เปียนเหวินเม่าลุกขึ้นยืนช้าๆ เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
หลี่ไหวคือเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ภรรยาพูดถึงค่อนข้างบ่อย ถ้อยคำที่ใช้ไร้ความเกรงใจ เล่าเรื่องสกปรกน่าอายมากมายของเขา ดังนั้นจึงเป็นคนที่เปียนเหวินเม่าไม่สนใจมากที่สุด แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นตอไม้ทึ่มทื่อหัวทึบเรียนไม่เก่ง อาศัยบุญกุศลที่บรรพบุรุษสั่งสมมาจึงไปเรียนที่สำนักศึกษาซานหยาได้ คนแบบนี้มอบบันไดให้เขาหลายก้าวก็ยังยืนได้ไม่มั่นคง ไม่ช้าก็เร็วต้องถอยกลับไปยังขั้นล่างสุดของบันได ต่งสุ่ยจิ่งผู้นั้นจะดีจะชั่วก็ยังมีฝีมืออยู่บ้าง เริ่มจะมีข่าวลือเล็กๆ บางอย่างแพร่ออกมา บอกว่าคนผู้นี้ตีสนิทผู้ตรวจการเฉาและเจ้าเมืองหยวนไปได้ในเวลาเดียวกัน หากเป็นเช่นนี้จริง การค้าขายของเขาก็น่าจะไม่เล็กมากนัก
หลี่ไหวเอ่ยทักทายเปียนเหวินเม่าก่อน เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่เห็นตนอยู่ในสายตา มีมารยาทแต่ห่างเหิน แต่ถึงอย่างไรตนก็ไม่ควรทำให้เพื่อนสนิทอย่างสือเจียชุนต้องกระอักกระอ่วน จึงยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า
จากนั้นก็เดินไปนั่งแปะลงตรงข้ามสือเจียชุน หลี่ไหวหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน พูดเสียงอู้อี้ว่า “ก่อนที่เป่าผิงจะออกเดินทาง นางบอกว่าก่อนจะกลับสำนักศึกษาจะไปหาเจ้าที่เมืองหลวงก่อน”
สือเจียชุนยิ้มกล่าว “นับว่ายังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง”
หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกัน อันที่จริงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไม่เลวมาโดยตลอด ก็แค่ชอบงัดข้อกันเอง สือเจียชุนรู้สึกว่าน่าสนุก เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะพวกเขาต่างก็ชอบพี่สาวของหลี่ไหวกันทั้งคู่
สือเจียชุนกลับไม่ได้รู้สึกว่าการที่หลินโส่วอีมีชาติกำเนิดดีกว่า อีกทั้งยังเป็นบัณฑิต แล้วหลี่หลิ่วจะต้องชอบหลินโส่วอี
สือเจียชุนรู้สึกว่าหลี่หลิ่วที่มักจะไปรับน้องชายตอนเลิกเรียนที่โรงเรียนเป็นประจำผู้นั้นให้ความรู้สึกแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน ตามหลักแล้วปีนั้นหลี่หลิ่วอายุมากกว่า เป็นเด็กสาวแล้ว ไม่ว่าเห็นใครก็ล้วนมีท่าทีอบอุ่นอ่อนโยน เมื่อเทียบกับจื้อกุยที่อยู่ข้างกายซ่งจี๋ซินของตรอกหนีผิง คนทั้งสองก็มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ต่างก็ถือเป็นตัวอ่อนของสาวงาม ทว่าสือเจียชุนกลับรู้สึกว่าหากต้องอยู่ร่วมกันจริงๆ สาวใช้จื้อกุยที่ไม่เคยยิ้มให้ใครอาจจะคบค้าสมาคมได้ไม่ยากเหมือนกับหลี่หลิ่ว
เปียนเหวินเม่ายังต้องไปร่วมงานเลี้ยงกับสหายที่เขตการปกครอง เพียงแต่ว่านานๆ ทีภรรยาจะออกจากเมืองหลวงกลับมายังบ้านเกิด อีกทั้งยังได้มาเจอกับเพื่อนวัยเด็ก ทั่นฮวาหลางท่านนี้จึงพยามยามอดทนข่มกลั้น ไม่เผยความรู้สึกออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย
