เธอขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไป”
เธอพาอิ๋งเย่ว์เซวียนมาพบศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยตี้ตู ทำไมอิ๋งเย่ว์เซวียนถึงได้เสียมารยาทแบบนี้
“ปะ เปล่าค่ะ หนูแค่ตกใจ” อิ๋งเย่ว์เซวียนเก็บตะเกียบขึ้นมา ยิ้มพลางพูด “นักเรียนที่ศาสตราจารย์หลี่พูดถึงเป็นนักเรียนของชิงจื้อค่ะ หนูก็แค่ประหลาดใจที่เขายังมีพรสวรรค์ทางด้านคอมพิวเตอร์ด้วย”
“ไม่ใช่ครับ” ศาสตราจารย์หลี่พูด “ไม่ใช่เพราะเขายังมีความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ด้วย แต่เดิมทีเขาเป็นอัจฉริยะที่เก่งรอบด้าน ไม่ใช่แค่ศาสตราจารย์ผู้ทรงเกียรติของสาขาคอมพิวเตอร์ที่ไป สาขาอื่นก็ไปด้วยครับ”
รอยยิ้มของอิ๋งเย่ว์เซวียนค่อยๆ หายไปทีละนิด
คำพูดนี้ของศาสตราจารย์หลี่ ถึงแม้จะไม่ได้เล่นงานเธอโดยตรง เป็นเพียงการอธิบาย แต่เธอกลับรู้สึกแย่ในใจเป็นระลอก
เธอนึกถึงคำพูดหนึ่ง
พวกเธอสอบได้เก้าสิบ เป็นเพราะความสามารถมีแค่นั้น แต่ฉันสอบได้คะแนนเต็ม เป็นเพราะข้อสอบมีคะแนนเต็มแค่นั้น
เมิ่งหรูตกใจยิ่งกว่า “เขาไม่ไปอยู่มหาวิทยาลัยตี้ตูเหรอคะ แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน”
ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ปีนี้มหาวิทยาลัยตี้ตูอยู่อันดับสิบเอ็ด
แต่พวกบางสาขาของมหาวิทยาลัยตี้ตูอย่างฟิสิกส์ ระบบออโตเมชั่น เป็นต้น เรียกได้ว่าอยู่อันดับต้นๆ ของโลก
โดยพื้นฐานคนที่สอบได้อันดับหนึ่งของแต่ละพื้นที่ต่างก็ไปเข้ามหาวิทยาลัยตี้ตูทั้งนั้น
อีกอย่าง ศาสตราจารย์ผู้ทรงเกียรติถึงกับไปเชิญด้วยตัวเอง เมื่อเข้าไปอยู่มหาวิทยาลัยตี้ตูย่อมได้สิทธิ์เรียนถึงปริญญาเอกแน่นอน
“เขาไปอยู่มหาวิทยาลัยนอร์ตันแล้วครับ ทางนั้นก็เห็นความสำคัญของเขามาก มีเครื่องบินมารับโดยเฉพาะ “ศาสตราจารย์หลี่ส่ายหน้าพลางยิ้ม “ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยอื่น มหาวิทยาลัยตี้ตูคงสู้ดูสักตั้ง”
เมิ่งหรูตะลึง หยุดหายใจไปชั่วขณะ
มหาวิทยาลัยนอร์ตัน!
