บทที่ 176 กดดัน (2)
โพรงขยายขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ เผยให้เห็นสภาพด้านใน
คนกลุ่มหนึ่งกำลังดื่มสุราคุยโวพลางหัวเราะลั่น ทันใดนั้นลมเย็นหอบหนึ่งพัดเข้าไปในโพรง คนเหล่านี้พลันตัวสั่น
“ผู้ใด!?” ยอดฝีมือสภาวะไม่ธรรมดาหลายคนลุกพรวดขึ้น หันมามองทางโพรง
ผู้คุมจัตุรัสแดงเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม แล้วเดินเข้าไป
ทิ้งสตรีกางร่มยืนอยู่กลางพายุหิมะด้านนอกคนเดียว
เสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านในเมืองน้อย นางทราบว่าท่านพี่ดูดเลือดเนื้อพลังงานแล้ว นี่ก็เพื่อมอบพิธีกฎเกณฑ์ให้กับชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาด
นางเป่าปาก แต่เป็นเพราะไม่มีความอบอุ่น ลมที่เป่าออกมาพริบตาเดียวก็ผสมกับพายุหิมะ ไม่เห็นอะไรสักอย่างเดียว ต่างกับคนเป็นเหล่านั้น ยามเป่าลมยังมีหมอกสีขาว
นี่เป็นเมืองที่สี่แล้ว
อิงอิงคิดพลางกระชับชุดที่สวมอยู่อย่างไม่รู้ตัว กลางพายุหิมะ ร่มแดงบังหิมะไม่น้อยให้นางไว้
นางหมุนขอบร่ม ปมรวมใจสีชมพูดอันหนึ่งหมุนช้าๆ มาถึงด้านหน้า
อิงอิงมองปมรวมใจนี้ อดอมยิ้มไม่ได้
นี่เป็นสิ่งที่ท่านพี่มอบให้ มอบให้มานานมากแล้ว ถือเป็นเครื่องแทนตัว นางยึดถือเป็นสมบัติ แขวนไว้ในร่มกระดาษที่มีความสำคัญดุจชีวิตของตัวเอง เช่นนี้จะได้เห็นตลอดเวลา
“เจ้ายังเก็บไว้อยู่” ผู้คุมจัตุรัสแดงมุดออกมาจากในโพรง พอเห็นอิงอิงกำลังเล่นกับปมรวมใจ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว…ยังเก็บไว้” สตรีกางร่มอิงอิงผงกศีรษะ
“ตอนนั้นพวกเราสานด้วยกัน ใช้ด้ายเส้นหนึ่งตัดเป็นสองส่วน” ผู้คุมจัตุรัสแดงเดินมาถึงด้านข้างนาง โอบเอวของอิงอิงอย่างนุ่มนวล
“เพราะ…อิงอิง…ชอบ…” สตรีกางร่มจับปมรวมใจอย่างอ่อนโยน นางชอบของที่ท่านพี่ไปเรียนรู้มาจากคนที่มีชีวิตอยู่ชิ้นนี้มากจริงๆ โดยเฉพาะความหมายที่แฝงอยู่ด้านใน
“ถ้าเจ้าชอบ เดี๋ยวไว้ทำให้เจ้าอีกหลายๆ อัน” ผุ้คุมจัตุรัสแดงว่า
“ไม่…นี่…อันเดียวก็พอ…” สตรีกางร่มส่ายหน้า
“ก็ได้ ไปเถอะ สถานที่ต่อไป” ผู้คุมจัตุรัสแดงเลิกคิ้ว แล้วก้าวยาวๆ ไปยังที่ไกล
สตรีกางร่มตามติดอยู่ด้านหลัง ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเลียบคีรี นางรู้สึกเบิกบานใจ
…
หลายวันให้หลัง ลู่เซิ่งแอบไปดูดปราณภายในของยอดฝีมือด้านนอกทุกคืน เพียงลงมือกับคนที่ไม่ยอมรับพรรควาฬแดง ผ่านไปนานเข้า ก็มีคนพบแบบแผนของเหตุการณ์นี้ เดาว่าเป็นเขาเคลื่อนไหวในที่ลับ
หลายวันต่อจากนั้น เขาก็ดูดปราณภายในของยอดฝีมือในเมืองคูรวมกับเมืองผลัดหลิวทั้งหมดสามสิบกว่าคน ทั้งยังส่งคนไปรับขุมกำลังทั้งสองมาอยู่ใต้บังคับบัญชา
ส่วนปราณหยินที่ดูดมาแบ่งเป็นปราณเหลวสามหยดและหนึ่งหยด จัดสรรเป็นวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานกับปราณหยินหยางขวดสมบัติ แต่ละวิชามีปราณภายในสองร้อยปี
เมื่อเป็นแบบนี้ วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานของเขาก็มีพลังยุทธ์เก้าร้อยปีอันน่าสะพรึงกลัวแล้ว
ถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือทางเมืองผลัดหลิวได้ข่าว จึงหนีไปก่อน เขามีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะบรรลุระดับพลังยุทธ์พันปี