สือเจียชุนเป็นคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี อยู่ที่ร้านยาสุ้ยประมาณครึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็ลุกขึ้นจากไป ไปยังเขตการปกครอง เพราะรถม้าของเพื่อนสามีมาจอดรออยู่ที่ตรอกฉีหลง
พวกหลี่ไหวพากันเดินมาส่งนางที่หน้าประตูร้าน พอดีกับที่อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยเองก็ออกจากสำนักศึกษาหลินลู่ลงเขามาที่ตรอกฉีหลงพอดี ทุกคนจึงคิดว่าจะไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
ก่อนหน้านี้หลี่ไหวไปมาก่อนแล้วคนเดียว พอกลับไปถึงสำนักศึกษาบนภูเขาพีอวิ๋นก็พร่ำบ่นอยู่ตลอดเวลาว่า พ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย พ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย
เปียนเหวินเม่าไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าใดนัก เขาเอ่ยลากับทุกคนอย่างมีมารยาท ประคองภรรยาขึ้นรถม้า สุดท้ายก็กุมมือคารวะบอกลา
มองส่งรถม้าที่จากไปไกล ทุกคนก็กลับไปคุยกันในเรือนหลังต่อ หลี่ไหวเอาสองมือรองสอดไว้ใต้ท้ายทอย “เปียนเหวินเม่าผู้นี้ในใจวางมาดใหญ่โตไม่น้อยเลย”
หลินโส่วอีกล่าวอย่างเฉยเมย “สือเจียชุนหาสามี เปียนเหวินเม่าชอบนางจากใจจริงก็พอแล้ว สือเจียชุนไม่ได้หาเพื่อนมาให้คุยกับพวกเราเสียหน่อย”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้าเห็นด้วย
หลี่ไหวเบ้ปาก “ข้าแค่รู้สึกว่าสือเจียชุนหาได้ดียิ่งกว่านี้”
หลินโส่วอีส่ายหน้า “ไม่มีเหตุผลให้อธิบาย”
หลี่ไหวพลันรู้สึกเป็นกังวล “หลี่เป่าผิงไปท่องยุทธภพคนเดียวจะไม่เป็นไรแน่หรือ? นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนนะ”
หลินโส่วอีครุ่นคิด แต่ก็ไม่ยอมเปิดเผยความลับนั้น
อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
คนเดียวที่ถูกปิดหูปิดตา คาดว่าก็คงมีแค่หลี่ไหวที่ขอแค่ออกจากบ้าน จะโชคดีหรือไม่ก็ต้องดูแค่ว่าบนพื้นมีขี้หมาหรือไม่แล้ว
ก่อนจะไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว หลินโส่วอีบอกให้พวกหลี่ไหวรอสักครู่ เขาไปที่บ้านบรรพบุรุษ เก็บกวาดลานบ้านและศาลบรรพชน บัณฑิตหนุ่มท่องคำสั่งสอนประจำตระกูลอยู่เพียงลำพัง
สุดท้ายจุดธูปสามดอก พึมพำว่า “ขอบคุณนักปราชญ์ผู้ล่วงลับ”
หลี่ไหวใจร้อน จึงบอกว่าเขาจะไปรอที่ภูเขาเจินจูก่อน
พอไปถึงภูเขาลูกเล็กที่ห่างจากบ้านบรรพบุรุษของตัวเองไปไม่ไกล เผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ก็มารออยู่ที่นั่นนานแล้ว
เผยเฉียนเอ่ย “ขุนพลผู้พ่ายศึก!”
หลี่ไหวรีบเอ่ยทันที “แม้จะแพ้แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ ไม่กล้าพูดจาห้าวเหิม!”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ มีคุณธรรม
เผยเฉียนถาม “ลูกสมุนสองคนของสาขาย่อยพวกเราล่ะ?”
