เวลานี้เป็นเวลาเลิกเรียนพอดี มีคนเดินผ่านไปผ่านมาตรงประตูโรงเรียน ผู้ปกครองกับนักเรียนเยอะพอสมควร
โดยเฉพาะบุคคลที่มีเรื่องคืออิ๋งจื่อจินกับอิ๋งเย่ว์เซวียน
สองคนนี้เป็นคนดังของชิงจื้อ อิ๋งจื่อจินยิ่งแล้วใหญ่ แทบจะถูกนักเรียนมัธยมปลายทั้งสามชั้นปียกให้เป็นเทพด้านการเรียน
กอปรกับมีเมิ่งหรู
เมิ่งหรูแต่งตัวด้วยชุดที่กำลังเป็นที่นิยมมากที่สุดในตี้ตู คนละสไตล์กับฮู่เฉิง
แต่มองออกได้ไม่ยากว่าเป็นคุณนายตระกูลเศรษฐี อีกทั้งยังบุคลิกโดดเด่น
เด็กนักเรียนหลายคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างหยุดเดิน ทั้งสงสัยและตกใจในเวลาเดียวกัน
อิ๋งจื่อจินก็หยุดเดิน หันหน้ามา
ดวงตาหงส์เย็นชาและเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ดุจหิมะบนเขาที่อยู่ไกลสายตา
เลือนราง เจือไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและสูงส่ง
สีหน้าของเมิ่งหรูหยุดชะงัก เกือบเสียมาดเพราะสายตาที่มองมาของอิ๋งจื่อจิน
แค่ลูกเลี้ยงทำไมถึงได้มีบุคลิกที่น่ากลัวแบบนี้
อิ๋งเย่ว์เซวียนเลือกที่จะเข้าไปหาอิ๋งจื่อจินตอนนี้ นอกจากเพราะอยากเจออิ๋งเทียนลี่ว์จริงๆ แล้ว เธอยังอยากให้เมิ่งหรูเห็นอีกด้วย
เพราะเธอรู้ว่าอิ๋งจื่อจินไม่มีทางสนใจเธอ
แอบมีความรู้สึกอยากอวดอิ๋งจื่อจินหน่อยๆ ว่าเธอก้าวเข้าไปอยู่ตี้ตูครึ่งเท้าแล้ว
“คุณป้า ขายขำเหรอ” ซิวอวี่ก็หันมา มือข้างหนึ่งวางบนไหล่ของอิ๋งจื่อจิน มืออีกข้างชี้เมิ่งหรู “พี่เพ่ออะไรกัน ขอร้องงั้นเหรอ รู้หรือเปล่าว่าตระกูลอิ๋งทำอะไรกับจื่อจินของพวกเราไว้”
คำพูดนี้ทำให้อิ๋งเย่ว์เซวียนกับเมิ่งหรูอึ้งพร้อมกัน
อิ๋งเย่ว์เซวียนพอจะรู้ว่าซิวอวี่ต้องการพูดอะไร แต่เธอห้ามไม่อยู่
“คุณป้า ไปถามนักเรียนคนอื่นดูได้เลย มีใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลอิ๋งเห็นจื่อจินเป็นคลังเลือดมีชีวิต คลังเลือดมีชีวิตน่ะป้าเข้าใจไหม” ซิวอวี่พูดอย่างเย็นชา “จื่อจินเกือบตายในตระกูลอิ๋งแล้ว ตอนนี้จะมาขอให้เธอช่วยงั้นเหรอ แล้วก่อนหน้านี้ไปไหนมา”
พวกนักเรียนที่หยุดดูพากันพูดขึ้น
“นั่นสิ ถึงคนทำจะเป็นอิ๋งลู่เวย แต่เทพอิ๋งไม่ใช่แม่พระสักหน่อย ทำไมเธอต้องให้อภัยตระกูลอิ๋งด้วย”
“ยังจะมีหน้าพูดเรื่องสั่งสอนเทพอิ๋ง ถ้าเป็นฉันนะ คนตระกูลอิ๋งมาหาฉันกระโดดถีบแล้ว”
สีหน้าของอิ๋งเย่ว์เซวียนเริ่มซีดลงทีละนิด
“ดังนั้นนะป้า ฉันขอเตือนป้าว่าถ้าไม่รู้อะไรก็อยู่เงียบๆ ดีกว่า รู้ไหมว่าทำไมปู่ของเสี่ยวหมิงถึงอายุยืนถึงเก้าสิบปี แต่ป้าอยู่ได้แค่ห้าสิบ” ซิวอวี่ทำเสียงจึ๊ “เพราะปู่ของเสี่ยวหมิงไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไง”
นักเรียนที่อยู่รอบๆ ต่างส่งเสียงจึ๊ มองด้วยสายตาหยามเหยียด
