เพ่งมองไม้กางเขนทองแดงในมือสักพัก ไคลน์มั่นใจว่ามันต้องเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 1 เป็นอย่างน้อย
นอกจากพลังในการชำระล้าง สมบัติชิ้นนี้ยังมีพลัง ‘แสงสุริยัน’ และคาถาระดับครึ่งเทพอื่นๆ ในขอบเขตดวงอาทิตย์ สำหรับผลข้างเคียงด้านลบ หากนำไปใช้งานอย่างเหมาะสม แม้แต่ผลข้างเคียงก็กลายเป็นประโยชน์ได้ ยกตัวอย่างเช่น นำไปช่วยผู้คนที่อยากออกจากโลกของผู้วิเศษอันแสนโหดร้าย เพราะไม้กางเขนสามารถเปลี่ยนให้เขาเหล่านั้นกลายเป็นคนธรรมดาอีกครั้ง และสามารถนำไปใช้กับคนที่ดื่มโอสถซ้ำเพื่อลดภาระทางตะกอนพลัง แต่ต้องระวังเรื่องการกะเวลาให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้ว ลำดับพลังอาจจะลดลง
แน่นอน ร่างกายและวิญญาณที่เกิดการเรียงโครงสร้างใหม่จากผลของโอสถยังคงคงอยู่ และนั่นจะขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์ปรกติเป็นครั้งคราว ผู้วิเศษที่ใช้ไม้กางเขนทองแดงหนีออกจาก ‘วงการ’ ย่อมต้องได้รับผลข้างเคียงสักอย่างสองอย่าง และสถานการณ์ของแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับเส้นทางและลำดับ
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน เพราะนี่คือผลข้างเคียงด้านลบที่มีประโยชน์ที่สุดเท่าที่ไคลน์เคยเห็น
สำหรับชายหนุ่ม ปัญหาเดียวของไม้กางเขนทองแดงคือการที่มิอาจพกพามันได้นานนัก รวมไปถึงการให้หุ่นเชิดถือแทน ไม่อย่างนั้นตะกอนพลังในตัวหุ่นเชิดจะรั่วซึมและสูญเสียลำดับ และหุ่นเชิดไม่สามารถดื่มโอสถเพื่อเลื่อนลำดับได้อีก เพราะร่างวิญญาณได้ตายไปแล้ว
สำหรับการเปลี่ยนให้สัตว์ทั่วไปกลายเป็นหุ่นเชิด การสั่งให้ถือไม้กางเขนอันนี้เป็นเวลานานจะทำให้พวกมันเอาแต่ ‘สรรเสริญดวงอาทิตย์’ อย่างมิอาจควบคุม
ตัวเลือกเดียวของเราคือการเก็บไว้บนมิติหมอกและนำออกมาใช้ในยามจำเป็น… สำหรับจอมเวทพิสดาร ผลข้างเคียงแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็ก เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เราจะไม่ลงมือโดยไม่เตรียมความพร้อม… วันหลังจะทำนายยืนยันว่ามาจากโอสถ ‘ผู้เจิดจรัส’ จริงไหม เพราะหากใช่ เราจะขายให้เดอะซันน้อยหลังจากที่เขาย่อยโอสถนักบวชแสงเสร็จ… เชื่อว่าหกสภาอาวุโสแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์คงไม่ตระหนี่ และยอมแลกเปลี่ยนด้วยสมบัติปิดผนึกที่มีมูลค่าใกล้เคียงกัน… เส้นทางสุริยันเหมาะกับดินแดนเทพทอดทิ้งมากกว่าเส้นทางใดทั้งหมด… ไคลน์ไตร่ตรองอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะวางไม้กางเขนทองแดงไว้บนโต๊ะทองแดงยาว
มันไม่รีบร้อนทำนายยืนยัน แต่วางแผนที่จะกลับไปยังบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนก่อน เมื่อถึงตอนนั้น มันจะใช้เทคนิคการทำนายด้วยความฝันเพื่อค้นหาต้นตอของสมบัติปิดผนึกชนิดนี้ เป็นเพราะคฤหาสน์เพลงกุหลาบอยู่ใกล้กับโบราณสถานมากเกินไป ชายหนุ่มจึงกังวลว่าเทวทูตของราชวงศ์หรืออาดัมอาจตรวจตราในละแวกใกล้เคียงด้วยตัวเอง และการทดลองของตนอาจไปกระตุ้นให้มิติหมอกผันผวน จนความลับของดอน·ดันเตสถูกเปิดเผย
ต่อให้สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ไม่ได้มาจากผู้เจิดจรัส ก็ต้องเป็นของเส้นทางสุริยันอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็เกิดจากการผสมระหว่างตะกอนพลังสองเส้นทาง… ไม่สิ นั่นเป็นไปไม่ได้ ตะกอนพลังจะถูกปฏิเสธ… สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของโบสถ์สุริยันเจิดจรัสคือตราศักดิ์สิทธิ์ที่ทำมาจากทองคำ เป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไม้กางเขน… อา… หลังจากตัดความเป็นไปได้ข้างต้นออกไป มีเพียงพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตสุริยัน… บิดาของอาดัมและอามุนด์ เทพสุริยันบรรพกาล ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นนักเดินทางข้ามโลก…
การที่มาอยู่ในมือไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด สามารถสื่อได้ทางอ้อมว่าสภานักสิทธิ์สนธยาร่วมมือกับราชวงศ์? สมาคมแปรจิตเป็นเพียงฉากหน้า? แน่นอน ยังมีอีกหลายความเป็นไปได้… ไม้กางเขนอันนี้อาจถูกพบโดยตระกูลออกัสตัส เพราะพวกมันเป็นถึงตระกูลเทวทูตที่สำคัญจากยุคสมัยที่สี่ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน การค้นพบวัตถุที่เป็นมรดกจากเทพสุริยันบรรพกาลย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก…
แต่ถ้าสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้มาจากอาดัม… นี่จะเป็นการ ‘วางแผน’ ของท่านหรือไม่?
