บทที่ 333
บทที่ 333
เมื่อได้ยินคำถามของชิวเจิ้น หลีเว่ยก็ก้าวไปข้างหน้า เขาโค้งคำนับ จากนั้นจึงกล่าวออกมาว่า “ท่านชิว ข้ายินดีที่จะไปขอรับ !”
แม้ว่าหลีเว่ยจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพฉีเฟิง แต่เหตุผลเดียวที่เขาได้รับตำแหน่งดังกล่าวเป็นเพราะเขาติดตามถังหยินมาเป็นเวลานานจึงได้รับความไว้วางใจจากชายหนุ่ม ดังนั้นเมื่อเห็นหลีเว่ยเสนอตัวเอง ชิวเจิ้นจึงลังเล ทำให้หลีเว่ยจำต้องพูดออกมาอีกครั้ง “ท่านชิว ข้าจะนำชัยชนะกลับมาให้อย่างแน่นอนขอรับ !”
ชิวเจิ้นติดตามถังหยินมาแต่แรก ส่วนหลีเว่ยก็ไม่ต่างกันมากนัก เขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพกลุ่มแรกที่ติดตามถังหยินมา แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นถึง ‘คนใหญ่คนโต’ ในกองทัพเทียนหยวน และเมื่อหลีเว่ยยืนกรานที่จะทำ ชิวเจิ้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะห้าม เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “แม่ทัพหลีระวังตัวให้มาก ถ้าเกิดมีอะไรขึ้นมา ก็ให้ปรึกษากับเปิงเฮาฉูแล้วจึงตัดสินใจ !”
หลีเว่ยอาศัยความสัมพันธ์ของเขากับถังหยิน เพื่อขึ้นเป็นแม่ทัพของกองทัพฉีเฟิง แต่เปิงเฮาฉูแตกต่างออกไป เขาพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพียงอย่างเดียวจนได้กลายมาเป็นรองผู้บัญชาการ
ชิวเจิ้นคิดว่าถ้าตราบใดที่หลีเว่ยขอคำปรึกษาจากเปิงเฮาฉู เมื่อเริ่มทำศึกก็จะลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดลงไปมาก แต่เด็กหนุ่มกลับมองข้ามจุดหนึ่งไป และนั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ หลีเว่ยยังเด็ก มากไปด้วยพละกำลัง และเขาก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพฉีเฟิงที่มีกำลังทหาร 1 แสน 5 หมื่นนาย ดังนั้นการพยักหน้ารับของหลีเว่ยจึงเป็นเพียงแค่การกระทำกลวงเปล่าเท่านั้น ด้วยในใจของเขาไม่คิดเช่นนั้น
หลังจากหลีเว่ยและเปิงเฮาฉูนำทัพโจมตีภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์ออกเดินทางไปแล้ว ชิวเจิ้นก็ยังทิ้งความกังวลไม่ได้ จึงจัดให้กู่เยว่ควบคุมกองทัพผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเขาเพื่อเป็นกองสำรองตามไปเสริม
ใช้เวลาเพียง 3 วันเท่านั้น ในที่สุดหลีเว่ยและเปิงเฮาฉูก็นำทัพใหญ่มาถึงภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์
ภูเขาเขี้ยวพยัคฆ์นั้นสูงชัน และตั้งอยู่ทางซ้ายของเส้นทางหลวง ซึ่งก็มีเพียงด้านเหนือของภูเขาเท่านั้นที่มีความลาดชันต่ำพอที่จะจัดตั้งค่ายขนาดใหญ่สำหรับพวกเปิงได้
ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นได้เลยว่ารากฐานของค่ายแห่งนี้ดูแข็งแรงผิดปกติ ซึ่งเมื่อมองเข้าไปข้างใน ก็จะพบกับธงแดงจำนวนมาก และเต็นท์อยู่เคียงข้างกัน …ในบางครั้ง กลุ่มทหารก็จะลาดตระเวนระหว่างเต็นท์ ส่วนบนยอดเขาก็ยังมีค่ายขนาดใหญ่อีกแห่ง ทว่าเนื่องจากมันสูงเกินไป จึงไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนนัก
หลังจากเปิงเฮาฉูสำรวจเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยรู้ได้ในทันทีว่าแม่ทัพเปิงนายนี้ไม่ธรรมดาเลย …ค่ายทั้ง 2 แห่งที่ตั้งอยู่สนับสนุนซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเข้าโจมตีค่ายไหน อีกแห่งก็จะเข้ามาตลบหลังแน่ !