ก่อนเมิ่งหรูจะแต่งเข้าตระกูลหยวนก็เป็นสาวไฮโซแห่งตี้ตูเหมือนกัน ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี แต่พอถูกซิวอวี่พูดแบบนี้ใส่ก็โมโหหน้าดำหน้าเขียว
อีกทั้งยังไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเธอแบบนี้
ถึงแม้ตระกูลหยวนจะไม่ติดสิบอันดับแรกของตี้ตู แต่ก็เป็นตระกูลขนาดกลาง มีอิทธิพลในระดับหนึ่ง
สีหน้าของเมิ่งหรูเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด เธอกัดฟัน แสยะยิ้ม “เธอ…เธอมันไม่เคยได้รับการสั่งสอนจริงๆ!”
“แล้วก็เธอ อิ๋งเย่ว์เซวียน” ซิวอวี่มองบน ไม่สนใจเมิ่งหรู หันไปพูดกับอิ๋งเย่ว์เซวียน “เธอน่ะ อย่ามาแสร้งทำเป็นพี่น้องรักกันตรงนี้เลยนะ ยังจะมาเรียกน้องจื่อจิน คู่ควรเหรอเธอน่ะ”
เธอเกลียดอิ๋งเย่ว์เซวียนทำท่าทีแบบนี้ที่สุด
บางครั้งก็ทำเป็นอึกอัก พูดไม่เคลียร์ บางครั้งก็มาทำเป็นพูดดี
ทำไร้เดียงสาให้คนเข้าใจผิด สร้างความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นให้อิ๋งจื่อจิน
“น่าตลกจริงๆ” ซิวอวี่ลูบคาง “เธอหาพี่ชายไม่เจอ มาหาที่จื่อจิน แบบนี้ตีความได้ว่าจื่อจินของพวกเราต่างหากที่เป็นคุณหนูใหญ่หรือเปล่า หืม?”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของอิ๋งเย่ว์เซวียนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
มีสายตามองมามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับหนามที่ทิ่มแทงด้านหลัง ยากเกินกว่าจะรับไหว
ใช่ว่าเธอจะไม่เคยได้ยินคนในโรงเรียนพูดกันว่า เธอเรียนสู้อิ๋งจื่อจินไม่ได้ หน้าตาก็สู้ไม่ได้ ศิลปะกับกีฬาก็สู้ไม่ได้
แต่เมื่อหนึ่งปีก่อนพวกเขาไม่ได้พูดแบบนี้
พูดกันแต่ว่าอิ๋งจื่อจินสู้เธอไม่ได้เรื่องความสามารถ ความฉลาดและความสง่างาม
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่เคยคาดคิดว่าเธอไปยุโรปมาหนึ่งปี เรื่องราวกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เธอยังเหลืออะไรที่สู้อิ๋งจื่อจินได้อีก
มีแค่สถานะคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋ง
แต่สถานะนี้ก็เป็นของปลอม
แต่เธอกลับต้องกำมันไว้ในมือ
เมิ่งหรูก็หงุดหงิดมาก แต่ยังคงวางมาด “เย่ว์เซวียน ไปเถอะ อย่าไปถือสาคนธรรมดาพวกนี้เลย”
ทั้งสองคนเดินอย่างมั่นคง แต่สภาพด้านหลังกลับน่าเวทนา
พวกนักเรียนก็แยกย้าย
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา หยิบกล่องใบเล็กออกมาจากระเป๋าเสื้อยื่นให้ซิวอวี่ “ขอบคุณ ค่าเหนื่อย”
ซิวอวี่รู้ว่าในกล่องใบนี้มีอะไร
มียา
ยาที่ช่วยเรื่องความงาม กระชับรูขุมขน เติมน้ำให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
“โอเคพ่ออิ๋ง” ซิวอวี่รับไว้ทันที “ต่อไปถ้าเจอเรื่องแบบนี้อีกก็ยกให้ฉันได้เลย”
ได้ด่าคนจนสะใจแถมยังมีรางวัลให้ นี่มันงานที่เจ๋งสุดๆ เธอขอเหมาหมด!
