หรือแม้กระทั่งเสียงหายใจก็ไม่ได้ยิน
มีแต่ความเงียบ
เจียงหรานวางตะเกียบลง หัวใจราวกับถูกมือใหญ่ขย้ำ เขาเรียกอีกครั้ง “แม่?”
ทว่าปลายสายยังคงไม่มีเสียง ถึงแม้หูของเจียงหรานจะไม่ไวเท่าหลิงฉงโหลว แต่ก็เหนือกว่าคนทั่วไปมาก ความเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิดล้วนหนีไม่พ้นหูของเขา
อีกทั้งโทรมาแล้วเป็นแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของเจียงฮว่าผิง
เจียงฮว่าผิงโทรหาเขาไม่มีทางไม่พูดอะไร
เกิดเรื่องแล้ว หลังจากที่คำนี้ผุดขึ้นในสมองของเจียงหราน ลมหายใจของเขาก็ถี่เร็วขึ้น
เจียงหรานตั้งสติ พูดครั้งที่สาม เขาแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่อง
“แม่ พูดสิ ทำไมทุกครั้งชอบทำให้ลูกชายตัวเองตกใจอยู่เรื่อย”
“ไม่มีอะไร”
น้ำเสียงราบเรียบเป็นเสียงของเจียงฮว่าผิง
แต่เจียงหรานฟังออกว่าน้ำเสียงของแม่ดูไม่ชอบมาพากล
“ไม่มีอะไรก็ดี” เจียงหรานแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อ “คิดว่าแม่จะมาอัดผมอีกแล้วเสียอีก”
ทางนั้นกดตัดสายทิ้งไปทั้งแบบนี้
เจียงหรานรีบเปิดระบบพิกัดในโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว บนนั้นมีจุดสีแดงกะพริบอยู่ตลอด
จุดสีแดงอยู่ห่างจากเขาแปดร้อยกิโลเมตร
นี่คือพิกัดของเจียงฮว่าผิง
ตระกูลหลิงเป็นตระกูลที่มีความพิเศษมากในวงการจอมยุทธ์ ตระกูลหลิงไม่มีความคิดแบบคนหัวโบราณ
ตระกูลจอมยุทธ์ตระกูลอื่นปฏิเสธเทคโนโลยี และอาวุธสมัยใหม่
พวกเขาคิดว่าจอมยุทธ์แข็งแกร่งมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง อีกทั้งยังตั้งกฎที่เข้มงวด
ถ้าสมาชิกของตระกูลไหนถูกพบว่าใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่อยู่นอกเหนือจากที่ตระกูลกำหนดไว้ ก็จะต้องถูกลงโทษ
แต่ตระกูลหลิงไม่ใช่ หลิงฉงโหลวตั้งใจให้สมาชิกในตระกูลพกปืนกันทุกคน ถึงแม้กำลังภายในของจอมยุทธ์เมื่อฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งจะสามารถกันได้แม้แต่กระสุน
แต่มีอยู่คำพูดหนึ่งที่ว่าความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นหรือไม่
มีหลักประกันเพิ่มขึ้นหนึ่งอย่างบางครั้งก็ช่วยชีวิตได้
เจียงหรานไม่คิดอะไรอีก เขาหยิบเสื้อคลุมแล้วออกจากคอนโด ไม่กลัวไม่เกิดเหตุ แต่กลัวจะเกิดขึ้นแล้วนี่สิ
