ตอนที่ 319 งานวิวาห์ระหว่างตระกูลเซียวและตระกูลหัน (2)
“พี่รองกล่าวถึงท่านตั้งหลายคราแล้ว ท่านโหวยุ่งเยี่ยงนั้น แม้กระทั่งจดหมายยังไม่ส่งกลับมาแม้แต่ซองเดียว” เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดนี้จึงรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง และกำลังครุ่นคิดว่า วันนี้ควรนัดเจอกับพี่หันเสียหน่อย จากนั้นก็ชวนนางพักที่จวนหนึ่งคืน
“ข้ายุ่งมากจริงๆ เจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ข้ามัวแต่ยุ่งจนแทบจะไม่ได้พักผ่อน” เซียวหลินพูดพลางยิ้มแฉ่ง
ทั้งสองคนมัวแต่เสวนากัน กลับเห็นอวิ๋นเหยาที่อยู่ด้านข้างเป็นเพียงฝุ่นละออง
อวิ๋นเหยากัดฟันกรอดอย่างขุ่นเคืองใจ แล้วก้มศีรษะมองแส้ของตน พร้อมทั้งตวาดใส่องครักษ์ “ไอ้สุนัขรับใช้ไม่ได้เรื่อง! ยังไม่รีบเก็บแส้ม้าขึ้นมาอีก!”
องครักษ์พลันโน้มตัวลงไปเก็บแส้ม้า เซียวหลินกลับมองไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมเปรยอย่างแปลกพิลึก “อั๊ยยะ! จวิ้นจู่ช่างน่าเกรงขามจริงๆ! แค่ว่าตอนนี้ท่านอยู่ในที่สาธารณะเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะทำให้ชาวบ้านแถวนี้ตกใจหรือไร อนาคตคงไม่มีใครกล้ามาสู่ขอท่าน แล้วท่านจะทำอย่างไร”
“เจ้า!” อวิ๋นเหยาเกรี้ยวโกรธจนตาแดงระเรื่อ นางเอาแส้ม้าในมือชี้ไปยังเซียวหลิน แล้วกัดฟันกรอดพลางสบถหยาบ “เจ้ามันสารเลว รนหายที่ตายหรือ!”
เซียวหลินมองอวิ๋นเหยาด้วยใบหน้ายิ้มๆ ไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธเคืองใจแม้แต่น้อย กลับถามด้วยความน่าสนใจ “อ้อ? เปิ่นโหวรนหาที่ตาย? ก่อนหน้านี้จวิ้นจู่ใช้แส้เฆี่ยนชาวบ้านผู้บริสุทธิ์กลางที่สาธารณะยังไม่พอ หรือว่ายังคิดเฆี่ยนตีขุนนางในราชสำนักอีกหรือ ไม่รู้จริงๆ ว่าใครจะกล้าหาญกว่าจวิ้นจู่อีก”
อวิ๋นเหยาจึงยอมอ่อนข้อลงทันที
นางเอาแต่ใจและไม่มีเหตุผลนั้นเป็นความจริง ทว่านางยังถือว่ารู้หลักความเป็นจริงอยู่บ้าง ครั้งที่แล้วนางใช้แส้เฆี่ยนสามัญชนก็ทำให้หออาลักษณ์หลวงแตกตื่นมากพอแล้ว ปัญญาชนหน้าด้านเหล่านั้นต่างร่วมกันวิจารณ์เสด็จพ่อของนางว่าไม่มีวิธีอบรมสั่งสอนบุตรี จนเห็นชีวิตของคนราวกับเป็นต้นกล้าที่ไร้ประโยชน์
ครั้งนี้ หากตนยังคิดจะเฆี่ยนจิ้งไห่โหวกลางถนนใหญ่เช่นนี้ ผลที่ตามมาก็คงไม่มีอะไรดีแน่นอน ดังนั้นนางกัดฟันกรอด แล้วหันไปเค้นเสียงสั่งการองครักษ์ “พวกเรากลับกันเถอะ!”
