อาจารย์และศาสตราจารย์ที่ดูแลเด็กนักเรียนของแต่ละประเทศ รวมถึงบรรดาผู้ชมที่นั่งเฝ้าหน้าเว็บไอเอสซีมาตลอดรีบกดโหลดหน้าเว็บอย่างรวดเร็วแล้วกดดูชาร์ตอันดับรวม
พอได้เห็นพวกเขาทุกคนก็ช็อคหนัก
อันดับ หนึ่ง : ชื่อผู้ใช้งานถูกซ่อน ประเทศจีน หนึ่งหมื่นสี่พันสี่ร้อยหกแปด คะแนน
อันดับ สอง : อแมนด้า สหรัฐอเมริกา แปดพันแปดร้อยเก้าสิบสี่ คะแนน
…
อันดับ ห้า : เซี่ยงซุ่น ประเทศจีน หกพันหกร้อยสี่สิบสี่ คะแนน
[อื้อหือ ฉันจะเป็นบ้าแล้ว อ๊ากกก ประเทศเราติดห้าอันดับแรกสองคน! ถามหน่อย ยังมีใครอีกไหม!]
[พวกคนที่บอกว่าประเทศจีนไม่ไหว ไม่ทราบว่าตอนนี้หน้ายังอยู่ดีไหม]
[สุดยอด เอาคืนแบบหน้าหงาย นี่แหละที่เรียกว่าเอาคืนอย่างสาสม! ถูกนำมาสองรอบแล้วยังคิดไม่ได้อีกเหรอ ยื่นหน้ามาให้ตบอยู่เรื่อยเจ็บไหมจ๊ะ]
ก่อนล็อกชาร์ตพวกเขาเห็นคะแนนเดิมของอันดับหนึ่งว่าถูกอแมนด้าทิ้งห่างไปเกือบสามพัน แม้แต่สิบอันดับแรกก็ไม่เฉียดใกล้
แต่ภายในเวลาสี่ชั่วโมงกลับขึ้นนำอแมนด้าไปเกือบหกพันคะแนน
นี่ก็แสดงว่าไม่เพียงแต่ผู้เข้าแข่งขันคนนี้จะทำโจทย์เร็ว ยังตอบไม่ผิดสักข้ออีกด้วย
รอบคัดเลือกมีกติกาอยู่ว่า ยิ่งตอบถูกต่อเนื่องมากเท่าไร คะแนนก็จะยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ
คราวนี้มีคนจำนวนเยอะมากกว่าเดิมทะลักเข้าแพลตฟอร์มฉลามไลฟ์สด พากันไปทิ้งข้อความไว้ที่ห้องไลฟ์ของช็อคโกแลตมูส
จากการคาดเดาของบรรดาแฟนคลับ ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่คนนี้น่าจะเป็นนักกิน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางตั้งชื่อห้องไลฟ์แบบนี้
…
อิ๋งจื่อจินไม่ได้เข้าเน็ตเลยไม่รู้ว่ามีคนมากมายนั่งเฝ้าห้องไลฟ์สดของเธออยู่
เพราะหลังจากที่เธอเร่งทำโจทย์เสร็จ โทรศัพท์มือถือก็ถูกยึดไป
เธอเหลือบมองฟู่อวิ๋นเซิน
“คุณอยากเป็นพ่อของฉันจริงๆ ด้วย”
ครั้งนี้เธอไม่ได้ขี้เกียจ แต่เป็นเพราะมีเรื่องยุ่งมาตลอดเลยไม่มีเวลาเข้าไปทำโจทย์
หลังจากที่เธอศึกษาตำราเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมกับจักรวาลอวกาศที่เกอร์เวนให้มาจบ เธอถึงมีเวลาว่าง
เพียงแต่ไม่ประจวบเหมาะจริงๆ ที่เป็นวันสุดท้ายแล้ว เธอถึงจงใจบอกเวินเฟิงเหมียนว่าวันนี้มีธุระ ต้องค้างคืนข้างนอก
ไม่อย่างนั้นเวินเฟิงเหมียนได้สับคัทเอาท์ตอนสี่ทุ่มตรงอีกครั้งแน่
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ต่างกัน
ฟู่อวิ๋นเซินนั่งอยู่ที่โซฟา เหลือบตาขึ้น ริมฝีปากโค้งมน เขายิ้ม
“เรื่องนั้นยังไม่อยาก เรียกพี่ชายพอแล้ว”
“ทำโจทย์จนตาสว่าง” อิ๋งจื่อจินกลับพบว่าตัวเองไม่มีความง่วงแม้แต่น้อย “ไม่อยากนอน”
“เอนตัวลงสักพักก็หลับแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินยืนขึ้น
“เด็กน้อย ถ้ายังไม่นอนอีก ที่พี่ชายเลี้ยงไปจะสูญเปล่า รู้ไหมว่าจะสูญเสียสารอาหารบำรุงร่างกายไปเท่าไร”
