กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ วิหารนักบุญแซมมวล
คาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ ‘เจ้าพิธีกรรมสีคราม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์กำลังร่อนลงมาจากสายลม เหยียบลงบนยอดแหลมที่มีนาฬิกายักษ์อยู่ทางซ้ายมือ
มันสวมเสื้อคลุมสีดำปักลวดลายพายุ บนใบหน้ามีหนวดเครา ผมตรงตัดสั้น สีน้ำเงินเข้มเกือบดำ
ครึ่งเทพที่ทรงพลังรายนี้มองไปยังทิศทางหนึ่ง กล่าวกับบุคคลที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ฮารามิค… คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมแอนโทนีถึงเรียกเรามาที่นี่กะทันหันนัก?”
คนที่มันกำลังสนทนาด้วย แต่งกายในชุดนักบวชสีขาวและหมวกนักบวช หน้าตาใจดี แววตาอ่อนโยน ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในสภาศักดิ์สิทธิ์แห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ ครึ่งเทพ ฮารามิค·ไฮเดิน
ได้ยินคำถามจากเรดาลล์ ฮารามิคตอบสุขุม
“ผมก็มิได้มาถึงก่อนคุณนานนัก แถมยังเพิ่งออกจากห้องวิจัยแค่ไม่กี่นาที”
นอกจากนักบวช มันยังเป็นนักวิทยาศาสตร์คนดัง เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์สาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยเบ็คลันด์
ขณะเรดาลล์·วาเลนไทน์เตรียมกล่าวบางสิ่ง มันเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งเดินขึ้นมาจากบันไดคดเคี้ยวแคบๆ จนกระทั่งถึงยอดหอคอยในจุดที่แสงจันทร์ส่องไม่ถึง
บุคคลดังกล่าวแต่งกายในชุดนักบวชสีดำแถบแดง บนหน้าอกมีสัญลักษณ์ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดจำนวนห้าจุด ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ปราศจากหนวดเครา ดวงตาลุ่มลึกและสุขสงบ ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งรัตติกาล ประมุขแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์ นักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน
“เป็นเรื่องที่รอให้ถึงตอนเช้าไม่ได้? หรือว่าคนของรัตติกาลชอบคุยงานตอนดึก?” ‘เจ้าพิธีกรรมสีคราม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์ตั้งคำถาม
แอนโทนีหยุดเดินและตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เป็นเรื่องด่วนมากๆ”
“เรื่องอะไร?” เรดาลล์ถาม
ขณะเดียวกัน ฮารามิค·ไฮเดินเองก็หันมาทางแอนโทนี·สตีเวนสันและรอคอยคำตอบ
ในสถานการณ์แบบนี้ ฮารามิคค่อนข้างชื่นชอบคนจากโบสถ์วายุสลาตัน เพราะคนเหล่านี้มักเปิดปากถามอย่างโผงผางโดยไม่มัวพิถีพิถัน ตัวมันจึงไม่ต้องเสียแรงถามเอง
แอนโทนีมองสลับไปมาและกล่าว
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์… ให้พระคุณเจ้าอาเรียนน่าเป็นผู้เล่าแทนจะเหมาะกว่า”
ทันทีที่มันกล่าวจบ สตรีเท้าเท้าเปล่า ปล่อยผม และสวมเสื้อคลุมเรียบง่ายพร้อมด้วยเข็มขัดเปลือกไม้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความมืด
เมื่อเห็นบุคคลดังกล่าวเต็มสองตา เรดาลล์และฮารามิคต่างพากันโค้งศีรษะ
“สายัณห์สวัสดิ์ พระคุณเจ้าอาเรียนน่า”
สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมกัน เริ่มเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์
หากเป็นเรื่องที่เทวทูตเดินดินต้องปรากฏตัว นั่นย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน!