เหล่าองครักษ์อยากได้ยินคำนี้มานานแล้ว ดังนั้นจึงขานรับแล้วหันไปประสานมือคารวะเซียวหลิน จากนั้นก็จากไปอย่างเร่งรีบ
เซียวหลินมองอวิ๋นเหยาขี่ม้าจากไป จึงพร่ำบ่นด้วยเสียงเย็นชา “เฉิงอ๋องเป็นวีรบุรุษเลื่องชื่อเช่นนั้น เหตุใดถึงเลี้ยงดูบุตรีออกมามีนิสัยอย่างนี้”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจอย่างประหม่า “ครั้งนี้เจ้าสร้างเรื่องบาดหมางใจกับนางแล้ว คนคนนี้ต้องคิดหาวิธีแก้แค้นแน่นอน ท่านโหวต้องระวังตัวให้มาก”
“มีอะไรน่ากลัวเล่า อย่างไรก็ผิดใจกับนางมานานแล้ว ตอนนี้ผิดใจอีกหน่อยจะเป็นไรไป” เซียวหลินยิ้มอย่างไม่แยแสแล้วเอ่ยต่อ “อากาศยิ่งอยู่ยิ่งหนาวสะท้านแล้ว เจ้ารีบกลับไปเถอะ ข้าก็จะเดินทางเข้าวังเช่นกัน ฮ่องเต้ทรงคอยข้าอยู่”
“ได้ เช่นนั้นท่านก็รีบไปเถอะ ไว้พบกันใหม่” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้พูดจาเกรงอกเกรงใจอะไรมากมาย
เซียวหลินพยักหน้าแล้วดึงม้าพลางกระโดดขึ้นควบจากไป เหยาเยี่ยนอวี่มองบุรุษรูปงามจากไป จึงอดเผยยิ้มไม่ได้ อื้ม ครานี้พี่เหยาคงมีข่าวดีเร็วๆ นี้แน่นอน
ครั้งนี้เซียวหลินกลับเมืองหลวงตามพระราชโองการ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้เจอกับผู้ร้าย จึงสั่งให้คนส่งหน้าไม้ไปให้เซียวหลิน
แท้จริงแล้วฮ่องเต้สั่งให้เซียวหลินเข้ารับตำแหน่งที่ควบคุมดูแลตลาดเกลือนั้น เป้าหมายไม่ได้ให้เขาดูแลตลาดเกลือ ทว่าให้เขาดูแลตลาดเหล็กเสียมากกว่า
ยุคสมัยนี้ยังคงเป็นยุคการทำสงคราม การขุดแร่เหล็กและเหล็กที่ไม่ได้ผ่านการหลอมล้วนเกี่ยวข้องกับความมั่นคงในการปกป้องแคว้น หากไม่มีอาวุธที่ดี ต่อให้มีทหารที่กล้าหาญชาญชัยเพียงใด ก็คงเป็นเพียงเสือถูกถอดเขี้ยวรอเชือด
หลังจากเซียวหลินได้รับหน้าไม้ที่ฮ่องเต้สั่งให้คนส่งมา จึงคิดหาวิธีตามหาตระกูลที่ชำนาญในการหลอมเหล็ก หลังจากผ่านการทดลองมาหลายครา ท้ายที่สุด ก็สังเกตเห็นว่าหากใช้อุณหภูมิสูงหลอมเหล็ก จะทำให้เหล็กได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดทั่นในแร่เหล็ก หล่อหลอมให้เหล็กทนทานและยืดหยุ่น หล่อหลอมให้กลายเป็นเหล็กกล้าทนทานต่อการกัดกร่อน
และหน้าไม้ประเภทนี้ ก็คือเหล็กที่ทนทานต่อการกัดกร่อน
เซียวหลินจึงสั่งให้คนเปลี่ยนเตาหลอมใหม่ตอนกลางดึกทันที แล้วใช้ทักษะความรู้ใหม่หลอมเหล็กที่ทนทานต่อการกัดกร่อน พร้อมทั้งหาช่างฝีมือมาแกะชิ้นส่วนหน้าไม้ออกแล้วแปลงโฉมใหม่ ทำให้หลอมเหล็กประกอบหน้าไม้สองร้อยชุดที่แข็งแรงและทนทานกว่าเดิม ทั้งยังใช้ยิงลูกเหล็กสิบนัดรวดเดียวด้วยมือข้างเดียวได้