…หากต้องเผชิญหน้ากับแม่มดทริสซี่ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเทพมาร ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดจะสละสมบัติวิเศษชิ้นอื่นและเลือกใช้ไม้กางเขนที่มีพลังในการชำระล้าง สิ่งที่เกิดขึ้นมีเหตุและผลรองรับค่อนข้างแน่นหนา… สำหรับการลงมือชำระล้างเชอร์มาเน่ ในเมื่อมันไม่มั่นใจว่าในร่างกายอีกฝ่ายถูกกัดกร่อนโดยเทพมารหรือไม่ และกังวลว่าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน การที่ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดยอมเสียเวลาใช้งานสมบัติปิดผนึกชนิดนี้โดยไม่ฆ่าหล่อนทิ้งทันที ก็ฟังดูสมเหตุสมผลเช่นกัน… ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ดูไม่เหมือนกับการ ‘จัดเตรียม’ ไม่แน่ใจว่าเรามองข้ามร่องรอยอื่นๆ ไปบ้างไหม…
ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โรคกลัว 0-08 กลับมาหลอกหลอนเราอีกครั้ง… อา… มิสเมจิกเชี่ยนกับมิสจัดจ์เมนต์เคยพลาดเอ่ยถึงอาดัมมาก่อน เนื้อหาการสนทนาในตอนนั้นเกี่ยวกับดินแดนเทพทอดทิ้ง วังราชาคนยักษ์ และราชาเทวทูต…
แต่ว่า… ต่อให้ทั้งหมดเป็นแผนของอาดัม แล้วทำไมท่านถึงต้องมอบวัตถุชิ้นนี้ให้พวกเธอ?
ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ยิ่งรู้สึกว่าหนังศีรษะของตนยิ่งชา จึงพยายามข่มสติและตัดสินใจจะเลื่อนการทดลองต่างๆ หลังจากกลับถึงถนนเบิร์คลุน
มันส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงโดยไม่ลังเล
สำหรับสิ่งของเกี่ยวกับโจนาส·โคลเกอร์ ชายหนุ่มใช้พลังทำนายของตนโดยไม่พึ่งพามิติหมอกเพื่อวิเคราะห์รายละเอียดเบื้องต้น
นอกจาก ‘แสงเงาประชันดนตรี’ และเข็มกลัดสำหรับเข้าโบราณสถานใต้ดินที่ถูกหัวหน้านักบวชแห่งโบสถ์รัตติกาล อาเรียนน่า นำกลับไปด้วย โจนาส·โคลเกอร์ยังพกพาสมบัติวิเศษติดตัวอีกสองชิ้น
ชิ้นแรกคือ ‘เสียงแผดอันแสนสิ้นหวังของรีเวียร์’ ที่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสเอ่ยถึง เกิดจากพิธีกรรมสังเวยที่ล้มเหลว มีสองโหมดในการใช้งาน แบบแรกคือยิงธรรมดา ความรุนแรงน้อยกว่ากระสุนอัดอากาศของตัวตลกเล็กน้อย แบบที่สองคือยิงรัว สามารถพ่นกระสุนจำนวนมากได้ภายในหนึ่งถึงสองวินาที โดยทั้งสองโหมดจะมาพร้อมกับเสียงแผดแห่งความสิ้นหวัง สามารถสร้างความเสียหายกับครึ่งเทพระดับนักบุญได้พอประมาณ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นักบุญทุกคนที่มีร่างกายทนทาน เช่นไคลน์เป็นต้น มันไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งดุจดังหินผา และไม่ได้มีท่าป้องกันซึ่งสามารถยืนรับได้ตรงๆ โดยไม่บาดเจ็บ
สมบัติอีกหนึ่งชิ้นมีชื่อว่า ‘หญ้าโชคดี’ ภายนอกดูธรรมดา เกิดจากการนำใบโคลเวอร์สี่แฉกมาสร้างเป็นยันต์ มีพลังในการ ‘สะสม’ ความสำเร็จหลังจากเผชิญความล้มเหลวหลายๆ ครั้ง ผลข้างเคียงด้านลบคือการขยายข้อบกพร่องในนิสัยของผู้สวม
หลังจากวิเคราะห์เสร็จ ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อมันเป็น ‘มารดาแห่งความสำเร็จ’
