ตอนที่ 317 สำนักแพทย์เปิดทำการ เจอศัตรูที่ไม่อยากเจอ (4)
แค่มีเรื่องที่น่าเสียดาย เหยาจู่ปั๋วบอกมาแล้ว ตำรานี่เป็นเพียงฉบับที่นางเรียบเรียงเอง สำหรับตำราเล่มเดิมนั้น ผู้ที่ไม่ใช่คนในตระกูลเหยาล้วนดูไม่ได้
สาส์นกราบทูลของเหยาจู่ปั๋วได้รับความเห็นชอบจากฮ่องเต้ ต่อไปก็ถึงวันโชคดีมีมงคลในการเปิดทำการสำนักแพทย์
การรับซื้อโอสถโบราณนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เหยาจู่ปั๋วจะเป็นคนอุทิศ ‘ตำราบันทึกสมุนไพร’ เป็นคนแรก ทว่าผู้ที่เก็บสะสมตำราโอสถโบราณล้วนไม่ยอมอุทิศ บางคนรู้สึกว่ายังเป็นของล้ำค่า ซึ่งจะปรับราคาให้สูงลิ่วกว่าเดิมได้
ส่วนบางคนก็อยากเก็บไว้เป็นความลับ เพื่อทำการวิจัยในภายภาคหน้า เผื่อวันไหนอาจเป็นเหมือนบุตรีตระกูลเหยาที่ฝึกวิชาการแพทย์จนประสบความสำเร็จ และออกไปรักษาผู้ป่วยได้ นี่ก็อาจสานอนาคตที่ดีได้
ทว่าเรื่องรับหมอหญิงเข้าประจำการในสำนักแพทย์ได้รับความนิยมจนโด่งดังไปทั่ว พอกฎบังคับของสำนักออกมา เหล่าตระกูลชั้นสูง พวกอ๋อง กง โหว และปั๋ว ต่างส่งสตรีอายุสิบสามสิบสี่เข้าไปในสำนักแพทย์
ตระกูลที่ส่งคนมามากที่สุดก็คือตระกูลเยี่ยนอ๋องซึ่งส่งมาจำนวนสิบห้าคน คนพวกนี้ไม่ใช่สาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายหวังเฟย ก็คือสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติจวิ้นจู่ แต่ละคนล้วนเป็นบ่าวที่ได้รับการโปรดปราน เป็นบ่าวที่จะได้ปรนนิบัตินายอย่างใกล้ชิดในภายภาคหน้า
แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงบ่าวไพร่เท่านั้น ยังมีตระกูลขุนนางที่ไม่ค่อยสูงส่งก็อยากจะให้บุตรีอนุภรรยามาอบรมด้วย พวกเขาจึงยอมเสียเงินส่งมาเรียน
ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน สำนักแพทย์แคว้นก็มีสตรีที่มาฝึกวิชาการแพทย์มากถึงหกสิบเก้าคน สตรีเหล่านี้ต้องจ่ายค่าเทอมครึ่งปีเป็นจำนวนห้าตำลึงเงิน ส่วนค่าที่พักและค่าอาหารต้องจ่ายสามเศษเงินตำลึงในทุกเดือน ค่าที่พักและค่าอาหารจำต้องจ่ายในทุกเดือน ยังมีกฎว่าห้ามกลับจวนและห้ามนำอาหารมาเอง
มีบางคนพร่ำบ่นว่าค่าที่พักและอาหารแพงเกินไป
ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากที่พักและอาหารที่สำนักแพทย์จัดให้นั้นดี และให้ความสำคัญกับอาหารการกิน จึงทำอาหารไม่ได้แย่ไปกว่าจวนตระกูลขุนนางชั้นสูง ดังนั้นราคาแพงก็เป็นเรื่องที่สมควร
มีบางคนพูดว่าผู้ที่มาฝึกล้วนเป็นบ่าวไพร่ คงไม่ต้องทำอาหารดีเช่นนี้หรือเปล่า
หากไม่ทำอาหารพวกนี้แล้วพวกนางจะฝึกฝนอย่างไร อย่างไรพวกนางฝึกไปแล้วก็ต้องกลับไปทำให้นายของตนกินมิใช่หรือ พวกเราย่อมอยากให้พวกนางกินแต่อาหารแย่ๆ อยู่แล้ว แต่ปัญหาคือพวกนางฝึกทำอาหารแล้วกลับทำให้นายกิน แล้วนายจะกินอาหารแย่ๆ พวกนั้นไหม
ดังนั้น ห้าร้อยแปดสิบหกเศษเงินตำลึงจึงถูกบันทึกเข้าไปในบัญชีทั้งหมด เหยาจู่ปั๋วถูกคนข้างนอกลือกันว่า เป็นสตรี ‘สติวิปลาส’ ไปแล้ว
โดยเฉพาะเหล่าขุนนางที่มีฐานันดรไม่สูงศักดิ์ที่ได้รับเพียงเบี้ยเลี้ยงแต่ไม่ได้รับสินบนอะไรจากช่องทางอื่น พวกเขาต่างนินทาตระกูลเหยาลับหลังว่าสมกับเป็นตระกูลที่มีบรรพบุรุษเป็นพ่อค้าจริงๆ เหยาจู่ปั๋วถึงได้มีความคิดที่หัวการค้าเช่นนี้