ครั้งนี้ที่เขาเดินทางเข้าเมืองหลวง ก็เพื่อนำหน้าไม้รูปทรงใหม่ที่ทำจากเหล็กทนทานต่อการกัดกร่อนมาให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร
อีกอย่าง เหยาหย่วนจือได้รับพระราชโองการให้ขนเสบียงที่อยู่ในคลังเก็บของสองเมืองขึ้นเขตอนเหนือโดยการขนส่งทางเรือ และยังมอบหมายให้เซียวหลินรับผิดชอบส่งเสบียงเหล่านี้มา
เรื่องนี้เหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่รู้ ทว่าเหยาหย่วนจือและเซียวหลินที่อยู่ไกลถึงเขตตอนใต้ต่างรู้ สถานการณ์การสู้รบในเขตตอนเหนือเกรงว่าจะต้องยืดเยื้อ มิเช่นนั้นฮ่องเต้ก็คงไม่สั่งให้ขนเสบียงมากมายขึ้นเหนือ และคงไม่มีทางสั่งให้ทำอาวุธใหม่ขึ้นมาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้
กลับกล่าวถึงเหยาเยี่ยนอวี่ที่กลับถึงจวน พอเดินเข้าประตูก็บังเอิญเจอกับเหยาเหยียนอี้ที่เพิ่งกลับมาจากด้านนอก
คุณชายรองเหยาอดสังเกตมองน้องสาวอย่างตั้งใจไม่ได้ แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “ดูท่าทางเช่นนี้ของเจ้า มีเรื่องน่ายินดีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม”
“พี่รอง ท่านเซียวโหวมาเมืองหลวงแล้ว!” เหยาเยี่ยนอวี่พูดยิ้มๆ ด้วยความดีใจ “ข้าเพิ่งเจอเขามาเมื่อครู่นี้”
“จริงหรือ” เหยาเหยียนอี้ก็รู้สึกดีใจอย่างมาก “เยี่ยมจริงๆ เขาได้เอาจดหมายของท่านพ่อมาให้ด้วยหรือไม่”
“ตอนนี้เขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวัง และบอกว่าหากมีเวลาจะมาเยือนที่จวนในวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ข้าไม่ไปสำนักแพทย์ดีกว่า พี่รองก็ลาหนึ่งวันเถอะ”
“อืม” เหยาเหยียนอี้พยักหน้า เซียวหลินไม่ใช่คนอื่น ตั้งแต่ตอนนั้นที่เดินทางไปเขตตอนใต้ด้วยเรือลำเดียวกัน ทั้งสองก็พูดคุยกันทุกวี่ทุกวัน หลังจากนั้นเขาไปเข้ารับตำแหน่งที่เขตตอนใต้ จึงไปมาหาสู่กับบิดาบ่อยๆ ทั้งสองตระกูลเลยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน วันนี้จึงกลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน
ดังนั้น คุณชายรองเหยาจึงสั่งการเหยาซื่อสี่ที่อยู่ด้านข้าง “ไปบอกโรงครัวให้เตรียมอาหารดีๆ เสียหน่อย วันรุ่งขึ้นจะมีแขกคนสำคัญมาเยือนในจวน”
เหยาซื่อสี่พลันค้อมตัวรับคำ “ขอรับ เมื่อวานคุณชายรองแห่งจวนกั๋วกงสั่งให้คนส่งอุ้งเท้าหมีมาหนึ่งข้างพอดี บ่าวจะสั่งให้โรงครัวตุ๋นตั้งแต่เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ดีหรือไม่”