แต่ว่าหลังจากยุทธการในครั้งนี้ ยอดฝีมือไม่น้อยที่อยู่ใกล้เคียงก็ซ่อนร่องรอย คิดจะจับยอดฝีมือที่รวมกันเหมือนที่จินตนาการไว้เมื่อก่อนหน้า ก็ยากมากแล้ว
ลู่เซิ่งส่งคนไปรวบรวมตรวจสอบข้อมูล ยอดฝีมือหลายคนหนีกระจัดกระจาย ระยะทางค่อนข้างไกล ทั้งเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่่อง จึงหาตัวยาก
ในตอนนี้เอง จ้าวเจียวเจียวที่ถูกส่งไปหายาล้ำค่าก็กลับมา
“นี่เป็นยาล้ำค่าที่เจ้าเจอหรือ” ลู่เซิ่งมองตู้เหล็กสีดำที่วางอยู่ตรงหน้า หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่ทราบว่าจ้าวเจียวเจียวเล่นอะไรอยู่
ไม่เห็นมานาน ลมปราณของจ้าวเจียวเจียวเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
นางยังรักษาพลังระดับเอกะฟ้าในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นคุกใต้น้ำไว้ได้ หลังออกมาพอร่างกายได้รับการบำรุง ก็พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่เจอมาพักเดียว คล้ายก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว
“เมล็ดวิชาที่ประมุขพรรคมอบให้ไม่ธรรมดาจริงๆ! เจียวเจียวใช้เวลาหลายวันค่อยบรรลุ ก้าวสู่ระดับใหม่สำเร็จ” จ้าวเจียวเจียวตอบอย่างจริงจัง
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว” ลู่เซิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงข่ายกระเรียนหยิน เขาก้มหน้าจดจ้องตู้เหล็กด้านหน้า “ด้านในบรรจุสิ่งมีชีวิตกระมัง”
“ถูกต้อง ในกลุ่มยาล้ำค่าหลายชนิด ข้าเจอแค่อย่างเดียว คือบัวใบป่นพันปีต้นหนึ่ง แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ ตอนข้าน้อยไปถึง บัวใบป่นถูกสิ่งมีชีวิตในตู้กลืนกินไป ข้าน้อยจึงจับมันกลับมา” จ้าวเจียวเจียวอธิบาย
“เปิดออกดู” ลู่เซิ่งพลันสนใจ ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพอัศจรรย์อย่างหนึ่ง พลังฝึกปรือวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานระดับเก้าร้อยปี รวมถึงปราณหยินหยางขวดสมบัติระดับเก้าร้อยปี เพราะหยินหยางเชื่อมประสาน การลอกคราบที่เกิดขึ้นยิ่งมายิ่งแกร่ง
เขาเหมือนกับยืนอยู่ด้านหน้าประตูใหญ่ที่ไขสลักออกแล้ว ขอแค่ผลักเบาๆ ก็จะเข้าสู่ระดับอีกระดับหนึ่งได้
บางทียาล้ำค่าที่จ้าวเจียวเจียวนำมา อาจมอบการผลักดันสุดท้ายให้
ได้ยินดังนั้น จ้าวเจียวเจียวก็เดินไปจับประตูตู้ที่หันหน้าหาลู่เซิ่ง ก่อนจะกระชากออก
ฟิ้ว
เงาดำสายหนึ่งพลันพุ่งออกมา
ลู่เซิ่งคว้าเงาดำดุจสายฟ้าแลบ
เงาดำถูกคว้าไว้ ดิ้นอย่างรุนแรง แต่ไม่มีผลแม้แต่น้อย ลู่เซิ่งมีพละกำลังมหาศาลขนาดไหน สิ่งมีชีวิตน้อยๆ อย่างมันไม่อาจดิ้นหลุด
“งูสี่ตีนหรือ” หลังลู่เซิ่งมองเงาดำชัด ก็งุนงง
งูสี่ตีนถูกเรียกว่าจิ้งจกหรือกิ้งก่า นึกไม่ถึงสิ่งที่กินยาล้ำค่าไปจะเป็นมัน
งูสี่ตีนตัวนี้ต่างจากจิ้งจกทั่วไป ลำตัวท่อนหน้าแวววาวเป็นสีเขียวมรกต ลำตัวท่อนหลังเป็นสีดำสนิท เหมือนกับเพิ่งคลานออกมาจากในน้ำหมึก
หนำซ้ำหัวมันยังมีตัวอักษรประหลาดติดอยู่
ตามตัวอักษรในต้าซ่งของโลกใบนี้ นี่เป็นตัวอักษรมังกร
“หรือมันจะชื่อว่ามังกรสี่ตีน” ลู่เซิ่งถามอย่างขบขัน
“ประมุขความรู้กว้างขวาง มันชื่อมังกรสี่ตีนจริงๆ ชอบกินยาล้ำค่า มังกรสี่ตีนตัวนี้เป็นตัวเต็มวัยแล้ว ไม่ทราบว่ากินวัตถุฟ้าสมบัติดินไปเท่าไหร่ สารจำเป็น ปราณ เลือดที่อยู่ในตัวมันย่อมบำรุงร่างได้ดี” จ้าวเจียวเจียวอธิบายด้วยสีหน้าขึงขัง “นอกจากนี้ มันยังมีชื่ออีกอย่างเรียกว่ามังกรโลหิต มีการบันทึกไว้ในคัมภีร์ยา”