หลี่ไหวกล่าวอย่างละอายใจ “เจ้าสองคนนั้นเขียนบทความออกนอกเรื่อง เลยถูกอาจารย์ด่าจนเละ เวลานี้ต้องกำลังนั่งกัดพู่กันอยู่เป็นแน่”
เผยเฉียนส่ายหน้า จากนั้นก็ชี้ไปยังหมี่ลี่น้อยที่อยู่ข้างกายตัวเอง “วันหน้าโจวหมี่ลี่ก็คือรองเจ้าสาขาของสาขาย่อยพวกเราแล้ว”
โจวหมี่ลี่อึ้งตะลึงอยู่ที่เดิม ความน่ายินดีหล่นลงมาจากฟ้า! ตอนนี้ตนมียศตำแหน่งเยอะยิ่งนัก!
หลี่ไหวยินดีอย่างมาก
สาขาย่อยที่เดิมทีก็มีคนอยู่แค่สามคน ตอนนี้ในที่สุดก็พอจะมีความหมายของคำว่ากองกำลังอันแข็งแกร่งบ้างแล้ว
จากนั้นทุกคนก็พากันเดินขบวนไปยังภูเขาลั่วพั่ว
พอไปถึงบนภูเขา อวี๋ลู่ก็หยุดอยู่ตรงประตูภูเขา บอกว่าจะขึ้นเขาไปช้าหน่อย จะไปคุยเล่นกับหยวนไหลที่อ่านหนังสือพลางเฝ้าประตูไปด้วยก่อน
เซี่ยเซี่ยเองก็ออกไปเดินเล่นเพียงลำพัง นางไปเจอกับเฉินยวนจีที่ฝึกหมัดท่าเดินนิ่ง รวมไปถึงเด็กสาวหยวนเป่าที่ฝึกยืนนิ่งอยู่ข้างกายตรงศาลเทพภูเขาบนยอดเขาโดยบังเอิญ
สีหน้าของเซี่ยเซี่ยเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
เหมือนมองเห็นตัวเองในช่วงเวลาอดีตที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล
หลังจากนั้นเมื่อได้รับคำอนุญาตจากพ่อครัวเฒ่าและเว่ยป้อ เผยเฉียนก็พาหมี่ลี่น้อยไปเยือนพื้นที่มงคลรากบัว เดินไปบนเส้นทางที่เคยเดินในอดีต ขึ้นเขาลงห้วยไปถึงเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
ตอนที่เดินผ่านตรอกจ้วงหยวนก็เข้าไปจุดธูปในวัดแห่งนั้น จากนั้นก็ไปนั่งเหม่ออยู่ในระเบียงทางเดิน
ถึงอย่างไรโจวหมี่ลี่ก็มาเป็นเพื่อนเผยเฉียนอยู่แล้ว ยามที่เผยเฉียนอารมณ์ดี หมี่ลี่น้อยก็จะพูดมากหน่อย ยามที่เผยเฉียนอารมณ์ไม่ดี นางก็จะเงียบงันตามไปด้วย
สุดท้ายเผยเฉียนไปเยือนเรือนพักส่วนตัวหลังหนึ่ง นางแอบจ่ายเงินซื้อเอาไว้ อันที่จริงพ่อครัวเฒ่าก็รู้ เพียงแค่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งไม่ได้ควบคุมนางก็เท่านั้น
สถานที่แห่งนั้นคือเรือนอันเงียบสงบที่ในอดีตมารร้ายติงอิงพายาเอ๋อร์และโจวซื่อหนุ่มปักบุปผาของตำหนักคลื่นวสันต์ไปพักค้างแรมอยู่ที่นั่น
เผยเฉียนนั่งขัดสมาธิ ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นเลียนแบบอาจารย์ แล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ หล่อเลี้ยงบำรุงปณิธานหมัด
การที่นางมาที่นี่ก็เพื่อจะฝ่าด่านบนวิถีวรยุทธ
โชคชะตาบู๊ของพื้นที่มงคลรากบัว นางเผยเฉียนต้องการอาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงมาได้มากเท่าไรก็เท่านั้น
อีกทั้งถึงเวลานั้นเว่ยป้อจะเปิดประตูใหญ่ของพื้นที่มงคล เมื่อได้รับโชคชะตาบู๊มาจากใต้หล้าไพศาล เผยเฉียนเองก็จะเลียนแบบอาจารย์ ต่อยพวกมันให้แหลกสลายทั้งหมด ให้พวกมันกลับมาหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคลรากบัว
ท่านปู่ชุยจากไปแล้วก็คือจากไปแล้ว ไม่อาจกลับมาบ้านได้อีก
ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางได้นำโชคชะตาบู๊ที่ท่านปู่ชุยทิ้งไว้ที่นี่ นำกลับไปยังภูเขาลั่วพั่ว
…….