….หลีเว่ยไม่ได้คิดอะไรมากกับภาพตรงหน้า ด้วยหลังจากที่สังเกตค่ายกองทัพเปิงทั้งสองเสร็จแล้ว เขาก็พลันพูดเยาะเย้ยออกมา “ดูเหมือนว่ากองทัพเปิงจะไม่ได้บทเรียนเลย หลังจากที่ต้องสูญเสียไปเมื่อครั้งก่อน”
เปิงเฮาฉูเผยใบหน้างงงวย จ้องมองไปที่หลีเว่ยด้วยสายตาที่ว่างเปล่าเมื่อได้ยินแบบนั้น
หลีเว่ยกล่าวอย่างพอใจกับสีหน้าดังกล่าว ก่อนจะพูดอธิบาย “ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ซ่งเวินก็เลือกที่จะตั้งค่ายริมภูเขาและท้ายที่สุดก็ถูกทำลายโดยกองทัพของเรา วันนี้กองทัพเปิงตรงหน้าจะเดินตามรอยเท้าของซ่งเวิน !”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เปิงเฮาฉูก็พลันส่ายหัวและพูดอย่างกระวนกระวาย “ทั้งสองเทียบกันไม่ได้เลยในเวลานี้” ด้วยในเวลานั้นกองทัพเปิงถูกพวกเขาตลบหลัง แต่ตอนนี้มันต่างออกไป !
หลีเว่ยหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจเท่าใด ปากพูดว่า “แต่สำหรับข้ามันไม่ได้ต่างกันเลย ตามรายงานของสายลับ พวกมันมีกำลังเพียงแค่ 1 แสนคนเท่านั้น และเมื่อพวกมันเลือกที่จะกระจายกันเป็น 2 ค่ายแบบนี้ จำนวนก็จะยิ่งลดลงไปอีก ทำให้ฝั่งเรามีโอกาส ด้วยการล่อข้าศึกลงจากภูเขามา พวกเราก็จะสามารถโจมตีค่ายของศัตรูบนภูเขา …วิธีนี้กองทัพของเราก็ชนะไปได้แบบสบาย ๆ แล้ว !”
เรื่องจะง่ายอย่างที่หลีเว่ยพูดได้ที่ไหน? เปิงเฮาฉูกล่าวด้วยสีหน้าดุดัน “ไม่ ! อย่าผลีผลาม กองทัพของเราควรส่งกองกำลังเล็ก ๆ ไปโจมตีเพื่อประเมินกำลังของศัตรูก่อน”
“นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ สรุปใครกันแน่ที่เป็นผู้บัญชาการ ! เฮอะ !” หลีเว่ยตะคอก โบกมือและพูดว่า “พอได้แล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว !” ขณะที่พูด เขาก็ได้เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้วดังนั้นเขาจึงสั่งให้กองทัพทั้งหมดตั้งค่าย ณ จุดนั้น และหลังอาหารกลางวัน กองทัพทั้งหมดก็จะเข้าโจมตีค่ายของกองทัพเปิงที่เชิงเขา !
หลีเว่ยเป็นผู้บัญชาการคนปัจจุบัน ดังนั้นแล้วทหารของกองทัพฉีเฟิงทุกคนจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขา หลังจากได้รับคำสั่งผู้คนจำนวน 1 แสน 5 หมื่นคนก็พากันหยุดพักทันที
พวกทหารพากันตั้งเตาและทำอาหารในบริเวณนั้น ดูผ่อนคลาย และไร้ซึ่งการระมัดระวัง
เมื่อพวกเขาเห็นว่ากองทัพฉีเฟิงกำลังพักผ่อนและรับประทานอาหารนอกค่าย พวกเขาก็คิดว่าเป็นโอกาสดีที่กองทัพเปิงจะโจมตี อย่างไรก็ตามเมื่อจีหยิงมองดูเหตุการณ์จากแท่นสังเกตการณ์ในค่าย เขาก็พลันทำสีหน้าเย้ยหยันออกมา ก่อนจะหันไปสั่งให้ ทหารทุกนายห้ามออกจากค่าย และสำหรับใครก็ตามที่ออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต คนผู้นั้นจะถือว่าฝ่าฝืนคำสั่ง ต้องถูกประหารชีวิต !