ทว่าคุณหนูเหยากลับไม่สนใจ หากรู้สึกว่าราคาแพงเกินไป ก็ไม่จำเป็นต้องส่งคนมาเรียน เพราะไม่มีใครคิดจะง้องอนเจ้าอยู่แล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่มองสมุดบัญชีแล้วโยนไปให้หมอนิติเวชแซ่กวนคนหนึ่ง “เก็บสมุดบัญชีนี้ไว้ให้ดี นอกจากต้องใช้จ่ายด้านอาหารในทุกวันแล้ว วันข้างหน้าหากสำนักแพทย์ต้องการซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างใด ก็เอาเงินส่วนนี้ออกมาใช้”
หมอกวนรับคำอย่างเต็มปากเต็มคำ เขาที่ติดตามหมอหลวงจางมาหลายปีจนถึงตอนนี้ นี่ถือว่าครั้งแรกที่เขาเห็นเงินจำนวนมากเช่นนี้
ผู้เฒ่าคนนี้เป็นคนที่ไม่รักในเงินทองมั่งมี ฮ่องเต้ให้จะให้หรือไม่ให้เขาก็ไม่เคยสนใจ อย่างไรเขาก็คงไม่มีทางอดอยาก เขามีเพียงตัวคนเดียว จึงไม่จำเป็นต้องหาเลี้ยงครอบครัว เลยเกียจคร้านที่จะเรียกร้องเรื่องเงินเรื่องทอง
ทว่าพอกล่าวถึงแล้ว เขากลับมีชีวิตที่อิสระ เขาติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็ไม่มีใครกล้าทำไม่ดีกับเขา ทว่ากลับทำให้หมอที่ติดตามเขาต้องเจอกับความลำบาก
ไม่จำเป็นต้องมากความในเรื่องไร้แก่นสารเช่นนี้ กลับกล่าวถึงเวลาที่ล่วงเลยไปเดือนกว่าจะดีกว่า
ชีวิตที่เข้าสู่กลางเดือนสิบ อากาศเริ่มเหน็บหนาว ทิศทางเหนือพัดผ่าน ใบไม้เหลืองอร่ามของต้นกู๋ไหวร่วงหล่นลงมากองบนพื้นดิน พอเหยียบบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้ ทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้ง
เหยาเยี่ยนอวี่ยืนใต้ต้นไหว เงยหน้ามองนภาสีครามพร้อมถอนหายใจเบาๆ
ไม่ตงเอาผ้าคลุมขนกระรอกเทาสีไพลินวิ่งมาคลุมบนเรือนร่างของเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วหันไปจัดปกเสื้อของนางอย่างรวดเร็วพลางเกลี้ยกล่อม “อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว คุณหนูใส่เสื้อบางเช่นนี้ ยืนสักพักก็กลับในเรือนเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าแล้วถามไม่ตง “วันนี้เป็นวันอะไรแล้ว”
“เรียนคุณหนู วันนี้เดือนสิบวันที่สิบเก้าแล้วเจ้าค่ะ”
“เดือนสิบวันที่สิบเก้า!” เหยาเยี่ยนอวี่หันไปทางทิศเหนือ เว่ยจางไปเดือนกว่าแล้ว
จดหมายเมื่อคราที่แล้วมาเมื่อใดกัน สิบวันก่อน? จดหมายบอกไว้ว่าได้ผ่านศึกสงครามอันดุเดือดแล้ว และได้กอบกู้เมืองเฟิ่งกลับมาได้แล้ว
แล้วตอนนี้ล่ะ ทั้งแผ่นดินกันโจวได้กอบกู้กลับมาหรือยัง
ระหว่างที่นางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ด้านหลังมีเสียงหัวเราะส่งมา ทำให้ความคิดของเหยาเยี่ยนอวี่ถูกขัดจังหวะ นางแย้มยิ้มแล้วหันไปมองตรงกลางเรือน ในโถงใหญ่ทางฝั่งโน้น ชุ่ยเวยกำลังสอนข้อควรปฏิบัติยามฉุกเฉินในการช่วยชีวิตคนชราที่หกล้มจนป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองให้เหล่าสตรี เวลานี้ดูท่าแล้วคงจะจบบทเรียนนี้แล้ว เหล่าสตรีจึงวิ่งออกมาสูดอากาศด้านนอก
หมอหญิงรุ่นที่หนึ่งเหยาเยี่ยนอวี่จะให้การฝึกฝนเป็นเวลาครึ่งค่อนปี สี่เดือนแรกชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเป็นให้ความรู้ทั้งหมด ส่วนสองเดือนหลัง เหยาเยี่ยนอวี่จะทดลองความรู้ว่าคนเหล่านี้พร้อมหรือไม่
หมอหญิงหกสิบเก้าคนต้องผ่านด่านของเหยาเยี่ยนอวี่ พวกนางจำต้องแสดงความรู้ที่ฝึกฝนมาแสดงให้นางดูหนึ่งรอบ แค่นางพึงพอใจ ถึงจะได้รับใบรับรองที่มีชื่อของเหยาจู่ปั๋วประทับและตราประทับของสำนักแพทย์แคว้นต้าอวิ๋น