สมบัติวิเศษทั้งสองชิ้นนี้แทบไม่มีคุณค่าสำหรับไคลน์ จึงให้หุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์เก็บไว้ตามเดิม
และแน่นอน ของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดของไคลน์ในศึกนี้ ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากตัวหุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์เอง
ลำดับ ‘นักกฎหมาย’ นั้นเชี่ยวชาญการหาช่องโหว่ของกฎและฉกฉวยผลประโยชน์ รวมถึงพลังในการโน้มน้าวและทำให้เป้าหมายคล้อยตาม ลำดับ ‘คนเถื่อน’ มีสมรรถภาพร่างกายและอำนาจในการแหกกฎ ลำดับ ‘นักติดสินบน’ มีพลังในการติดสินบน ลำดับ ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ มีพลัง ‘บิดเบือน’ ลำดับ ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ มีพลัง ‘ยุ่งเหยิง’ และลำดับ ‘เคาต์แห่งการเสื่อมถอย’ มีพลัง ‘มอบ’ ‘ขยาย’ และ ‘อาศัยช่องโหว่’ ทั้งหมดล้วนเป็นพลังที่ค่อนข้างดี หากไม่ใช่เพราะไคลน์ทราบจุดอ่อนจุดแข็งล่วงหน้าจากอาโรเดสและคิดแผนการรับมือ รวมถึงการได้รับความช่วยเหลือจากเทวทูตแห่งการปกปิด มันเชื่อว่าตนคงไม่มีทางจัดการกับโจนาส·โคลเกอร์สำเร็จ ต่อให้ใช้ยันต์โจรปล้นดวงก็ตาม
อันที่จริง แทนที่จะเปลี่ยนอีกฝ่ายเป็นหุ่นเชิด การให้ยุบพองหิวโหย ‘ต้อนแกะ’ โจนาส·โคลเกอร์เข้าไปจะเป็นความลับและแนบเนียนมากกว่า ถูกพบได้ยากกว่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้น เราจะได้แค่พลังสามชนิดของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยมาใช้งาน… ขณะไคลน์ครุ่นคิด มันเดินออกจากห้องน้ำและกลับมายังงานเลี้ยงรอบกองไฟ
บนสนามหญ้า ส.ส. มัคท์ยังคงยืนอยู่หน้าเตาย่าง พยายามปรุงบาร์บีคิวสไตล์ไบลัมตะวันออกด้วยเหงื่อที่ชุ่มหน้าผาก เฮเซลยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สายตาจ้องมองอย่างสดใส ปราศจากความโอหังในสมัยก่อน มีแม้กระทั่งรอยเขม่าสีดำบนใบหน้า ส่วนพอร์ตแลนด์·โมมงต์กำลังถือแก้วไวน์ ยิ้มพลางมองไปทาง ‘หนุ่มๆ’ ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน บางครั้งก็หยิบเหล็กบาร์บีคิวเสียบไม้ขึ้นมากัด
ได้เห็นภาพตรงหน้า หัวใจไคลน์สงบลงหลายระดับ
…
บ่ายวันอาทิตย์ กลุ่มที่ไปเที่ยวพักผ่อนทางชานเมืองของเบ็คลันด์ทยอยกลับถึงถนนเบิร์คลุน
ก่อนอาหารค่ำ ไคลน์รีบส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอกอีกครั้งและหยิบไม้กางเขนทองแดงเก่า
อันดับแรก มันยืนยันว่าไม้กางเขนมีพลังแบบเดียวกับ ‘ผู้เจิดจรัส’ ลำดับ 4 ของเส้นทางสุริยัน และได้รับชื่อที่ขาดความคิดสร้างสรรค์โดยสิ้นเชิงว่า ‘ไม้กางเขนเจิดจรัส’ จากนั้น ชายหนุ่มหยิบปากกาและกระดาษมาเขียนประโยคทำนายใหม่:
“ที่มาของไม้กางเขนอันนี้”