ที่นั่นเป็นสถานที่ที่อยากไปก็ไปไม่ได้
หลังจากทั้งสามคนกินเสร็จ เมิ่งหรูก็เอาโค้ดที่อิ๋งเย่ว์เซวียนเขียนให้ศาสตราจารย์หลี่ดู
ศาสตราจารย์หลี่มองๆ “ใช้ได้ครับ แต่เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์ยังน้อยไป ต้องฝึกให้มาก”
เขาวางนามบัตรของตัวเองให้แล้วพูด “เดือนมีนาคมปีหน้าสาขาคอมพิวเตอร์จะสอบสัมภาษณ์ครั้งแรก ต้องมาให้ได้นะครับ”
เมิ่งหรูนึกไม่ถึงว่าเรื่องจะราบรื่นขนาดนี้ เธอดีใจมาก “รบกวนศาสตราจารย์หลี่แล้วค่ะ”
พวกเด็กๆ ในตระกูลหยวนก็เรียนไม่ได้แย่ แต่ไม่ถนัดเขียนโปรแกรม
ศาสตราจารย์หลี่พยักหน้า หยิบกระเป๋าเอกสารแล้วเดินออกไป
เมิ่งหรูเรียกเก็บเงิน ขณะเดินออกอยู่ๆ เธอก็ถามขึ้น “เธอกับเวินทิงหลานอยู่โรงเรียนเดียวกัน รู้จักเขาหรือเปล่า”
อิ๋งเย่ว์เซวียนเม้มริมฝีปาก ส่ายหน้า “ตอนเขาเรียนจบหนูยังอยู่ที่ยุโรป เลยไม่รู้จักค่ะ”
เมิ่งหรูจึงไม่ได้ถามต่อ
ก็จริง
ในหนึ่งชั้นปีของชิงจื้อมีเด็กพันกว่าคน อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่มีทางรู้จักทุกคน
เมิ่งหรูอดถอนหายใจไม่ได้ “มหาวิทยาลัยนอร์ตัน พวกเราทำได้แค่มองอัจฉริยะพวกนี้ด้วยความเลื่อมใส อาจเอื้อมไม่ไหว”
มือของอิ๋งเย่ว์เซวียนกำแน่น
อาจเอื้อมไม่ไหวเหรอ
เธอรู้ว่าตอนนั้นจงมั่นหวากับอิ๋งเจิ้นถิงไปหาเวินเฟิงเหมียนกับเวินทิงหลานที่อำเภอชิงสุ่ย พร้อมทั้งโยนเงินให้หนึ่งแสน พูดจาดูถูกสารพัด
อำเภอชิงสุ่ยเป็นอำเภอแร้นแค้น จนถึงตอนนี้ก็ยังสลัดไม่หลุดความยากจน
แต่ตอนนี้เวินทิงหลานเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนอร์ตันแล้ว
ถ้าจงมั่นหวารู้จะคิดอย่างไร
เข้าหาเวินทิงหลานผ่านอิ๋งเย่ว์เซวียนไม่ได้ อย่างมากเมิ่งหรูก็แค่รู้สึกเสียดาย พูดเข้าเรื่อง “วันที่สิบห้ามกราพอสอบปลายภาคเสร็จเธอก็ตามฉันไปตี้ตู ผลการเรียนของเธอดีมาก ไม่จำเป็นต้องเรียนเสริม”
“พอถึงตอนนั้นฉันจะให้แม่ของเธอไปทำเรื่องลาหยุดกับทางโรงเรียน”
อิ๋งเย่ว์เซวียนพยักหน้า
เธอเข้าไปนั่งในรถ ค่อยๆ ถอนหายใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามถูกอิ๋งจื่อจินแย่งสายตาของเมิ่งหรูกับตระกูลหยวนไปได้อีก
…
ร้านจุ้ยอิ่นเฟิงหลิน
ภายในห้องอาหารส่วนตัว
หลังจากเจียงหรานกินจานสุดท้ายจนเกลี้ยง เรอออกมา ในที่สุดก็รู้สึกอิ่มเอมแล้ว
เขาคนเดียวจัดการกับข้าวไปครึ่งโต๊ะ
เจียงฮว่าผิงพูดขึ้น “เลี้ยงหมูชัดๆ”
อิ๋งจื่อจินพูดต่อ “ตอนนี้หมูราคาตกแล้ว”
เจียงหราน “…”
เจียงฮว่าผิงเช็ดมือพลางถาม “เหมียนซี เธอจะอยู่ที่ฮู่เฉิงสักพักหรือจะกลับพร้อมพวกเรา”
“ได้หมดค่ะ” ดวงตาของหลิงเหมียนซีเป็นประกายอีกครั้ง “อิ๋งอิ๋ง ใกล้สิ้นเดือนแล้ว อยากไปเคาท์ดาวน์กับพวกเราที่ตี้ตูไหม ตรุษจีนก็อยู่ด้วยกันที่ตี้ตูเถอะ ทางนั้นครึกครื้น คนเยอะ”
เธออยากซุกอก
อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “หืม?”