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “ฉันกลับหวังว่าจะไม่มีอีก”
ซิวอวี่เก็บกล่องใบนั้นเข้ากระเป๋านักเรียนตัวเอง “ทำไมเหรอ”
อิ๋งจื่อจินตอบ “รำคาญ”
“ก็จริง” ซิวอวี่คิด “แต่ปากมันอยู่บนตัวคนอื่น เราจะไปควบคุมก็ไม่ได้”
“ช่างเถอะ จบมอหกก็ไม่ได้เจอกันแล้ว” อิ๋งจื่อจินเหลือบมองโทรศัพท์มือถือ “มีคนมารับพวกเราแล้ว ไปทางนี้”
…
บนรถ
เมิ่งหรูนั่งอยู่ด้านหลัง รู้สึกหงุดหงิดใจ
อิ๋งเย่ว์เซวียนก้มหน้า “ขะ ขอโทษค่ะคุณนายหยวน ที่หนูทำให้ขายหน้า”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย ไม่เกี่ยวกับเธอ” เมิ่งหรูขมวดคิ้วพลางพูด “คุณอาของเธอก็ใจดำอำมหิตเกินไปจริงๆ”
เธอเคยได้ฟังเรื่องพวกนั้นของตระกูลอิ๋ง จึงยิ่งรู้สึกสงสารอิ๋งเย่ว์เซวียน
ถูกอาแท้ๆ ของตัวเองเอาไปทิ้งตั้งแต่ตัวแค่นั้น โชคดีที่ตามกลับมาได้
“อันที่จริงอาของหนู…” อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปาก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
เธอรู้สึกว่าอิ๋งลู่เวยก็น่าสงสาร เรื่องบางอย่างก็พอเข้าใจได้
เมิ่งหรูเงยหน้า มองไปทางอิ๋งจื่อจิน สายตาหยุดชะงักเล็กน้อย
ตรงหน้าเด็กสาวมีผู้ชายสวมผ้าปิดปากยืนอยู่
รูปร่างของเขาสูงยาวผึ่งผาย บ่ากว้างเอวคอด สองขาเรียวยาวแข็งแรง นายแบบสากลก็สู้ไม่ได้
ผมสั้นดำขลับ ดวงตาสีอำพัน ผิวพรรณก็ขาวเนียน
เอาแค่นี้ก็มองไม่เห็นอย่างอื่นแล้ว
เมิ่งหรูละสายตากลับมา
อิ๋งจื่อจินไม่มีค่าให้เธอสนใจ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดของเธอคือบ่มเพาะอิ๋งเย่ว์เซวียน
อิ๋งเย่ว์เซวียนมีพรสวรรค์สูงมากในด้านคอมพิวเตอร์ นี่คือคนที่ตระกูลหยวนต้องการ
เมิ่งหยวนออกคำสั่งกับคนขับรถ “ออกรถได้”
…
อีกด้านหนึ่ง
ร้านจุ้ยอิ่นเฟิงหลิน
ร้านอาหารมังสวิรัติร้านนี้กิจการดีมาก สไตล์อาคารเป็นแบบโบราณ
ด้านข้างเป็นวัด มีพระมาฉันอาหารที่นี่บ้างประปราย
หลิงฉงโหลวจองห้องใหญ่ที่สุดไว้ อีกทั้งยังใช้กำลังภายในปิดกั้นบริเวณโดยรอบ
มีจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างเขาอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเข้ามารบกวนได้