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งด้วยซ้ำ เพราะเมื่อพวกทหารเห็นเข้ากับกำลังทหารของพวกเฟิง พวกเขาทั้งหมดก็พากันใบหน้าเปลี่ยนสี หวาดกลัวจนมือที่ถืออาวุธสั่นเทาไม่หยุด !
แม้ว่าทหารพวกนี้จะเป็นทัพหลวง แต่ความจริงพวกเขาเป็นเพียงพลเมืองธรรมดากลุ่มหนึ่งที่สวมชุดเกราะและหยิบอาวุธขึ้นสู้เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่จะหวาดกลัวเมื่อเห็นเข้ากับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า
กองทัพฉีเฟิงกำลังรับดื่มกินอย่างสนุกสนานนอกค่าย ทำให้เกิดเสียงหัวเราะไม่หยุดหย่อน ผิดกับค่ายกองทัพเปิงที่เงียบสนิทราวกับว่าไม่มีใครอยู่ เป็นภาพที่ดูแปลกมาก
เมื่อเห็นว่าศัตรูไม่มีการตอบสนอง หลีเว่ยก็ไม่รังเกียจที่จะรอให้ทหารของเขากินอาหารให้เต็มที่ ก่อนที่จะทำทีไม่สนใจการคัดค้านหัวชนฝาของเปิงเฮาฉู และออกส่งคำสั่งให้ทหารทั้งหมดเข้าโจมตีค่ายของกองทัพเปิง !!
เมื่อสิ้นคำสั่ง กองทัพฉีเฟิงทั้ง 1 แสน 5 หมื่นนายก็พากันเดินทัพ โดยแบ่งเป็นปีกซ้าย-ขวา กับแนวหลัง และแม้ว่าพวกเขาจะมีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวน หากทว่ากองทัพเปิงก็มีข้อได้เปรียบทางภูมิภาค ทำให้การต่อสู้อันแสนดุเดือดลากยาวไปจนถึงจุดที่ท้องฟ้ามืดมิด !!!
เมื่อการต่อสู้ถึงค่ำ ฝั่งกองทัพเปิงก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หลีเว่ยที่เฝ้าดูการสู้รบเริ่มมีความฮึกเหิม ทำการโบกมือสั่งให้กองทัพทั้งหมดทำการโจมตีอย่างดุเดือดต่อไป !
…กองทัพเปิงไม่สามารถหยุดการโจมตีที่รุนแรงจากกองทัพฉีเฟิงได้เลย ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนถูกบังคับให้ล่าถอยไปที่ค่ายบนภูเขา ส่วนกองทัพฉีเฟิงก็ใช้ประโยชน์จากแรงผลักดันนี้ เพื่อบุกขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนี้หลีเว่ยรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เขาหันไปพูดกับเปิงเฮาฉูอย่างภาคภูมิใจ “ไม่ว่าค่ายของกองทัพเปิงจะแข็งแกร่งและมั่นคงเพียงใด พวกมันก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของข้าและกองทัพที่ยิ่งใหญ่ได้หรอก ศัตรูแสนเล็กน้อย กองทัพของข้าสามารถบดขยี้พวกมันได้ในพริบตา !”
ไม่เพียงแต่ไม่มีร่องรอยแห่งความสุขบนใบหน้าของเปิงเฮาฉูเท่านั้น คิ้วของเขายังขมวดเข้าหากันแน่นอีกด้วย หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดมาตลอดช่วงบ่าย กองทัพเปิงก็ต่อต้านอย่างสุดกำลังมาโดยตลอด …แต่ว่า มันน่าแปลกเกินไป …นี่มันเป็นกับดักหรือเปล่านะ ?
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด หลีเว่ยที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ได้ส่งคำสั่งอื่นให้กองทัพทั้งหมดทำตาม พวกเขาใช้ประโยชน์จากชัยชนะ ทำการพุ่งขึ้นภูเขาและโจมตีค่ายของศัตรูทำลายล้างกองทัพเปิงให้สิ้นซาก !!!
เมื่อได้ยินคำสั่งของเขา ร่างของเปิงเฮาฉูก็พลันสั่นสะท้าน เขาพูดกับหลีเว่ยอย่างหมดความอดทน “ท่านแม่ทัพอย่า ! การถอยของศัตรูครั้งนี้แปลกเกินไป มันอาจเป็นกับดัก ดังนั้นท่านแม่ทัพจึงไม่ควรจู่โจมอย่างบุ่มบ่าม !”