ฟู่อวิ๋นเซินที่อยู่ข้างๆ ถอดเสื้อคลุมออกมาคลุมให้อิ๋งจื่อจินอย่างใจเย็น “อากาศหนาว ระวังจะไม่สบาย”
หลิงเหมียนซี “…”
ถ้าไม่ติดว่าเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฟู่อวิ๋นเซิน เธอคงช่วยสาวน้อยตกยากไปแล้ว
“หลิงเหมียนซี เลิกแกล้งบอส…บอสของฉันได้แล้ว” เจียงหรานหน้าบึ้ง “เธอแกล้งคนไปตั้งมากขนาดนั้นยังไม่พอใจอีก คิดจะทำอะไร”
หลิงเหมียนซีอยู่ในตระกูลหลิง ไม่สิ ควรบอกว่าทั่วทั้งวงการจอมยุทธ์ เธอมีฉายาว่า ‘แม่มด’
ชอบแกล้งคนไปเรื่อยอย่างไร้ขอบเขต
แต่พวกผู้ใหญ่ชอบเธอมาก วิทยายุทธ์ของเธอก็ดีมาก เป็นผู้หญิงที่พบเจอได้ยาก
ในยันต์แปดทิศ ผู้ชายคือหยิน ผู้หญิงคือหยาง
เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ผู้หญิงจึงไม่เหมาะจะฝึกวิทยายุทธ์เท่าผู้ชาย
จอมยุทธ์ส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงมาตลอด
เมื่อเป็นแบบนี้หลิงเหมียนซีจึงเป็นที่รักมากในวงการจอมยุทธ์
วงการจอมยุทธ์สืบทอดขนมธรรมเนียมของโบราณมาไม่น้อย ไม่มีคำว่าบรรลุนิติภาวะ แต่มีพิธีปักปิ่น[1]
ด้วยเหตุนี้ตอนหลิงเหมียนซีอายุสิบห้าก็เริ่มมีคนเข้ามาขอดูตัวที่ตระกูลหลิงแล้ว
อย่าว่าแต่พ่อแม่ของหลิงเหมียนซีเลย แม้แต่หลิงฉงโหลวก็ไม่อยากให้แต่งออกไป
หลิงเหมียนซีชอบแกล้งเขากับพี่น้องของเขา
เจียงหรานไม่อยากหวนนึกถึงช่วงเวลาเลวร้ายในตอนนั้น
“ความคิดนี้ใช้ได้” เจียงฮว่าผิงตบกบาลลูกชายหนึ่งทีเพื่อบอกให้เขาหุบปาก “จื่อจิน ตระกูลหลิงมีบ้านอยู่ในตี้ตู พวกเราฉลองปีใหม่กันข้างนอก ไม่สู้เธอพาคุณตาไปพักที่ตี้ตูระยะหนึ่ง อยู่ให้สบายใจ”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “ได้ค่ะ”
ปิดเทอมหน้าหนาวเธอต้องไปเข้าค่ายติวไอเอสซีรอบสองที่ตี้ตู ถือโอกาสฉลองตรุษจีนไปด้วยเลยก็ได้
ขอเพียงแต่ไม่ไปที่วงการจอมยุทธ์เป็นพอ
เธอยังอยากใช้ชีวิตเกษียณอยู่
หลิงเหมียนซีทำมือเหมือนเป็นผู้ชนะใส่ฟู่อวิ๋นเซิน
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองเธอ สีหน้ากึ่งยิ้ม ไม่พูดอะไร
เนี่ยเฉาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของโลกจอมยุทธ์ จนถึงตอนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดมาตลอดว่าเนี่ยอี้ไปฝึกอยู่ในค่ายลับ
นี่ก็ผ่านมาตั้งสองชั่วโมงแล้ว เขายังคงรับไม่ได้ “คุณชายเจ็ด พี่ใหญ่ของฉันรู้จักผู้หญิงได้ยังไง”
พี่ชายคนโตของเขาก็เป็นนักพรตผู้ทรงศีลเหมือนกัน
อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ในสายตาของเนี่ยอี้ไม่มีการแบ่งแยกเพศ
“ขอนึกก่อนนะ…” ฟู่อวิ๋นเซินพิงกำแพง ขายาวงอเล็กน้อย สีหน้าเรื่อยเปื่อย “ครั้งแรกที่สองคนนี้เจอกัน สู้กันแทบตาย ต่างถูกส่งไปที่วงการแพทย์แผนโบราณทั้งคู่”
“จากนั้น เธอก็วางแผนดักพี่ใหญ่ของนาย ทั้งสองคนสู้กันในถ้ำอีกครั้ง ประมาณว่าพอเจอหน้ากันเป็นต้องสู้”
เนี่ยเฉา “?”
แบบนี้ก็ได้เหรอ
ใครก็ได้บอกเขาทีว่าทำไมพี่ใหญ่ของเขาที่เป็นผู้ชายซื่อบื้อไม่รู้จักทะนุถนอมสาวสวยถึงได้มีแฟนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักขนาดนี้
ถุย!