พื้นที่ใจกลางของแจกันสมบัติทวีปได้เริ่มทำการขุดเจาะเส้นทางลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์แล้ว นี่เกี่ยวพันไปถึงแม่น้ำลำคลองหลายสิบสาย ภูเขาหลายลูกที่มีศาลเทพภูเขาและศาลเทพแห่งผืนดินหลายสิบแห่ง
การลงทุนก้อนใหญ่ที่ใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ ต่อให้เป็นพวกชาวบ้านของแคว้นที่ล่มสลายทั้งหลายก็ยังสะทกสะท้อนใจไม่หยุด คนเถื่อนต้าหลีช่างกล้าคิดในเรื่องที่คนอื่นไม่กล้าคิด กล้าทำในเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้จริงๆ
ราชสำนักต้าหลีใช้แรงงานประชาชน เผาผลาญทรัพย์สมบัติไปมากขนาดนี้ ฮ่องเต้หนุ่มละโมบในคุณความชอบ อยากยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่กลัวว่ามีวันที่รุ่งเรืองก็จะมีวันที่เสื่อมถอยบ้างเลยหรือ? ถึงเวลานั้นคนที่เดือดร้อนก็ไม่ใช่ชาวบ้านตาดำๆ หรือไร?
เพียงแต่ได้ยินมาว่าสำนักศึกษากวานหู ขุนเขากลางแห่งใหม่ที่ชื่อเสียงดีเยี่ยม รวมไปถึงสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่มีชื่อเสียงมานานต่างก็มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย นี่จึงยิ่งทำให้ความรู้สึกของคนประดังประเดสับสน
หรือว่าวันหน้าตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปจะต้องแซ่ซ่งเหมือนกันหมดจริงๆ? กลายเป็นสถานที่ที่มีเพียงหนึ่งครอบครัวหนึ่งแซ่?
ราชสำนักต้าหลีดึงคนสามคนจากในท้องที่ให้ไปรับผิดชอบเรื่องการขุดเจาะลำน้ำสายใหญ่ แบ่งออกเป็นกวนอี้หรานหลานชายผู้สืบทอดสกุลกวนเสาคานของแคว้น หลิวสวินเหม่ยเมล็ดพันธ์แม่ทัพจากถนนฉือเอ๋อร์ หลิ่วชิงเฟิงขุนนางบุ๋นจากแคว้นชิงหลวน
นอกจากคนสุดท้ายที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน วงการขุนนางของเมืองหลวงต้าหลีต่างก็คุ้นเคยกับคนหนุ่มสองคนอย่างกวนอี้หรานและหลิวสวินเหม่ยเป็นอย่างดี หนึ่งเพราะคนทั้งสองมีชาติกำเนิดจากตระกูลชนชั้นสูง สองเพราะพวกเขาต่างก็เป็นบุคคลมีความสามารถในกลุ่มของคนรุ่นเยาว์ โดยเฉพาะกวนอี้หรานที่เข้าร่วมกองทัพชายแดนตั้งแต่อายุยังน้อย อาศัยสถานะผู้ฝึกตนติดตามกองทัพเติบโตขึ้นมาท่ามกลางกองคนตาย หลิวสวินเหม่ยเองก็ไม่แย่ไปกว่ากัน ตลอดเส้นทางการลงใต้ก็สู้สุดชีวิตอาศัยการเข่นฆ่าจนได้สถานะขุนนางมา
ตระกูลกวนรับผิดชอบหน้าที่ในกรมขุนนางมานานหลายปี ถูกขนานนามว่าเป็นใต้เท้าเจ้ากรมที่มั่นคงดุจขุนเขา เป็นรองเจ้ากรมและหลางจงดุจสายน้ำไหล
โดยทั่วไปแล้วรองเจ้ากรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองเจ้ากรมฝ่ายซ้าย เมื่อถูกโยกย้ายให้ไปทำงานนอกพื้นที่ ดำรงตำแหน่งขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาแห่งหนึ่ง ต่อให้ระดับขั้นเท่ากัน แต่ก็ถือว่าถูกลดลำดับขั้นแล้ว