ก่อนหน้านี้ตอนที่ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงอยู่ในจวนอัครเสนาบดี พวกนางสองคนไม่ได้เก็บเกี่ยวความรู้ด้วยความสบายใจ ทว่ากลับยืนมองอยู่ด้านข้าง พร้อมเก็บเกี่ยวความรู้จากการได้ยินและได้เห็นเป็นประจำ พวกนางเลยพอมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง หลังจากผ่านการสั่งสอนจากเหยาเยี่ยนอวี่มาเป็นเวลาปีกว่าๆ วันนี้ความรู้ของพวกนางย่อมมีมากมาย
อีกประการ เหยาเยี่ยนอวี่ยังมีความคิดส่วนตัวว่ารอให้หมอหญิงรุ่นแรกผ่านการฝึกฝนไปก่อน นางจะให้ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเข้าทำงานประจำการอยู่ในสำนักแพทย์ นางต้องทำให้คนเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ ทำให้ทุกคนรู้ว่าสาวใช้ที่นาง เหยาเยี่ยนอวี่อบรมออกมานั้น เพียงพอที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ให้ความรู้กับลูกศิษย์ที่มาเรียนหลักสูตรในสำนักแพทย์
“คุณหนูเจ้าคะ บทเรียนต่อไปเป็นอาหารการกินเจ้าค่ะ” ไม่ตงเตือนความจำอยู่ข้างๆ “พี่ชุ่ยผิงบอกว่า ประเดี๋ยวจะเชิญท่านไปลิ้มลองอาหารที่ลูกศิษย์ฝึกทำเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ให้ฝึกทำอาหารประเภทใด”
“เป็นอาหารที่คนป่วยโรคหลอดเลือดในสมองควรกินเจ้าค่ะ”
“ได้” เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้ม บุคคลที่มีฐานันดรสูงศักดิ์มักจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ และกินมื้ออาหารที่อุดมสมบูรณ์อยู่ประจำ อาหารที่กินทั้งมันและเค็ม ทุกคนแทบจะมีความดันสูง แค่เดินไม่ระวังแล้วหกล้มเสียหน่อย ก็อาจป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองได้
ท้องฟ้ามืดครึ้มในยามบ่ายนี้ มีลมเหนือเปียกชื้นพัดโชยมาเบาๆ ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่กลับจวนก็สั่งการหมอกวน “เตรียมเตาและถ่านไว้ด้วย ประเดี๋ยวเกิดมีหิมะตกลงมา ห้องเรียนคงหนาวสะท้านจนยื่นมือออกมาไม่ไหว ถึงเวลานั้นก็อย่าคิดว่าจะอบรมลูกศิษย์ต่อเลย”
“ขอรับ ใต้เท้าวางใจเถอะ เยี่ยนอ๋องสั่งให้คนมาส่งสารแล้ว ทางฝั่งเรือนจงเจิ้งมีถ่านที่เหลือใช้มาก ประเดี๋ยวจะส่งมาให้พวกเราสี่ร้อยจิน หากไม่พอ ข้าน้อยค่อยไปซื้อเพิ่มขอรับ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ก็ดี อย่างไรตอนนี้ก็ยังเป็นสำนักที่ยากจน หากมีตระกูลร่ำรวยคอยช่วยเหลือและสนับสนุนก็เป็นสิ่งที่ดี”
หลังจากออกประตูใหญ่สำนักแพทย์ เซินเจียงจูงม้ามาแล้วให้เหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นหลังม้า ใช่ ตอนนี้เหยาจู่ปั๋วออกมาข้างนอกก็มักจะแต่งกายเป็นบุรุษ เพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนไหว
ตอนนี้ม้าสีแดงพุทราที่นางขี่คือหนึ่งในสินสอดที่เว่ยจางให้ ตอนมันมาตอนแรก นิสัยกลับย่ำแย่มาก ทว่าหลังจากที่หาผู้ชำนาญฝึกม้ามาปรับเปลี่ยนนิสัยของม้าไปสักระยะ ตอนนี้จึงสนิทสนมกับเหยาเยี่ยนอวี่ และเห็นว่านางเป็นเจ้าของเป็นคนเดียว
เหยาจู่ปั๋วตั้งชื่อให้ม้าตัวโปรดว่า ‘เถาเยา’ ซึ่งชื่อนี้ได้มาจากประโยคที่ว่า “ต้นเถาเยาว์เยาว์ ดอกเถาลกเพา” นี่เป็นบทกวีที่อุปมาถึงเจ้าสาวที่เพิ่งออกเรือนนั้นงดงามเหมือนดอกเถา ช่างเข้ากับช่วงชีวิตที่ใกล้จะออกเรือนจริงๆ! คุณหนูเหยามักคิดอะไรที่หลงตัวเอง แค่ตอนนี้นางได้ควบม้าเถาเยาแล้ว ทว่ากลับยังไม่ได้เป็นเจ้าสาวเสียที