เนี่ยเฉามาถึงคนแรก ครั้งนี้เขาไม่ได้ใส่สูทสีชมพูที่ดูสะเหล่อ แต่สวมชุดปกติที่สุภาพ
หลิงฉงโหลวพยักหน้า “คุณชายน้อยเนี่ย พี่ใหญ่ของคุณชายล่ะ”
“พี่ใหญ่ของผมงานยุ่งมาก ช่วงนี้บินไปเมืองนอกบ่อยๆ ครับ” เนี่ยเฉานั่งลงอย่างไม่เกรงใจ “ทำเอาผมลำบาก ถูกคนแก่ที่บ้านทรมานทุกวัน”
หลิงฉงโหลวแสยะยิ้ม “ก็ควรเป็นอย่างนั้น ถ้าปู่ของคุณชายไม่ทรมานคุณชาย สักวันคุณชายคงได้ถูกหลอกแม้แต่กางเกงก็ไม่เหลือ”
เนี่ยเฉา “…”
เขาก็แค่ถูกหลอกให้รักหลอกเอาเงินเท่านั้นแหละ
สักพักอิ๋งจื่อจิน ฟู่อวิ๋นเซิน และซิวอวี่ก็มาถึง
ซิวอวี่หูตาไว รีบเข้าไปแย่งที่นั่งข้างอิ๋งจื่อจินต่อหน้าเจียงหราน
เจียงหรานหน้าบึ้ง ทำได้เพียงไปนั่งข้างหลิงฉงโหลวอย่างไม่ยินยอมเท่าไร
“นี่ก็คือจื่อจินใช่ไหม” หลิงฉงโหลวมองสำรวจอิ๋งจื่อจินด้วยสายตาชื่นชม “เสี่ยวฮว่าชมหนูให้ฉันฟังตลอด โดดเด่นกว่าใครจริงๆ”
“ใช่ค่ะ” เจียงฮว่าผิงยิ้ม “ฉันสายตาเฉียบคมมาตลอด ไม่มืดบอด”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า ทั้งสองคนทักทายกัน
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น ยกมือช่วยเธอแกะผ้าพันคออย่างเป็นธรรมชาติ
ในขณะที่ทุกคนคุยกันอาหารรอบแรกก็ถูกนำมาขึ้นโต๊ะ
เจียงหรานหยิบตะเกียบทันที กำลังจะเริ่มกิน
“เดี๋ยวก่อน คนยังมาไม่ครบ” หลิงฉงโหลวกลับพูดขึ้น “พี่สาวที่เป็นญาติแกไปซื้อของที่ห้างเซ็นจูรี่อยู่ อีกเดี๋ยวถึงจะมา รอเธอมาแล้วแกถึงกินได้”
ตุบ ตะเกียบในมือเจียงหรานตกลงบนพื้น
เป็นครั้งแรกที่เขาทำหน้าสติแตก “พี่มาด้วยเหรอ”
ซิวอวี่ก็ช็อก “พี่สาวนายมาด้วยเหรอ”
“ไอ้ลูกบ้า” หลิงฉงโหลวตบกบาลลูกชายหนึ่งที โมโหจนหัวเราะ “อย่าทำสีหน้าแบบนี้ให้พี่แกเห็นนะ รู้ไว้นะว่าถ้าพี่สาวแกทำอะไรกับแก ฉันจะไม่ยุ่ง”
นี่เป็นกฎของตระกูลหลิง
เรื่องระหว่างเด็กรุ่นเดียวกัน พวกผู้ใหญ่จะไม่ยุ่ง กลัวจะไม่ยุติธรรม
แม้จะเป็นการต่อสู้ที่เกี่ยวพันถึงชีวิตก็ตาม
เป็นครั้งแรกที่อิ๋งจื่อจินเห็นเจียงหรานกับซิวอวี่ทำสีหน้าแบบนี้ “พี่สาวเขาทำไมเหรอ”
“พี่สาวเขา…” ฟู่อวิ๋นเซินเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็เลิกคิ้ว พูดอย่างใจเย็น “อีกเดี๋ยวเธอก็รู้เอง”
สิบนาทีต่อมาประตูห้องก็เปิดออก