ดังนั้นรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายของกรมขุนนางจึงมีคำพูดตลกขำขันแพร่หลายในวงการขุนนางต้าหลีอยู่มาก เล่าลือกันว่าเคยมีสองคนที่ออกจากเมืองเพื่อไปเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินา อาณาเขตที่ดูแลอยู่ติดกัน ล้วนมีชาติกำเนิดมาจากรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายของกรมขุนนางเหมือนกัน เจอหน้ากันก็ได้แต่ยิ้มให้อีกฝ่าย
แต่ราชสำนักต้าหลีกลับไม่คุ้นเคยกับหลิ่วชิงเฟิง ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่กรมขุนนางที่มีนายท่านผู้เฒ่ากวนเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ดูแลก็เคยพลิกเปิดเอกสารมานับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับหลิ่วชิงเฟิงไปอย่างไร
เรื่องที่แคว้นชิงหลวนแคว้นใต้อาณัติเปิดทำการขนส่งทางน้ำอีกครั้ง คำประเมินที่กรมขุนนางมีต่อเรื่องนี้ถือว่าปกติธรรมดามาก แค่คำเดียวว่าดี ถือว่าไม่มีคุณความชอบ แต่ก็มีคุณความเหนื่อยยากเล็กๆ ถึงได้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลของสถานที่แห่งหนึ่ง ถูกราชสำนักโยกย้ายให้ไปรับหน้าที่เป็นเจ้าเมืองของเขตการปกครองที่อยู่ริมชายแดนแห่งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่านั่งอยู่บนตำแหน่งก้นยังไม่ทันร้อนก็ต้องรีบเดินทางขึ้นเหนือทันที ต้องไปคบค้าสมาคมกับเทพเซียนบนภูเขาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขุนเขาสายน้ำที่สูงส่งเกินกว่าจะป่ายปีนได้ถึง เลื่อนจากขุนนางขั้นสี่ชั้นเอกมาเป็นขั้นสามชั้นโท ราชสำนักต้าหลีแต่งตั้งตำแหน่งผู้ตรวจการลำน้ำใหญ่ขึ้นมาชั่วคราว ลำดับขั้นของทั้งกวนอี้หรานและหลิวสวินเหม่ยต่างก็ยังไม่เปลี่ยน ดังนั้นจึงเหมือนพวกเขากลายมาเป็นผู้ช่วยของขุนนางบุ๋นจากแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติแห่งหนึ่ง
แต่คนที่เปลี่ยนจากเสมียนใต้อาณัติมาเป็นขุนนางใหญ่ในวงการขุนนางของต้าหลี หลิ่วชิงเฟิงไม่ใช่คนแรก เว่ยหลี่เจ้าเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่งในแคว้นหวงถิงแคว้นใต้อาณัติเก่าของต้าสุยก็ได้เลื่อนขั้นติดต่อกันหลายระดับ ถูกเลื่อน ขั้นเป็นกรณีพิเศษให้เป็นผู้ว่าจังหวัดหลงโจวต้าหลีในปัจจุบัน ในบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ อาณาเขตของเมืองหงจู๋ เทพแห่งผืนดินบางองค์ที่อยู่ในสถานที่อันเป็นจุดรวมตัวของแม่น้ำสามสายนี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเทพอภิบาลเมืองของจังหวัด จึงกลายมาเป็นหัวข้อวิจารณ์ด้วยความประหลาดใจของคนในวงการขุนนาง
เหวยเหลียงผู้ตรวจการใหญ่ของแคว้นชิงหลวน ว่ากันว่าก็มีแววจะได้เลื่อนขั้นเหมือนกัน ทางฝั่งของกรมขุนนางต้าหลีเริ่มปล่อยข่าวลือแพร่มาแล้ว