“อืม ดีมาก” คุณชายรองเหยาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เหยาเยี่ยนอวี่จึงพูดเพิ่มเติม “เตรียมเยอะๆ หน่อย พรุ่งนี้คุณหนูรองและคุณชายรองแห่งจวนกั๋วกงก็อาจจะมาด้วย”
“ขอรับ บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ” เหยาซื่อสี่พลันรับคำแล้วไปโรงครัวทันที
คืนนั้น อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ที่ถูกข่มขู่กลางถนนใหญ่ พอกลับบ้านไปก็อยากจะฟ้องเรื่องนี้กับมารดาของนาง
ช่วงนี้เฉิงหวังเฟยถูกเฉิงอ๋องว่ากล่าวตำหนิจนกลัวแล้ว หลายเดือนมานี้ ท่านอ๋องก็ไม่มากินข้าวที่เรือนของนางเลย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาจะมาค้างคืนที่เรือนของนาง ทั้งวันก็เอาแต่อยู่กับสกุลหลี่ อีกอย่าง เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่อวิ๋นเหมยสวมใส่ก็ยิ่งอยู่ยิ่งเท่าเทียมกับของใช้ที่อวิ๋นเหยามีขึ้นเรื่อยๆ!
ช่วงนี้ชีวิตของเฉิงหวังเฟยไม่ดีเลยสักนิด วันๆ ก็ต้องคิดใคร่ครวญในสิ่งที่ตนทำ จึงรู้ว่าบุตรีทำเกินไปจนทำให้ท่านอ๋องเกรี้ยวโกรธ ดังนั้นนางไม่รอให้อวิ๋นเหยากล่าวจบ ก็ขมวดคิ้วพูดขึ้น “เจ้าก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว วันข้างหน้าห้ามขี่ม้ากลางสถานที่สาธารณะอีก มิเช่นนั้น จะไม่เหลือแม้แต่ความเป็นกุลสตรี”
“เสด็จแม่?” อวิ๋นเหยานิ่งงัน “หรือว่าเสด็จแม่ก็จะขังลูกอีกคน”
เฉิงหวังเฟยถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ข้าเคยกักขังเจ้าตั้งแต่เมื่อใด แค่เจ้าไม่ควรทำเช่นนี้ต่อไปอีก! บิดาของเจ้าไม่โปรดปรานที่เจ้าทำตัวเช่นนี้ มันไม่ได้มีผลดีกับตัวเจ้าเลย ช่วงนี้เจ้าควรสงบจิตใจ หากมีเวลาว่างก็หาตำราร่ำเรียน มิเช่นนั้นก็เล่นกู่ฉินหรือเล่นหมากล้อมในจวนก็ได้”
“อยู่จวนน่าเบื่อเกินไป ไม่มีใครคอยอยู่เป็นเพื่อนข้าเสียหน่อย!” อวิ๋นเหยาเบะปากพร่ำบ่น “เซียวหลินทำเกินไปแล้ว! เขามีสิทธิ์อะไร…”
เฉิงหวังเฟยไม่คอยให้บุตรีกล่าวจบ ก็พูดแทรกขึ้นก่อน “พอเถอะ อย่าพูดเช่นนี้อีกเลย ทุกวันนี้สถานการณ์ทางเขตตอนเหนือก็ไม่ราบรื่น บิดาของเจ้าก็เอาแต่ทำสีหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่ทุกวี่ทุกวัน หากเจ้ายังจะทำให้บิดาของเจ้าโมโหอีก อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ขืนเจ้าถูกส่งตัวไปอยู่ในบ้านนาขึ้นมา ก็คงจะทรมานน่าดู”