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ไม่’ หลีเว่ยก็พลันรู้สึกปวดหัว เหตุใดกัน ? ตอนนี้ฝ่ายของพวกเขาก็สามารถฝ่าค่ายของศัตรูที่เชิงเขามาได้สำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ ?
หลีเว่ยไม่ตอบสนองต่อคำของเปิงเฮาฉู เขาทำเพียงมองไปที่สนามรบตรงหน้าและกล่าวอย่างเย็นชา “สั่งการไปตามนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะถือว่าเจ้าขัดคำสั่ง !”
รองแม่ทัพตกใจมากจนตัวสั่น ไม่กล้าที่จะชักช้าอีกต่อไป เขารีบขี่ม้าอย่างรวดเร็วและส่งคำสั่งของหลีเว่ยไปยังทหารที่อยู่ด้านหน้าในทันที
“ท่านแม่ทัพ !?” เปิงเฮาฉูตะโกนอย่างกังวล
“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว !” ในขณะที่พูด หลีเว่ยก็ได้หันหน้าไปมองคู่สนทนาอย่างเย็นชา ทำให้เปิงเฮาฉูเป็นกังวลแทบบ้า ด้วยเขาไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่ทัพตรงหน้านี้ได้เลย !!!
ตามคำสั่งของหลีเว่ย หลังจากเข้ายึดค่ายที่เชิงเขาแล้ว กองทัพฉีเฟิงก็ไม่ได้รีรอหรือหยุดพัก พวกเขาพากันวิ่งขึ้นไปบนภูเขาไล่ตามกองทัพที่พ่ายแพ้ต่อในทันที !
ในขณะที่กองทัพฉีเฟิงอยู่บนภูเขาได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นก็พลันเกิดเสียงหนัก ๆ จากบนยอด ก่อนพวกทหารเปิงที่วิ่งอยู่ข้างหน้าจะพากันหยุดและหลบไปทางซ้ายและขวา เปิดทางให้อะไรบางอย่างที่กำลังลงมาอย่างรวดเร็ว !
ทหารที่อยู่ข้างล่างสงสัยถึงที่มาของเสียง พวกเขาพากันเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนสีหน้าที่ฮึกเหิมจะกลายเป็นหวาดกลัวภายในชั่วพริบตานั้น !!!
ด้วยด้านบนนั้น เป็นรถศึกจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังวิ่งลงมาจากยอดเขา !
ตัวถังรถทำจากเหล็ก ส่วนด้านในที่กลวงก็เต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ ทำให้รถแต่ละคันมีน้ำหนักอย่างน้อยพันชั่ง และเมื่อผนวกกับทางที่ลาดชัน ก็คงไม่ต้องเดาเลยว่าแรงกระแทกของมันจะรุนแรงแค่ไหน !!!!
ทหารเฟิงที่อยู่แนวหน้าไม่อาจหลบได้ทัน พวกเขาถูกรถศึกบดขยี้จดกลายเป็นเนื้อบดแนบติดตัวรถ นอกจากนี้ก็ยังมีทหารบางส่วนที่ถูกดาบทั้งสองข้างของรถหั่นเป็นสองท่อนในทันที
เนื่องจากรถศึกมีขนาดใหญ่เกินไป ทำให้แม้ว่ามันจะกระแทกเข้ากับร่างเลือดเนื้อ ความเร็วของมันก็ไม่ได้ลดลงเลย ยังคงพุ่งดิ่งต่อไปทั้งแบบนั้นจนทำให้เกิดเลือดกระเซ็นออกมาเป็นทางยาว
แค่เพียงรถศึกคันเดียวยังขนาดนี้ แล้วถ้ารถศึกหลายคันเล่า ? …มันจะน่ากลัวขนาดไหน ?
ในเวลาไม่นาน จำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในกองทัพฉีเฟิงก็พลันพุ่งสูงขึ้นเป็นพัน ๆ นาย จนทำให้มีศพและเศษชิ้นเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วทั้งภูเขา !!!
ฝันร้ายของกองทัพฉีเฟิงก็ยังดำเนินต่อไป ด้วยที่ด้านบนของภูเขา ได้มีก้อนหินจำนวนมากกลิ้งลงมา ทำให้ทหารหลายสิบคนถูกบดจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี !