เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ เสิ่นเทียนถึงกับอึ้งไปเลย
ตายแล้ว ข้าชะล้างขาวสะอาดแล้วไม่ใช่หรือ
เหตุใดยังซวยเช่นนี้อีก!
ไม่ได้การ ต้องรีบหนีตอนที่ยังไม่ถูกพบ
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็เอาหินตรงปากถ้ำออกแล้วหนีออกมาจากในถ้ำ
เขาไม่กล้าขี่กระบี่บินอีก เพราะหมอกวิญญาณพวกนี้ขวางเถาจองจำเซียนไม่ได้แล้ว
ถ้าเสิ่นเทียนขี่กระบี่บิน มีโอกาสสูงที่จะถูกเถาจองจำเซียนลากลงมาจากบนฟ้า ถ้าที่นี่เป็นฐานใหญ่ของเถาจองจำเซียนจริงๆ เช่นนั้นการถูกเถาจองจำเซียนมัดไว้ที่นี่ก็ค่อนข้างน่าอนาถาเลย
เสิ่นเทียนมัดหน้ากากขนหงส์ไว้ใกล้หน้ากว่าเดิมอีกเล็กน้อย รูขุมขนและทวารทั่วร่างปิดสนิท
พยายามไม่ให้กลิ่นอายมนุษย์ออกมาสุดชีวิต ออกไปเงียบๆ อย่าส่งเสียง
เสิ่นเทียนก้มตัวหนีออกไปนอกหุบเขาอย่างรวดเร็วและสุขุมยิ่ง
ทว่าทันใดนั้นเองก็มีเสียงเย้าหยอกดังขึ้น
“คิกๆ ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
เสียงนี้นุ่มนวลและหยาดเยิ้ม ขจัดวิญญาณกัดกินกระดูก
มันดังขึ้นทุกมุมของหุบเขา กึกก้องชัดเจน
ใช่ นี่คือเสียงมารดาเถา เหมือนกับที่เสิ่นเทียนได้ยินมาก่อนหน้านี้
เสิ่นเทียนนิ่งอึ้งไปทันที ข้าระวังเช่นนี้แล้ว เหตุใดยังถูกพบ เจ้าเป็นสุนัขรึ
หรือว่าจะต้องโดนปีศาจหญิงแก่อายุหลายพันปีนี่จับตัวไปครอบครองและสูบกินจริงๆ
ความไม่ยอมพุ่งทะลักขึ้นหัวใจอย่างรุนแรง เสิ่นเทียนตัดสินใจสาบานว่าจะไม่ยอมเด็ดขาด!
ทว่าตอนนี้เองกลับมีดวงตะวันใหญ่สว่างจ้าอย่างยิ่งดวงหนึ่งลอยขึ้นกลางหุบเขาหมอกวิญญาณ มันเปล่งแสงสว่างพร่างพราวยิ่ง เปล่งแสงและแผ่กระจายความร้อนกว้างใหญ่ ทำให้ใช้สายตามองตรงๆ ไม่ได้
เสียงเกรี้ยวโกรธดังขึ้นกลางดวงตะวันใหญ่นั้น “ลวี่จี เจ้าผิดคำสัญญาระหว่างเรา หรือคิดจะสู้กับข้ากัน”
เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากดวงตะวันใหญ่แล้ว เสิ่นเทียนถอนหายใจโล่งอก ที่แท้ปีศาจแก่นี่ก็ไม่ได้พูดกับเขา
ก็ใช่ เทียบพลังบำเพ็ญของเสิ่นเทียนกับมารดาเถาแล้ว เขาเล็กจ้อยราวกับมดปลวก ประกอบกับมีหน้ากากขนหงส์อำพรางพลัง เลยถูกพบได้ยากมาก
แต่ตอนนี้สองผู้แข็งแกร่งประชันกัน พลังแก่กล้าหมุนม้วนไปทั้งหุบเขา
เสิ่นเทียนไม่กล้าบุ่มบ่ามต่อ ไม่อย่างนั้นเกิดถูกพบขึ้นมาจะต้องเจอกับมหาสุดยอดหายนะ
เขาซ่อนอยู่หลังหินก้อนหนึ่งอย่างระมัดระวัง เก็บกลิ่นอายพลังสุดชีวิตพลางคิดในใจ ‘ข้าคือก้อนหิน ข้าคือก้อนหิน’
ต่อมาเขาก็รู้สึกว่าแผ่นดินกำลังสั่นสะเทือน ใต้ดินทั้งหุบเขาเหมือนมีงูเหลือมยักษ์จำนวนมากขยับยึกยือไปมา เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นทุกแห่งในหุบเขาชัดเจน เศษหินเหลือคนานับพากันร่วงลงมาจากหุบเขา
กระทั่งเสิ่นเทียนยังรู้สึกได้ว่าข้างล่างเขามีบางสิ่งใหญ่มหึมากำลังขยับอยู่
ตัวเขาขยับขึ้นลงตามเถาวัลย์ยักษ์นั้น
เห็นได้ชัดเลยว่าใต้ทั้งหุบเขานี่ปูพรมไปด้วยร่างของมารดาเถาแล้ว เถาวัลย์ของนางยึดครองใต้ดินทั้งหมด แทบทั้งหุบเขาหมอกวิญญาณกลายเป็นถิ่นฐานของนางหมด
เสียงหยาดเยิ้มดังขึ้นกลางหุบเขาอีกครั้ง “สุริยะฟ้า ไฉนต้องโมโหเช่นนี้ด้วยล่ะ! ไม่มีความจำเป็นเลยจริงๆ”
เพิ่งสิ้นเสียง ก็มีเถาวัลย์สีดำยักษ์ยาวร้อยจั้งพุ่งขึ้นกลางหุบเขา ผู้หญิงงดงามเป็นเลิศยืนอยู่บนนั้นคนหนึ่ง นางสวมเกราะเถาสีเขียวอมดำ บดบังจุดซ่อนเร้นเอาไว้ ผิวพรรณขาวเนียนแทบจะเปลือยกายทั้งหมด
รูปร่างชวนมองอย่างยิ่ง เอวและแขนขาเรียวยาวราวกับไร้กระดูก แกว่งไกวเบาๆ เหมือนกับปีศาจ
อ้อ นางก็เป็นปีศาจอยู่แล้วนี่
นี่คือหญิงงามเป็นเอกแห่งยุคคนหนึ่ง กระทั่งทำให้คนรู้สึกเต็มใจให้นางสูบกินจนเหือดแห้ง
นางยืนบนต้นเถาวัลย์อย่างปราดเปรียว ส่งสายตางามให้ดวงตะวันใหญ่นั้น “เราต่างก็รู้จักกันดี อย่าก่อเรื่องเลย”
จากนั้นมีโต๊ะไม้ค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนต้นเถาวัลย์ บนโต๊ะยังวางของเหลวสีขาวขุ่นสองแก้ว ส่งกลิ่นหอมเข้มข้น
“นี่คือสุราเหลวเซียนที่ข้ากลั่นบริสุทธิ์มาห้าร้อยปี รู้ว่าเจ้าถูกปากมันที่สุด”
ลวี่จียกสุราสองแก้วขึ้นเบาๆ ดื่มแก้วหนึ่งหมด อีกแก้วส่งไป
แก้วสุราที่รินสุราชั้นดีเต็มทะลวงผ่านมวลอากาศไปยังดวงตะวันมหึมานั้น
ทว่าแก้วยังไม่ทันเข้าใกล้ดวงตะวันมหึมานั้นก็เผาตัวเองไปกลางอากาศ
เพลิงร้อนแรงเผาสุราชั้นดีเป็นอากาศธาตุ ดวงตะวันใหญ่หุบกลับมาช้าๆ จมเข้าไปในร่างบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
เขาสวมชุดคลุมผ้าสีดำ ใบหน้าถูกต้องชอบธรรม ไว้เคราและจอนผม ข้างหลังแบกกระบี่ใหญ่ยาวสี่ฉื่อเล่มหนึ่ง
ตอนนี้เส้นผมเขาปลิวไสว ใบหน้ามีแต่ความโกรธและเย็นชา “ลวี่จี อย่าใช้ของแบบนี้มาซื้อข้า!”
ลวี่จีมองเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าด้วยความแค้นเคือง “อ้อ ตอนนั้นชายโฉดบางคนไม่ได้พูดเช่นนี้นี่ ตอนนั้นผู้ฝึกกระบี่น้อยเจอข้ายังบอกว่าของเหลวบ้านข้าอร่อยที่สุด ดื่มเท่าไรก็ไม่พอ ทำไม ตอนนี้เป็นยอดฝีมือของเผ่ามนุษย์แล้ว รังเกียจที่ข้าเป็นปีศาจ จะกำจัดปีศาจรึ”
เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าหน้าแดง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ลวี่จี เรื่องพวกนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว ผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามนุษย์บุกเข้ามาเสี่ยงภัยในที่ราบหมอกลับแล ถ้ามีใจละโมบทำชั่วที่ถึงตายก็ไม่อาจให้อภัยได้ ข้าจะไม่ขวางเจ้า แต่วันนี้ เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้เถาจองจำเซียนกลายพันธุ์ล้อมโจมตีเมืองหมอกลับแลมากขนาดนั้น หรือเจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับเผ่ามนุษย์จริงๆ กัน”
มารดาเถาลวี่จีค่อยๆ หุบรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาที่มองเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน “อ้อหรือ อนุญาตให้เผ่ามนุษย์พวกเจ้าบุกเข้ามาล่าเถาจองจำเซียนในที่ราบหมอกลับแลตามอำเภอใจ แต่ห้ามข้าฆ่ามนุษย์หรือ วันนี้ข้าจะสูบกินทุกคนในเมืองหมอกลับแล เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้!”
เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง “พูดเช่นนี้ หมายความว่าระหว่างเราไม่ต้องคุยกันแล้วรึ”
ลวี่จีหัวเราะเบาๆ “ใครว่าไม่ต้องคุยกัน วันนี้เป็นวันที่ข้าฝ่าด่านเคราะห์เลื่อนเป็นผู้อริยะ รอข้าฝ่าสี่สิบเก้าเคราะห์สวรรค์ก่อนก็จะกลายเป็นร่างมนุษย์ได้อย่างแท้จริง ได้เป็นอิสระในโลกนับจากนี้
สุริยะฟ้า เมื่อก่อนเจ้าชอบข้ามากไม่ใช่รึ รอข้ากลายร่างแล้วจะครองคู่กับเจ้าดีหรือไม่ ถึงตอนนั้นข้าจะบ่มสุราให้เจ้า ไปทั่วทุกแห่งหนกับเจ้า ขึ้นเหนือลงใต้ ท่องใต้หล้าด้วยกันจะไม่มีความสุขกันหรือ”
เสิ่นเทียนซ่อนอยู่หลังก้อนหิน ฟังแล้วตัวสั่นไปหมด
ตายแล้ว ไม่นึกเลยว่าอาจารย์ผู้หวังดีของจ้าวเฮ่าจะมีรสนิยมรุนแรงเช่นนี้
สมัยหนุ่มๆ มีความรักกับมารดาเถา และยังคงจำได้ไม่ลืมเลือน
เอาเถอะ เสิ่นเทียนรู้ว่าตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดอยู่ คิดเรื่องไร้สาระพวกนี้ไปไม่เหมาะสม
แต่สถานการณ์ของเขาในตอนนี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ จะไปก็ไปไม่ได้ ได้แต่กินเมล็ดแตงชมการแสดงต่อไปเงียบๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากในคำพูดของมารดาเถาลวี่จีแล้ว นัยน์ตาเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าก็เกิดการดิ้นรนขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าคนชราสองคนนี้ยังมีความรักต่อกัน
ทว่าเขาก็ยังส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ไม่มีทาง มือเจ้าเปื้อนเลือดเผ่ามนุษย์ ข้ายอมรับเจ้าไม่ได้เด็ดขาด”
มารดาเถาลวี่จีแค่นยิ้ม “อ้อ เพราะข้าเคยสังหารคนโลภไม่รู้จักพอ เจ้าก็เลยดูถูกข้าอย่างนั้นรึ อย่าลืมสิ เผ่ามนุษย์พวกเจ้ายังฆ่ากันเองเลย เหตุใดพอเป็นข้าเจ้าถึงยอมรับไม่ได้ล่ะ
เหอะๆ จะว่าไปก็คงเพราะเราไม่ใช่เผ่าเดียวกัน จิตใจย่อมต่างกัน มองความต่างของเผ่าพันธุ์ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”
ขณะพูดอยู่นั้น ร่างของมารดาเถาลวี่จีค่อยๆ หายไป “สุริยะฟ้า เจ้ามันโง่เขลาจริงๆ ในเมื่อเจ้าไม่ชอบที่ข้าสังหารมนุษย์ เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าให้เจ้าดู!
วันนี้ข้าจะฝ่าด่านเคราะห์กลายเป็นผู้อริยะ ข้าจะเอาเผ่ามนุษย์มาเป็นเครื่องเซ่น! ข้าอยากรู้นักว่าวันนี้เจ้าจะขวางข้าได้อย่างไร!”
……………………….