นางพอพูดแบบนี้ ลู่เซิ่งก็นึกออกว่าในคัมภีร์ที่ตนเคยอ่านมีการบันทึกถึงมันไว้จริงๆ
เพียงแต่เขานึกว่าเป็นแค่ตำนานเล่าขาน ไม่อาจแยกแยะจริงเท็จได้หลายจุด จึงไม่ได้สนใจ ตอนนี้จ้าวเจียวเจียวพูดขึ้น จึงค่อยนึกทบทวน
“จริงด้วย เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ…” ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อยขณะที่กำมังกรสี่ตีนที่ขนาดเท่าฝ่ามือตัวนี้ไว้ในมือ
ทันใดนั้นเขารู้สึกเจ็บปวดแปลบๆ ฝ่ามือที่กำสิ่งมีชีวิตชนิดนี้รู้สึกเจ็บ
เขาปล่อยสิ่งมีชีวิตชนิดนี้กลับไปในตู้ แล้วแบมือดู ฝ่ามือบวมกลายเป็นสีม่วงคล้ำ ถึงกับต้องพิษ
ลู่เซิ่งตะลึงงัน ปราณหยินหยางขวดสมบัติในปัจจุบันของเขาคือระดับอะไร พลังยุทธ์เก้าร้อยปี! ถึงกับต้องพิษได้หรือ พิษนี้ซึมเข้าไปถึงผิวหนัง
“ดีมาก เจ้าลำบากแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ แต่อย่าเพิ่งไปไหนไกลๆ” ลู่เซิ่งสั่ง
จ้าวเจียวเจียวขานรับ ล่าถอยไป
เหลือเขายืนอยู่ในห้องหนังสือ เพ่งมองตู้เหล็กสีดำใบนั้นคนเดียว พิษบนมือเขาเนื่องจากไม่ได้สัมผัสกับต้นกำเนิดโดยตรง ไม่ทันไรก็จางหายไป
หลังสำรวจสักพัก ลู่เซิ่งก็หิ้วตู้เดินไปห้องโอสถด้านในพรรค
เจอบันทึกเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนี้ในห้องโอสถอย่างรวดเร็ว เป็นอย่างที่คาด สัตว์ชนิดนี้เป็นยาล้ำค่าชนิดหนึ่ง จ้าวเจียวเจียวจับมันมาไม่ได้เสียแรงเปล่า
เขาวางมันไว้ในกรงเหล็กสำหรับเลี้ยงโดยเฉพาะ แล้ววางยาพิเศษส่วนหนึ่งกับสุราร้อนแรง เพื่อทำให้มันคายคุณสมบัติที่มีอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ออกมาตามบันทึกในคัมภีร์
หลังจัดการเสร็จ ก็เอาไปอาบในน้ำยา
ตามบันทึกในคัมภีร์ มังกรสี่ตีนนี้ต้องกินดิบๆ ถึงจะรักษาสรรพคุณยาไว้ได้มากที่สุด
ลู่เซิ่งจับมังกรสี่ตีนที่จัดการเรียบร้อยแล้ว เข้าไปในห้องสงบใจ ประกาศปิดด่าน
ปัจจุบันขาดแค่ก้าวสุดท้ายก่อนเข้าประตู ปราณภายในหยินหยางอยู่ในสภาพที่ละเอียดอ่อนชนิดหนึ่ง สมดุลที่เปราะบางนี้คล้ายทำให้การลอกคราบในตัวเขาเร่งเร็วขึ้น
ปราณภายในจำนวนมากเหมือนกับวัสดุติดไฟ ลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ปลดปล่อยพลังงาน ผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติของร่างกาย แต่ว่าความเร็วในการเผาไหม้ผลักดันชนิดนี้ขาดอีกเล็กน้อย จึงจะไปถึงความเร็วที่สูงกว่าเดิม จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติ
พึ่บ
ปราณภายในไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งลุกไหม้กลางฝ่ามือลู่เซิ่ง
นี่เป็นแค่เปลวเพลิงไร้รูปร่างที่เขาเห็นคนเดียว ใช้ปราณภายในธาตุหยางของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเผาไหม้แทนเปลวเพลิง
เขานั่งขัดสมาธิบนพื้นในห้องสงบใจ ชั่วขณะหนึ่งใคร่ครวญถึงเรื่องราวต่างๆ
‘ผู้คุมจัตุรัสแดงอาจจะสัมผัสได้แล้วก็ได้ เกิดนางต่อสู้กับศัตรูอย่างสมาคมหทัยร่อนเร่จบ สักวันก็จะมาหาเรื่องเรา ดังนั้นเราจำเป็นต้องเลื่อนระดับให้เร็วที่สุด จำเป็นต้องมีพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้!’