“ไม่เอา ไม่อยากนอนตอนนี้” อิ๋งจื่อจินพิงเตียง ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็หันขวับ
“คุณบอกใช่ไหมว่าฉันจะรบกวนคุณอย่างไรก็ได้”
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว “คราวนี้ในที่สุดก็นึกถึงพี่ชายแล้วเหรอ”
“งั้นเล่าเรื่องก่อนนอนให้ฟังหน่อย ไม่เอานิทานนะ” อิ๋งจื่อจินหยุดเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเสริม
“ยิ่งมีจุดหักมุมยิ่งดี อย่าให้ฉันเดาตอนจบออกตั้งแต่ตอนแรก”
“…”
ฟู่อวิ๋นเซินนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอิ๋งจื่อจินจะขอให้ทำอะไรแบบนี้
แต่ก็ถือว่าเขาได้ค้นพบงานอดิเรกของเด็กน้อยแล้ว
สาวน้อยของเขา นอกจากตามใจแล้วเขายังจะทำอะไรได้อีกเหรอ
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เรื่องเล่าก่อนนอนได้ผลจริง
ฟู่อวิ๋นเซินเล่าได้ไม่นาน อิ๋งจื่อจินก็ผล็อยหลับไป
เขาเดินเข้าไปห่มผ้าให้เธอ ยืนมองเงียบๆ อยู่สักพักแล้วถึงออกจากห้องไป
ฟู่อวิ๋นเซินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรกลับ พอมีคนรับเขาก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ว่ามา”
ปลายสายคือประธานไอบีไอ
อันที่จริงเขาโทรมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน แต่ฟู่อวิ๋นเซินไม่รับ
ประธานนึกถึงข่าวลือในไอบีไอ เขาเก็บความสงสัยไว้ก่อน เริ่มพูดเรื่องงานอย่างจริงจัง
“ผู้บัญชาการ สืบพบข้อมูลสำคัญครับ”
“นอกจากมอนด์ที่เป็นนักสะกดจิตแล้ว ข้อมูลของอีกสามคนเป็นของปลอมทั้งหมด แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือ ในระบบไม่มีข้อมูลที่แท้จริงของพวกเขา เปรียบเทียบในคลังรอยนิ้วมือกับคลังดีเอ็นเอก็ไม่พบข้อมูลของสามคนนี้ครับ แต่พวกเราพบสัญลักษณ์ขนาดเล็กในฟันของพวกเขา เป็นหัวกะโหลกสีดำ สัญลักษณ์นี้เหมือนกับระเบิดจิ๋วกับระบบพิกัดครับ แต่ตอนนี้ถูกกำจัดแล้ว ผู้บัญชาการวางใจได้ครับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้พวกเราสงสัยว่าพวกเขาจะเป็นอิทธิพลมืด ไอบีไอสั่งให้ยอดฝีมือจำนวนหนึ่งเริ่มตามสืบทั่วโลกแล้วครับ แต่ว่าคนไม่พอ คาดว่าน่าจะคืบหน้าค่อนข้างช้า”
ฟู่อวิ๋นเซินก้มหน้า ออกจากหน้าจอสนทนาแล้วเปิดข้อความภาพที่ประธานส่งให้
ในนั้นมีรูปเดียว ซึ่งก็คือสัญลักษณ์หัวกะโหลกสีดำ
สายตาของเขาค่อยๆ เย็นชาลง
ตอนนั้นที่ฟู่หลิวอิ๋งถูกฆ่า เขาซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้หลังคา ทำได้แค่มองผ่านซี่ไม้กระดาน
เขาไม่เห็นใบหน้าของคนพวกนั้น แต่เห็นสัญลักษณ์ที่อยู่บนเสื้อ ก็เป็นรูปหัวกะโหลกสีดำแบบนี้เหมือนกัน
ฟู่อวิ๋นเซินเดินไปจนสุดทางเดินแล้วมองไปนอกหน้าต่างเงียบๆ
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนเขาก็จะสูญเสียการควบคุมตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หลายปีมานี้เขาต้องใช้ยาช่วยระงับอาการ