แคว้นชิงหลวนที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนจากพื้นที่กันดารห่างไกลมาเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่โชคชะตาขุนนางรุ่งโรจน์
ขุนนางแบ่งออกเป็นน้ำใสน้ำขุ่น ทุกวันนี้การแบ่งแยกใสขุ่นที่ใหญ่ที่สุดของแจกันสมบัติทวีป แท้จริงแล้วก็ดูที่ว่ามีชาติกำเนิดเป็นคนในท้องถิ่นของต้าหลีหรือไม่
เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงในวงการขุนนางเหล่านี้ เมื่อเทียบกับเว่ยป้อเทพแห่งผืนดินบนภูเขาฉีตุนซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นเสินสุ่ยที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเทพภูเขาของภูเขาพีอวิ๋นก่อน แล้วจากนั้นก็ได้กลายเป็นซานจวินแห่งขุนเขาเหนือของหนึ่งทวีปแล้ว ก็ไม่นับเป็นอะไรได้เลย ไม่มีค่าพอให้ตกตะลึงด้วยซ้ำ
กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีพาทัพลงใต้มานานหลายปี อันที่จริงใบหน้าของคนหนุ่มที่ได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพบู๊กลับมีมากยิ่งกว่า นอกจากลูกหลานของตระกูลเมล็ดพันธ์แม่ทัพแล้ว ก็ไม่ขาดแคลนพวกคนที่มีชาติกำเนิดจากหมู่ชาวบ้านยากจนเหมือนกัน
เพียงแต่ว่ากองทัพชายแดนต้าหลีมีคนตายเร็ว เลื่อนขั้นเร็ว ชาวบ้านของต้าหลีที่ถูกเหตุการณ์เช่นนี้แทรกซึมโอบล้อมมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี จึงเคยชินกันมานานแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของระบบทำเนียบวงศ์ตระกูลของขุนนางบุ๋นและของภูเขาสายน้ำล้วนเข้มงวดมาโดยตลอด การที่จู่ๆ ก็มีคนโผล่มาเช่นนี้จึงค่อนข้างจะสะดุดตา
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ขุนนางผู้ดูแลหลักเรื่องการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ทั้งสามท่านมารวมตัวกัน ไม่มีงานเลี้ยงต้อนรับใดๆ เพียงแค่มารวมตัวกันอยู่ริมแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งเท่านั้น
หลิ่วชิงเฟิง หวังอี้ฝู่องค์รักษ์ผู้ติดตาม
กวนอี้หรานที่ยังมึนงงสับสน ลูกหลานแซ่สกุลแห่งเสาคานค้ำยันแคว้นผู้นี้ก็ประหลาดใจมากเหมือนกัน ตามคำกล่าวของท่านปู่ทวด เดิมทีเขาควรรับผิดชอบดูแลเส้นทางการเดินเรือบนภูเขาจากใต้ไปเหนือเส้นหนึ่ง แม้แต่สหายเขาก็วางตัวไว้เรียบร้อยแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าตนต้องแล่นมาที่นี่ แน่นอนว่าต้องถูกด่าไปคำรบหนึ่ง
หลิวสวินเหม่ย ข้างกายมีองค์รักษ์สองคน เฉาจวิ้นและเว่ยเซี่ยน
เว่ยเซี่ยนติดตามตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกหนีผิงอย่างเฉาจวิ้นมาอยู่ข้างกายหลิวสวินเหม่ยที่ไม่เหมือนลูกหลานชนชั้นสูงแม้แต่น้อยผู้นี้ ชีวิตก็นับว่าเจริญรุ่งเรืองอยู่ไม่น้อย