เนี่ยเฉาโมโห
“ต่อมาฉันก็ไม่รู้แล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น “ก็แค่สมาชิกของหน่วยอีจื้อเคยเม้าท์ให้ฟัง”
พูดจบเขาก็หยิบผ้าพันคอจากราวแขวน ก้มตัวเล็กน้อย พันให้อิ๋งจื่อจิน
เธอขี้เกียจจนชินแล้ว ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร
แต่หลิงเหมียนซีรู้สึกผิดปกติ เธอวิ่งไปหาซิวอวี่
หลิงฉงโหลวกับเจียงฮว่าผิงก็ลุกขึ้น
“น้องชาย ชีวิตพวกเรามันขมขื่น” เนี่ยเฉามองไปรอบๆ ในที่สุดก็สังเกตเห็นคนที่น่าเศร้าเหมือนเขาแล้ว จึงเดินเข้าไปหาด้วยความดีใจ “โสดแล้วไงล่ะ โสดก็มีข้อดี หึ ต่อให้พวกเราโสดไปตลอด ชีวิตก็มีสีสันได้”
เจียงหราน “…”
ไม่ เขาไม่อยาก
…
ณ คฤหาสน์ตระกูลจง
นับตั้งแต่ผู้เฒ่าฟู่จากไป ผู้เฒ่าจงก็เหงาลงไปมาก
เมื่อก่อนคนไม่ครบเล่นไพ่นกกระจอก ตอนนี้ไม่มีแม้แต่คนเดินหมากกับเขาแล้ว
อีกทั้งทำอะไรก็หมดความสนใจ รู้สึกเหงาหงอยไม่สดชื่น
พ่อบ้านจงเป็นห่วงมาก
ด้วยเหตุนี้ตอนที่ได้ยินว่าอิ๋งจื่อจินจะพาผู้เฒ่าจงไปฉลองตรุษจีนที่ตี้ตู ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งอก
“ท่านผู้เฒ่า ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง เปลี่ยนสภาพแวดล้อมอารมณ์จะได้ดีขึ้นครับ” พ่อบ้านยิ้มพลางเกลี้ยกล่อม “ไปฉลองตรุษจีนกับคุณจื่อจิน เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะครับ”
ผู้เฒ่าจงดีใจอยู่ในใจ แต่กลับไม่แสดงออก ทำท่าเหมือนไม่อยากไป “ขอคิดดูก่อน”
พ่อบ้านจงส่ายหน้า
ท่านผู้เฒ่าแก่แล้วยังจะชอบปากไม่ตรงกับใจอีก
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “คุณตา”
ผู้เฒ่าจงทำสีหน้าจริงจัง “มีอะไรเหรอ”
อิ๋งจื่อจินนั่งพิงโซฟา หาวออกมาพลางพูดเสียงเนือย “คุณตาตื่นเต้นจนถูมือแล้วนะคะ”
ผู้เฒ่าจง “…”
…
วันต่อมา
จงมั่นหวาไปที่โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่มีทางลาหยุดให้อิ๋งเย่ว์เซวียน
แต่ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่า เกี่ยวพันถึงอนาคตของอิ๋งเย่ว์เซวียนกับตระกูลอิ๋ง จงมั่นหวาย่อมเต็มใจมาก
พอเธอลาหยุดเสร็จก็เดินเล่นในโรงเรียนจนมาถึงบอร์ดประกาศหน้าอาคารเรียน
บนบอร์ดประกาศติดอันดับรายชื่อการจำลองการสอบสองครั้งในเดือนธันวาคมของนักเรียนชั้นมอหก
จงมั่นหวาเห็นอิ๋งเย่ว์เซวียนอยู่อันดับหนึ่งทั้งสองครั้งก็ภูมิใจมาก
เธอมองหาชื่ออิ๋งจื่อจินโดยอัตโนมัติ แต่กลับไม่เห็น
จงมั่นหวารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
อิ๋งเย่ว์เซวียนสอบได้ที่หนึ่ง แต่อิ๋งจื่อจินไม่ติดแม้แต่ร้อยอันดับแรก
แตกต่างกันเยอะเกินไปแล้ว
จงมั่นหวาถ่ายรูปอันดับส่งไปให้อิ๋งเจิ้นถิง
เธอกระชับเสื้อกันหนาวให้แน่นขึ้นแล้วโทรเรียกให้คนขับรถมารับ
เวลานี้เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนชั้นมอสี่และมอห้าเดินออกมาข้างนอก
จงมั่นหวาจำต้องหลบ
นักเรียนพวกนี้คุยกันอย่างสนุกสนาน
“สอบปลายภาคอีกแล้ว ฉันยังทบทวนไม่จบเลย”
“เงียบไปเลย เธอมันเด็กเนิร์ด”
“เฮ้อ ฉันเป็นได้แค่เด็กเนิร์ด แต่เทพอิ๋งไม่เหมือนกัน เธอเป็นเทพ ฉันจะกลับไปกราบไหว้เธอ”
“ใช่ๆๆ ไหว้เทพอิ๋ง!”
เท้าของจงมั่นหวาหยุดชะงักทันที
[1]พิธีปักปิ่น เป็นพิธีโบราณที่ทำเมื่อเด็กผู้หญิงมีอายุครบสิบห้าปี ถือเป็นการเข้าสู่วัยสาว แต่งงานออกเรือนได้