เจียงฮว่าผิงฝึกจอมยุทธ์ไม่ได้ หลิงฉงโหลวกลุ้มใจเรื่องนี้มาก ทำได้เพียงให้เธอพกอาวุธที่ดีที่สุดและมีคนคุ้มกัน มีคนคุ้มกันทั้งหมดสองคน แต่ฝีมือเรียกได้ว่าจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของตระกูลหลิง
ว่ากันตามเหตุผล เมื่ออยู่นอกวงการจอมยุทธ์หากคนทั่วไปมีเจตนาร้ายกับเจียงฮว่าผิง ก็ไม่สามารถแม้แต่จะเข้าถึงตัวเธอได้ถูกคนคุ้มกันทำให้สลบหมด
เจียงหรานสงสัยว่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตระกูลหลิงมาที่ฮู่เฉิงแล้วหรือเปล่า
ถ้าเป็นตระกูลจอมยุทธ์เหมือนกัน ก็มีความสามารถที่จะลงมือกับเจียงฮว่าผิงได้
เขาเสิร์ชดูอีกครั้งว่าห่างออกไปแปดร้อยกิโลเมตรคือสถานที่อะไร มีเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่าหนานเฉิง
ตอนเจียงหรานเตรียมจองตั๋วเครื่องบินกลับพบว่าฮู่เฉิงไม่มีเที่ยวบินไปที่หนานเฉิง แม้แต่รถไฟความเร็วสูงก็ไม่มี รถไฟขบวนเดียวที่ไปถึงก็เป็นรถไฟธรรมดา ต้องใช้เวลาเดินทางสิบแปดชั่วโมง
เจียงหรานร้อนใจเหลือเกิน เขาโทรหาซิวอวี่เพื่อขอยืมรถแข่งของเธอ เขาไม่ได้บอกซิวอวี่ว่าสงสัยว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเจียงฮว่าผิงแล้ว บอกแค่ว่าเขาอยากหนีการไล่ฆ่าของพ่อ
เจียงหรานออกรถ มุ่งหน้าด้วยความเร็วสูง
ขอให้ไม่เกิดอะไรขึ้นจะดีที่สุด
…
เวลานี้ที่เมืองหนานเฉิง
ภายในห้องเช่า
“เจียงฮว่าผิง” เยี่ยซู่เหอถือปืนอยู่ในมือ จ่อที่หน้าผากของผู้หญิงในชุดกี่เพ้า พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉันให้เธอโทรแล้ว ตอนนี้ปิดเครื่องแล้วโยนทิ้งซะ”
เจียงฮว่าผิงนั่งบนเก้าอี้ เหลือบมองเยี่ยซู่เหอเล็กน้อย ไม่พูดอะไร โยนโทรศัพท์มือถือทิ้ง
เยี่ยซู่เหอรับมาแล้วหยิบเชือกเส้นหนึ่งมัดสองแขนของเจียงฮว่าผิง
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเจียงฮว่าผิงจะดิ้นไม่หลุดเธอถึงวางใจ
“เจียงฮว่าผิง เธอนี่มันจิตใจดีจริงๆ นะ” เยี่ยซู่เหอนั่งลงตรงข้ามเจียงฮว่าผิง หมุนโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็โยนลงอ่างเลี้ยงปลาที่อยู่ข้างๆ ส่ายหน้าพลางพูด
“เธอมันเหมือนแม่เธอไม่มีผิด ใจดีจนทำให้ตัวเองต้องตาย”
เยี่ยซู่เหอยิ้ม พูดเสียดสี “ทำไมเธอถึงกล้ามาหาฉันคนเดียวล่ะ คิดจริงเหรอว่าฉันจะไม่ทำอะไรเธอ”
เจียงฮว่าผิงไม่ตอบ
“แต่ฉันเป็นคนรักษาคำพูด ในเมื่อเธอมาคนเดียว งั้นฉันก็จะเล่าให้ฟัง” เยี่ยซู่เหอดื่มด่ำกับสภาพจนตรอกของเจียงฮว่าผิง พูดขึ้น