แต่เขาก็ไม่ได้โกหกอวี้เสวี่ยเซิง หลังจากที่รู้จักอิ๋งจื่อจิน หนึ่งปีมานี้เขาก็ไม่ได้รับการรักษาด้วยการสะกดจิตอีก จำนวนครั้งที่กินยาก็ลดลงไปมาก
เธอเปรียบเสมือนขอนไม้ที่ลอยอยู่ ช่วยให้เขาไม่จมลงสู่ก้นน้ำลึก
ไม่ว่าคนที่ลักพาตัวเกอร์เวนจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเมื่อยี่สิบปีก่อนหรือไม่ เขาก็ต้องไปจัดการแล้ว
“อวิ๋นซาน ฉันจะไปจากฮู่เฉิงสักหน่อย ประมาณสิบวัน” ฟู่อวิ๋นเซินโทรศัพท์อีกครั้ง น้ำเสียงเรียบเฉย
“คุ้มกันเธอด้วยห้ามเกิดข้อผิดพลาด ภายใต้เงื่อนไขนี้ฉันอนุญาตให้นายเสียสละได้ทุกอย่าง”
พอได้ยินประโยคสุดท้ายอวิ๋นซานก็ใจหายวาบ
“ครับคุณชาย”
…
ณ คฤหาสน์ตระกูลอิ๋ง
หลังจากจงมั่นหวาส่งอิ๋งเย่ว์เซวียนไปโรงเรียนแล้ว พ่อบ้านก็มารายงาน
“ตระกูลเจียงเหรอ” จงมั่นหวาอึ้ง “ตระกูลเจียงจะมาได้อย่างไร”
นับตั้งแต่อิ๋งลู่เวยถูกจับเข้าคุกมีโทษหนัก ตระกูลเจียงก็ถอนหมั้น
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งทะเลาะกับเยี่ยซู่เหอครั้งใหญ่จบกันไม่สวย ทั้งสองครอบครัวแทบจะหันหลังใส่กัน ไม่ได้ติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว
จงมั่นหวายังแอบรู้สึกโชคดีที่กิจการของตระกูลอิ๋งกับตระกูลเจียงไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรต้องขัดแย้งในทางธุรกิจ ไม่อย่างนั้นถ้าตระกูลเจียงโจมตีตระกูลอิ๋งแบบนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย
“ไม่แน่ใจครับ” พ่อบ้านส่ายหน้า “แต่ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องด่วน”
จงมั่นหวาขมวดคิ้ว “เชิญเข้ามาก่อน”
เยี่ยซู่เหออายุพอๆ กับเธอ แต่เพราะแต่งงานกับผู้เฒ่าเจียงก็เลยมีลำดับอาวุโสมากกว่าเธอหนึ่งรุ่น
ต่อให้จงมั่นหวาจะไม่พอใจแค่ไหนก็จนปัญญา
พ่อบ้านพยักหน้าแล้วรีบไปจัดการ
สิบนาทีต่อมาเยี่ยซู่เหอก็มาพร้อมคนรับใช้ของตระกูลเจียง
ในมือของเธอมีลูกประคำ พอเข้ามาก็เริ่มเข้าประเด็น
“รบกวนหน่อยนะคุณนายอิ๋ง ที่ฉันมาเพราะอยากพูดเรื่องหมั้นหมาย”
ถึงแม้เยี่ยซู่เหอจะไม่อยากให้เจียงมั่วหย่วนแต่งงานกับลูกเลี้ยงที่ถูกไล่ออกจากตระกูล แต่ในเมื่อมาแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ
“หมั้นหมายเหรอ” จงมั่นหวาอึ้ง “หมั้นหมายใคร”
เยี่ยซู่เหอยังไม่แก่ ดังนั้นเดิมทีเจียงมั่วหย่วนแทบจะเด็กกว่าคนที่อยู่รุ่นเดียวกับเขาหนึ่งรอบ
ตอนนั้นอิ๋งลู่เวยถึงถูกจับคู่กับเจียงมั่วหย่วนได้
ตอนนี้อิ๋งลู่เวยติดคุกไปแล้ว ลำดับรุ่นของเจียงมั่วหย่วนก็เลยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน
คนรุ่นเดียวกันมีลูกอยู่มอปลายแล้ว
แต่ถ้าแต่งกับคนรุ่นถัดมา ชื่อเสียงก็จะไม่สู้ดีเท่าไร
“ลูกเลี้ยงที่มั่วหย่วนรับมาจากอำเภอชิงสุ่ยคนนั้น” เยี่ยซู่เหอพูด
“เขาต้องการแต่งกับเด็กคนนั้น ฉันก็เลยมาสู่ขอเลือกวันมงคล”
จงมั่นหวาตะลึงสุดขีด “ว่าไงนะ!”
