไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้แล้ว และเธอก็ยังมีอีกหลายเรื่องต้องทำ
แต่การที่เธอได้ไปต้อนรับคณะนักวิจัยแทนอิ๋งจื่อจินก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
อิ๋งเย่ว์เซวียนสะบัดหน้า ควบคุมตัวเองไม่ให้คิด
“ไม่เป็นไร” เผยเทียนอี้ไม่แคร์ นี่ก็อยู่ในความคาดหมายของเขา “เธอคอยตามพี่ก็พอแล้ว ปีหน้าเธอยังต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่จำเป็นต้องตั้งใจกับเรื่องแบบนี้”
อิ๋งเย่ว์เซวียนพูด “ขอบคุณรุ่นพี่มากค่ะ”
“พี่ติดตามรอบคัดเลือกไอเอสซีด้วยนะ” เผยเทียนอี้พูดต่อ “อันดับของเธอสูงมากแล้ว ได้เข้ารอบนานาชาติแน่นอน ที่พี่มาครั้งนี้เป็นเพราะสงสัยอันดับหนึ่งของชาร์ตรวมด้วย คนที่อยู่อันดับหนึ่งเก่งมากจริงๆ เรียกได้ว่าขั้นเทพเลยล่ะ”
เขาถอนหายใจ “เธอไม่รู้หรอกว่า ศาสตราจารย์ที่พี่รู้จักอยากรออันดับหนึ่งของชาร์ตรวมคนนี้ปรากฏตัวมาก เพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกับ ‘เขา’”
“รุ่นพี่ อันดับหนึ่งชาร์ตรวมปรากฏตัวแล้ว เป็นเจ้าของช่องไลฟ์สด” อิ๋งเย่ว์เซวียนบอก “ฉันยังได้ดูไลฟ์ของ ‘เขา’ ด้วย”
เผยเทียนอี้รู้สึกเหนือความคาดหมาย “เจ้าของช่องไลฟ์สดเหรอ งั้นเธอส่งชื่อมาให้หน่อยสิ คืนนี้พี่จะกลับไปดู”
อิ๋งเย่ว์เซวียนเขียนตัวเลขยาวๆ ให้
เขารับมาแล้วพยักหน้า “ไปเถอะ พี่จะพาไปพบศาสตราจารย์”
…
บ้านตระกูลฟู่
ซูหร่วนไม่รู้เรื่องที่ซูเหลียงฮุยเอาชื่อเธอไปสร้างเรื่องในเน็ต
ถึงแม้เธอจะยังคงนึกเสียใจเรื่องที่ผิดสัญญาแต่งงานในตอนแรก
ถ้าไม่ได้ทำแบบนั้น เธอคงได้กลายเป็นผู้หญิงที่พวกคุณหนูไฮโซในตี้ตูอิจฉากันหมดแล้ว
แต่ช่วยไม่ได้ ซูหร่วนรู้ว่าถ้าเธอไปหาฟู่อวิ๋นเซินอีกก็มีแต่จะโดนหยามเกียรติ เธอจึงล้มเลิกความคิด
ฟู่อี้หันก็ไม่ได้แย่ เป็นนายใหญ่ของตระกูลฟู่ในตอนนี้
หลังจากที่ฟู่หมิงเฉิงกับคุณนายฟู่ถูกเอาตัวไป เธอก็ไม่ต้องปวดหัวเรื่องพ่อแม่สามี และก็ไม่ต้องทนน้อยอกน้อยใจอะไรด้วย
เพียงแต่ช่วงหลายวันมานี้ฟู่อี้หันยุ่งเรื่องที่บริษัทอยู่ตลอด ไม่ได้กลับบ้าน
แต่วันนี้เลขาของเขาโทรมาบอกว่าฟู่อี้หันจะกลับมาตอนเย็น เธอจึงตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษ
และฟู่อี้หันก็ลับมาตอนหนึ่งทุ่มจริงๆ
“อี้หัน” ซูหร่วนวิ่งลงมาจากชั้นบน สายตาออดอ้อน “ใกล้ถึงวันเกิดคุณแล้ว ฉันจองแพ็กเกจท่องเที่ยวเอาไว้ พวกเราไปเที่ยวด้วยกันนะคะ”
เธอกับฟู่อี้หันยังไม่มีลูก ถ้ามีลูกได้จะเป็นการดีที่สุด
ซูหร่วนรู้ดีว่า ฟู่อี้หันเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากและก็ไม่มีทางเหมือนลูกหลานตระกูลเศรษฐีบ้านอื่นที่จะออกไปเที่ยวเละเทะข้างนอก
ขอเพียงแต่มีลูกได้ สถานะของเธอในตระกูลฟู่ก็จะมั่นคง
ไม่ว่าอย่างไรฟู่อวิ๋นเซินก็ยังต้องเรียกเธอว่าพี่สะใภ้
ฟู่อี้หันมองเธอด้วยสายตาเย็นชา ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขายื่นเอกสารในมือให้เธอ น้ำเสียงไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย “เซ็นสิ”
ซูหร่วนอึ้ง “อะไรเหรอ”