“เธออาจไม่รู้ว่าตอนนั้นแท้จริงแล้วแม่เธอเป็นคนพาฉันเข้าบ้านตระกูลเจียง”
“ตอนนั้นฉันขอทานอยู่ข้างถนน แม่เธอเห็นฉันน่าสงสารก็เลยพาฉันไป ซื้อชุดใหม่ให้ พาไปหาของกิน บอกว่าต่อไปจะส่งเสียฉันเรียนหนังสือ”
คุณนายผู้เฒ่าเจียงคนก่อนเป็นไฮโซที่แท้จริง ช่วยเหลือคนชราที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวกับเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือมาตลอด
เจียงฮว่าผิงก็รู้
“แต่น่าเสียดายที่แม่เธอไม่รู้ว่าเอางูพิษเข้าบ้าน” เยี่ยซู่เหอพูด
“แค่เรียนหนังสือมันจะไปพออะไร ฉันได้เห็นแล้วว่าตระกูลเจียงมีอำนาจขนาดไหน แน่นอนว่าต้องอยากได้มากกว่านั้น”
“เธออาจยังไม่รู้ว่า ฉันก็ถือเป็นหมอแผนโบราณคนหนึ่ง”
ตอนที่พูดถึง ‘หมอแผนโบราณ’ เยี่ยซู่เหอดูภูมิใจมาก
ตามคาด สีหน้าของเจียงฮว่าผิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หมอแผนโบราณเหรอ”
“ฉันวางยาพ่อเธอ” เยี่ยซู่เหอยิ้ม
“เป็นยาที่สามารถทำลายประสาทไปทีละนิด เธอเคยได้ยินการผ่าตัดสมองกลีบหน้าไหมล่ะ สุดท้ายพ่อของเธอก็จะกลายเป็นแบบนั้น ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้”
เจียงฮว่าผิงย่อมรู้จักการผ่าตัดสมองกลีบหน้า
สมองครึ่งซีกแบ่งออกเป็นสี่กลีบ กลีบหน้ากินพื้นที่หนึ่งในสาม
เมื่อสมองกลีบหน้าถูกตัดออกไป มนุษย์ก็จะสูญเสียความสามารถหลายอย่างรวมถึงนิสัยเดิมที่เคยมี
สิ่งเดียวที่เหมือนคนปกติก็คือการหายใจ
การผ่าตัดแบบนี้เคยถูกใช้กับผู้ป่วยโรคประสาทที่ยากเกินกว่าจะควบคุมมาตลอด
ต่อมามีกฎหมายควบคุม การผ่าตัดสมองกลีบหน้าถึงได้ถูกยกเลิกไป
เจียงฮว่าผิงพอเดาได้ว่าเยี่ยซู่เหอทำบางอย่างกับผู้เฒ่าเจียง แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้
เธอมองเยี่ยซู่เหอด้วยสายตาเย็นชา
“โกรธมากใช่ไหมล่ะ หา แน่นอน เธอต้องโกรธอยู่แล้ว” เยี่ยซู่เหอหัวเราะ
“ใครใช้ให้พวกเธอเป็นคนธรรมดาล่ะ ไม่เคยได้ยินคำว่าแพทย์แผนโบราณกัน ต่อให้พ่อเธอไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเป็นประจำก็ตรวจไม่เจอหรอกว่ายาพวกนั้นคืออะไร”
ถุงหอมใบนั้นถูกตรวจพบเป็นเพราะในนั้นเป็นสมุนไพร
“ฉันทำลายประสาทเขาทีละนิด จากนั้นก็จงใจให้แม่เธอเห็นว่าฉันอยู่กับพ่อเธอ” เยี่ยซู่เหอเดินไปข้างตัวเจียงฮว่าผิง แต่ละคำพูดเสียงเบา
“ตอนนั้นเดิมทีแม่เธอก็สุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว แถมยังรักกับพ่อของเธอปานจะกลืนกิน ย่อมทนเห็นภาพบาดตาบาดใจไม่ได้ ไม่นานก็ป่วยตาย”