เจียงมั่วหย่วนต้องการแต่งงานกับอิ๋งจื่อจินงั้นเหรอ
“เป็นไปไม่ได้!” จงมั่นหวาปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด โมโหจนหัวเราะ
“ตระกูลเจียงไม่อาย แต่ตระกูลอิ๋งอาย”
“คุณนายอิ๋ง เดิมทีพวกเราสองตระกูลก็เกี่ยวดองกัน” เยี่ยซู่เหอไม่แคร์
“เกี่ยวดองกันอีกครั้งมันจะมีอะไรไม่ดี พวกเรายังสามารถผนึกกำลังกันให้แข็งแกร่งได้อีกด้วย ขอเพียงแต่แข็งแกร่งพอคนอื่นยังจะกล้าพูดอะไรอีกเหรอ”
จงมั่นหวายังคงปฏิเสธ “คุณนายผู้เฒ่าเจียง ต้องทราบก่อนว่าเด็กคนนั้นไปจากตระกูลอิ๋งแล้ว ฉันทำให้เธอเชื่อฟังไม่ได้ แล้วจะหมั้นหมายได้อย่างไร อีกอย่าง อย่าลืมนะว่ายังมีตระกูลฟู่ ฟู่อวิ๋นเซินจะยอมเหรอ”
เธอเองก็นึกไม่ถึงว่าฟู่อวิ๋นเซินจะเป็นผู้บริหารระดับสูงของวีนัสกรุ๊ป
จงมั่นหวาก็นึกเสียใจมากเช่นกัน
ถ้าเธอกับอิ๋งจื่อจินไม่ทะเลาะกันจนมองหน้าไม่ติดแบบนี้ ไม่เท่ากับตระกูลอิ๋งได้ใกล้ชิดกับวีนัสกรุ๊ปไปแล้วเหรอ
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่กล้าไปมีเรื่องกับฟู่อวิ๋นเซิน เดิมทีอยากไปรับอิ๋งจื่อจินกลับมา ก็ไม่กล้าอยู่แล้ว เว้นเสียแต่จะมีวันนั้นที่ฟู่อวิ๋นเซินรำคาญอิ๋งจื่อจินแล้ว
จงมั่นหวาเชื่อว่าอีกไม่นานคงถึงวันนั้น
ประธานของวีนัสกรุ๊ป มีคุณหนูไฮโซตั้งเท่าไรที่อยากแต่งงานด้วย
“เรื่องนี้คุณนายอิ๋งไม่ต้องเป็นห่วง ฉันแค่มาแจ้งให้ทราบ” เยี่ยซู่เหอตอบ
“อย่างไรฉันเชิญตัวมาได้แน่ อีกทั้งตระกูลฟู่ยิ่งไม่เกี่ยวเข้าไปใหญ่ ตอนนี้ฟู่อวิ๋นเซินไม่อยู่ฮู่เฉิง นี่ต่างหากโอกาสดี”
ประธานโซนเอเชียแปซิฟิกของวีนัสกรุ๊ป รวยน่ะรวยอยู่หรอก แต่คงไม่มีฝีมือต่อสู้อะไร
จงมั่นหวาไม่กล้า แต่เธอกล้า
เยี่ยซู่เหอจิบชา นั่งรออยู่ที่โซฟา
…
โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ
หลังจากเลิกเรียนตอนบ่าย อิ๋งจื่อจิน ซิวอวี่ เจียงหราน รวมถึงเพื่อนๆ ในห้องสิบเก้าต่างพากันไปกินข้าวที่ถนนตะวันตก
เพิ่งออกมาจากร้านอาหารก็ถูกขวางไว้
บอดี้การ์ดสามสิบคนขวางทางอยู่
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า
หนึ่งในบอดี้การ์ดก้าวขึ้นหน้า “คุณอิ๋ง คุณนายผู้เฒ่าของพวกเราเชิญหน่อยครับ”
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่เขาได้ยื่นมือไปเพื่อจับบ่าของอิ๋งจื่อจิน