ลู่เซิ่งมองหน้าต่างห้องสงบใจ ท่อนเหล็กปิดผนึกเหมือนกับราวลูกกรงจำนวนมาก มีแสงสว่างเจิดจ้าหลายสายสาดเข้ามา
ผนังสีดำ แสงสว่างสีขาว ลูกกรงเหล็กที่ตั้งตรงเป็นระเบียบ ด้านนอกที่เห็นจากตรงนี้คือชั้นเมฆในท้องฟ้าสีขาวราวหิมะ
บางครั้งเวลาเขาเหนื่อยล้าจริงๆ ก็จะมองภาพท้องฟ้าเพื่อผ่อนคลายจิตใจเช่นนี้
การเดินทางท่ามกลางตระกูลขุนนางและภูตผีปีศาจตามลำพัง ต่อให้ลู่เซิ่งชมชอบความตื่นเต้นแบบนี้โดยธรรมชาติ ก็ยังมีช่วงเวลาเหนื่อยล้าเสมอ
บางครั้งเขาจะนึกว่า ถ้าภูตผีปีศาจตระกูลุขนนางเหล่านั้นทราบว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เพียงใช้มรรคายุทธ์ยกระดับขอบเขต ปะปนไปกับพวกเขา ไม่ทราบจะสร้างผลกระทบแบบไหน
‘อาจจะถูกขังเหมือนจ้าวเจียวเจียวก็ได้’ ลู่เซิ่งอดยิ้มไม่ได้
จ้าวเจียวเจียวถูกขังมาหลายสิบปี ถ้าไม่ใช่ตระกูลเจินเกิดความเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ใช่ประมุขพรรคเช่นเขาอยู่ๆ ก็นึกอยากไปคุกใต้ดิน นางอาจถูกขังแบบนี้จนตายก็ได้
‘พูดให้ถูกต้องก็คือ จ้าวเจียวเจียวตอนนั้นมีความหวังในการเลื่อนจากระดับเอกะฟ้าสู่ระดับใหม่ น่าเสียดาย…เราไม่ใช่จ้าวเจียวเจียวคนที่สอง…’
ฟู่ว!
เปลวเพลิงไร้รูปร่างพลันขยายใหญ่ ลู่เซิ่งเปิดตู้เหล็กสีดำอย่างแผ่วเบา มังกรสี่ตีนหมอบอยู่ด้านในอย่างหวาดกลัว ไม่ขยับเขยื้อน
ลู่เซิ่งยื่นมือเข้าไปจับมัน แล้วยกมันมาตรงหน้า
ห่างกันไม่ถึงหนึ่งหมี่ กลิ่นประหลาดโชยออกมาจากตัวมังกรสี่ตีน เข้าสู่จมูกของเขา กลิ่่นนี้ฉุนจมูก เข้าสู่ช่วงปอดเหมือนพริกที่เผ็ดที่สุด
‘เริ่มกันเลย’
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้น ยกมังกรสี่ตีนขึ้นไปด้วย
เขาจับมังกรสี่ตีนไว้กลางฝ่ามือ ก่อนบีบอย่างแรง เสียงฉูดเมื่อมันกลายเป็นเลือดเนื้อก้อนใหญ่ ของเหลวสีแดงย้อยผ่านร่องนิ้วตกใส่ปากของเขาที่อ้าไว้
เลือดจำนวนมากไหลเข้าสู่ปากลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง อุณหภูมิบนตัวเขาเริ่มทะยานขึ้น
……………………………………….