“ฉันก็เลยได้แต่งกับพ่อของเธอ กลายเป็นนายหญิงตระกูลเจียง”
“แน่ล่ะ ตอนนั้นพ่อของเธอแก่มากแล้ว มีเหรอที่ฉันจะยอมเสียตัวให้ มั่วหย่วนน่ะ เป็นลูกของฉันกับคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ”
“แต่พ่อเธอไม่รู้ ฉันบังคับให้เขาเขียนพินัยกรรมยกเจียงซื่อกรุ๊ปให้มั่วหย่วน ไม่แบ่งหุ้นให้เธอแม้แต่น้อย”
“แต่ก็เหนือความคาดหมายของฉัน ก่อนตายพ่อของเธอกลับฟื้นคืนสติ” เยี่ยซู่เหอถอนหายใจเบาๆ
“เธอรู้หรือเปล่าว่าคำพูดสุดท้ายของเขาคืออะไร”
“เขาขอให้ฉันปล่อยเธอกับเจียงเฉิงจวินไป แล้วเขาจะยกเจียงซื่อกรุ๊ปทั้งหมดให้ฉัน”
ความจริงปรากฏ
เจียงฮว่าผิงหลับตา
เธอเกลียดผู้เฒ่าเจียงมาสิบกว่าปี แต่ก่อนผู้เฒ่าเจียงตาย คำขอเพียงอย่างเดียวคือเธอกับเจียงเฉิงจวิน
“แต่อย่าหวังว่าฉันจะปล่อยเธอไป ฉันชอบเห็นคนตระกูลเศรษฐีอย่างพวกเธอคุกเข่าอ้อนวอนฉัน” เยี่ยซู่เหอยิ้ม “เธอยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งคืน ทะนุถนอมช่วงเวลาที่เหลือซะ เจียงฮว่าผิง”
…
ภายในคอนโดใจกลางเมือง
อิ๋งเทียนลี่ว์สะดุ้งตื่น
เหงื่อไหลจากหน้าผาก ซึมเปียกหมอนและเสื้อผ้า
เขาดูเวลา หกโมงเช้า ฟ้ายังไม่สว่าง
แต่อิ๋งเทียนลี่ว์กลับรอไม่ไหว เขาล้างหน้าล้างตา รีบใส่เสื้อผ้า ขับรถไปที่คอนโดของครอบครัวเวินทันที
ยี่สิบนาทีต่อมาอิ๋งเทียนลี่ว์ก็มายืนหอบอยู่หน้าประตูกดกริ่ง
ไม่มีเสียงจากด้านใน เขากดอีกครั้ง หลายสิบวินาทีให้หลังถึงได้ยินเสียงฝีเท้า ประตูถูกเปิดออก
พอเห็นอิ๋งจื่อจินเขาก็โล่งอก
อิ๋งจื่อจินยืนอยู่ตรงประตู สองมือกอดอก สีหน้าเย็นชา
“คุณควรรู้สึกโชคดีนะที่วันนี้ฉันตื่นเช้า”
เธอมีนิสัยขี้หงุดหงิดมากหากถูกปลุก ใครก็แก้ไม่ได้
ถ้าใครมาฝืนปลุกเธอเป็นได้โดนอัด
“ขอโทษที” อิ๋งเทียนลี่ว์กลับยิ้ม เขาโล่งใจ “แต่เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า
เธอสังเกตเห็นว่าอิ๋งเทียนลี่ว์ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตผิดหลายเม็ด
นี่แทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับอิ๋งเทียนลี่ว์ เขาเป็นคนเนี้ยบมาตลอด ไม่มีผิดพลาด
“จื่อจิน ฟังก่อนนะ” อิ๋งเทียนลี่ว์ตั้งสติแล้วถึงพูดขึ้น
“เธออาจจะไม่เชื่อ แต่มันก็น่ากลัวมากจริงๆ พี่ฝันเห็น…”
เขากำมือแน่น ชะงักเล็กน้อย
“เมื่อคืนพี่ฝันเห็นเธอตายบนเตียงผ่าตัดตอนที่กำลังบริจาคเลือดให้อิ๋งลู่เวย”