ไคลน์ไม่รีบร้อนทำนายว่า ไม้กางเขนเจิดจรัสมีร่องรอยการ ‘ถูกจัดเตรียม’ มาให้ตนหรือไม่ ด้วยกังวลว่านั่นจะมุ่งตรงไปหาอาดัมและทำให้อีกฝ่ายเริ่มระวังตัว มันอยากเริ่มต้นด้วยการทำนายต้นกำเนิดของสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ เพราะหากเจ้าของไม้กางเขนเจิดจรัสคืออาดัม ความจริงของเรื่องราวก็จะเผยให้ ‘การจัดเตรียม’ อย่างไม่ต้องสงสัย
วางปากกาลง ไคลน์ก้มหน้าจ้องไม้กางเขนพร้อมกับถอนหายใจหนักแน่น
“เรากำลังรนหาความตายอีกครั้ง…”
มันสงสัยว่า ไม้กางเขนเจิดจรัสอาจมีต้นกำเนิดมาจากพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือเทพสุริยันบรรพกาล มหาเทพที่แข็งแกร่งกว่าเทพบรรพกาลอย่างมังกรจินตภาพ การแอบมองมันอาจสร้างความเสียหายที่ร้ายแรงกว่าเมื่อครั้งทำนายถึง ‘การเดินทางของกรอซาย’
ทว่า มีบางจุดที่ต่างออกไปจากเดิม ไคลน์ในปัจจุบันเป็นถึงลำดับ 4 จอมเวทพิสดาร เป็นครึ่งเทพ ความทนทานทางร่างกายและพลังของมิติหมอกที่สามารถยืมมาใช้งาน เพิ่มขึ้นจากสมัยยังเป็นลำดับ 5 หลายเท่า
หลังจากใช้เวลาสองสามวินาทีเพื่อปรับอารมณ์ ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนัก ถือไม้กางเขนเจิดจรัสในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือเศษกระดาษ จากนั้นก็พึมพำเสียงแผ่วเจ็ดรอบ
ไคลน์อาศัยการเข้าฌานเป็นกระดานกระโดดน้ำเพื่อส่งตัวเองให้หลับลึก
ท่ามกลางโลกอันพร่ามัว อาคารหลังหนึ่งซึ่งถูกบดบังรูปทรงดั้งเดิมด้วยชั้นของแสงสีเทาอ่อน ตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด รอบๆ เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด
ณ รอยแห่งจุดหนึ่งบนผิวอาคารหลังดังกล่าว ฝ่ามือที่เกือบขาวซีดเหยียดออกมา
บุคคลผู้หนึ่งเดินออกจากรอยแยก เป็นเพศชาย สวมชุดนักบวชสีดำและมีไม้กางเขนสีเงินแขวนอยู่บนหน้าอก
ผมของชายคนนี้ไม่ยาวนัก เกือบทั้งหมดเป็นสีดำขลับ โคนผมมีร่องรอยของสีทองจางๆ ดวงตาสีทองคำบริสุทธิ์ ผิวพรรณค่อนข้างขาว โครงหน้าชัดลึกและเบ้าตาจม ลักษณะเด่นคล้ายคลึงกับชาวทวีปเหนือ
ชายคนดังกล่าวเดินสองก้าว เหยียดแขนออกมาพร้อมกับถือไม้กางเขนแสนธรรมดาไว้ในมือ ดวงตาเริ่มสลัดจากความลับสน มุมปากยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
มันกล่าวด้วยเสียงทุ้ม
“จงสว่าง!”
เพียงพริบตา โลกสีดำสนิทรอบๆ อาคารสีเทาพลันถูกทะลวงด้วยแสงสว่างจ้า เผยให้เห็นรูปทรงที่แท้จริงของสภาพแวดล้อม
ที่นี่คือหุบเหวลึก ด้านบนสูงลิบจนมองไม่เห็นสิ่งใด แต่แสงสว่างกลับท่วมท้นในทุกซอกมุม
จากนั้น โลกทั้งใบก็สว่างจ้า
ฉากใหม่ฉายเข้ามาแทนที่
หยดเลือดสีทองที่แผ่แสงสว่างและความร้อน หยดลงบนไม้กางเขนสีเงิน
ขณะหยดเลือดกำลังร่วงหล่น ด้านบนมีร่างหนึ่งที่ก่อตัวจากแสงบริสุทธิ์ จากนั้น ใบหน้าที่ค่อนข้างพร่ามัวดังกล่าวเงยขึ้น เผยให้เห็นความเจ็บปวดที่เอ่อล้นออกมา
มันจ้องมาทางตำแหน่งของมิติเหนือสายหมอก จ้องมาทางไคลน์ซึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล จากนั้นก็เปล่งเสียงทุ้มลึกอีกครั้ง
“เร้นลับ…”
ทันใดนั้น ความคิดไคลน์พลันระเบิดโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
…………………