เว่ยเซี่ยนอาศัยตัวตนของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ใช้คุณความชอบทางการสู้รบครั้งหนึ่งแลกมาด้วยตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ ตอนนี้ในมือได้กุมอำนาจที่แท้จริง เขากับเฉาจวิ้นจึงเป็นแขนซ้ายแขนขวาให้กับหลิวสวินเหม่ย
เล่าลือกันว่าขนาดเฉาผิงทูตผู้ตรวจการท่านที่สองของต้าหลีก็ยังประทับใจในตัวเว่ยเซี่ยน
ส่วนเฉาจวิ้นนั้นก็ยิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือในกองทัพต้าหลี
คนทั้งสามผลัดกันแนะนำตัว
อันที่จริงกวนอี้หรานกับหลิวสวินเหม่ยเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกันมาก
ดังนั้นคนที่ต้องทำความรู้จักจริงๆ จึงมีเพียงหลิ่วชิงเฟิงที่จู่ๆ ก็โผล่มาเท่านั้น
จากนั้นห่างไปไม่ไกลก็มีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งเดินมา เขาขี่อยู่บนหลังเด็กชายคนหนึ่ง ในมือถือกิ่งไม้ ปากร้องย๊าๆๆ เหมือนกำลังควบม้า
พอขยับเข้ามาใกล้ทุกคน เด็กหนุ่มคนนั้นก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ข้ามีลาน้อยตัวหนึ่ง ไม่เคยร้องบ่นว่าหิวเลยสักครั้ง!”
……
นครลมเย็น สตรีชุดแดงเดินจูงม้าออกนอกเมือง ท่ามกลางสีของยามราตรี นางเดินเข้าไปในหุบเขาที่ห่างจากชานเมืองไปสามสิบลี้
เวลานี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวจัด ทว่าตลอดทางกลับมีดอกท้อบานสะพรั่ง
หลี่เป่าผิงจูงม้าเดินไปอย่างเนิบช้า คอยกวาดตามองไปรอบด้าน ทัศนียภาพช่างชวนให้คนสบายตาสบายใจ
รอบทิศคือขุนเขาเขียว เมฆขาวผุดลอยขึ้นมาจากภูเขาไม่หยุด
ห่างไปข้างหน้าอีกนิดก็คือสถานที่ที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางมาเยือนนครลมเย็นของนางในครั้งนี้แล้ว คือกระท่อมหลังหนึ่งที่นอกราวรั้วคือธารน้ำใสกระจ่าง
หลี่เป่าผิงเงยหน้ามองท้องฟ้า ถาดหยกกลมโตห้อยแขวนอยู่กลางม่านฟ้าสูง นั่นคงถือเป็นขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดเลยกระมัง
พอคิดถึงเรื่องนี้ หลี่เป่าผิงก็พลันหัวเราะ
ดูเหมือนว่าตนกลับคืนไปเป็นแม่นางน้อยที่เดินผ่านขุนเขาเขียวสายน้ำใสร่วมกับอาจารย์อาน้อยในปีนั้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว ในหัวถึงได้มีแต่ความคิดพวกนี้
เพียงแต่ว่าเวลานั้นตนยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก สวมรองเท้าสานคู่เล็ก
แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงชอบที่จะวิ่งวนพันแข้งพันขาอาจารย์อาน้อยของนาง ต่อให้ขุนเขาจะสูง หนทางจะยาวไกลแค่ไหน ก็ไม่เคยกลัว
หลี่เป่าผิงก้มหน้าลงมองดาบแคบสีขาวหิมะและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอว
นางยืนอยู่ที่เดิม
คนหันหน้าเข้าหาดอกท้อ ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์