ขณะเดียวกัน พวกมันอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน เพราะเพิ่งตระหนักได้ว่า พวกตนไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าประมุขแห่งสำนักชีรัตติกาล บริวารอำพราง พระคุณเจ้าอาเรียนน่ามาถึงกรุงเบ็คลันด์ตอนไหน
ภายใต้สถานการณ์ปรกติ สามโบสถ์หลัก ราชวงศ์ และกองทัพ ต่างมีข้อตกลงร่วมกันว่า ในกรุงเบ็คลันด์ห้ามมีเทวทูตเดินดินหรือสมบัติปิดผนึกลำดับ 0 อยู่
“สายัณห์สวัสดิ์ ท่านอาร์ชบิชอป” อาเรียนน่าตอบโดยปราศจากความผยอง
จากนั้น ยกแขนขวาขึ้นมาจับอากาศ
แสงจางๆ ปรากฏขึ้นและแปรสภาพกลายเป็นฉากท่ามกลางความมืด ทั้งหมดเป็นบทสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบระหว่างอาเรียนน่าและโจนาส·โคลเกอร์
คล้ายกับว่าความลับที่ถูกเก็บงำมานาน จะรั่วไหลออกสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก
ขณะชมภาพเหตุการณ์ ‘เจ้าพิธีกรรม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา
“ชายคนนี้เป็นครึ่งเทพลำดับ 4…?”
อาร์ชบิชอปรายนี้รู้จักกับโจนาส·โคลเกอร์ เดิมทีมันเชื่อว่ารองผอ. MI9 เป็นแค่ผู้วิเศษลำดับ 5 ที่พึ่งพาสมบัติปิดผนึกที่มีผลข้างเคียงร้ายแรงเพื่อให้เอื้อมถึงพลังของครึ่งเทพ แต่ไม่เคยทราบว่านั่นเป็นแค่การเสแสร้ง
โบสถ์วายุสลาตันมีสายสัมพันธ์กับกองทัพมากกว่าอีกสองโบสถ์หลัก
ไม่มีใครตอบคำถามเรดาลล์ หลังจากรับชมเหตุการณ์จนจบ ฮารามิคกล่าว
“โบราณสถานลับของจักรพรรดิโลหิต… และมีคนจำนวนมากถูกส่งเข้าไป… เมื่อนำสองสิ่งนี้มาประกอบกัน ฟังดูไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ดีสักเท่าไร”
“ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่อยู่แล้ว!” เรดาลล์พยักหน้าเห็นพ้อง “รีบไปที่นั่นกันเถอะ!”
อาเรียนน่ามองไปรอบๆ และกล่าวอย่างสุขุม
“เรื่องนี้เกี่ยวพันกับราชวงศ์และกษัตริย์ พวกเจ้าควรได้รับอนุญาตจากสันตะสำนักเสียก่อน”
ในบริบทของเทวทูตตนนี้ สันตะสำนักหมายถึงประมุขของศาสนา ขณะเดียวกันก็ยังหมายถึงสำนักงานใหญ่ของโบสถ์ หรือไม่ก็ศูนย์กลางอำนาจทั้งหมด
“ตกลง” อาร์ชบิชอปทั้งสองมอบคำตอบโดยไม่ลังเล
ผ่านไปสักพัก ‘เจ้าพิธีกรรม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์และฮารามิค·ไฮเดินได้รับการตอบสนองจากสมบัติปิดผนึกที่พวกมันพกพา ร่วมกันกับแอนโทนีและอาเรียนน่า พวกมันมุ่งหน้าไปยังโบราณสถานที่โจนาส·โคลเกอร์เพิ่งเข้าไป
อาเรียนน่าหยิบตราสัญลักษณ์สีดำเหล็กที่มีลวดลายซับซ้อนออกมาถือ ตามด้วยการกระตุ้นกลไก
เธอไม่พยายามปลอมตัวหรือแปลงโฉม ทำเพียงยืนอย่างสุขุมราวกับไม่กังวลว่าคนคุ้มกันด้านในจะรู้จักว่าเป็นใคร
เมื่อเห็นพฤติกรรมของบริวารอำพรางรายนี้ ฮารามิคทำหน้าครุ่นคิด ส่วนเรดาลล์ยังคงปิดปากเงียบราวกับว่านั่นไม่ใช่ปัญหา
ภายในโบราณสถานใต้ดิน บนฐานะโลหะแปลกประหลาด แสงสว่างสีฟ้าอ่อนสว่างขึ้นและก่อตัวเป็นรูปทรงประตู
คนคุ้มกันสี่คนในชุดเกราะสีดำสนิทรีบหันมาจับตามองสถานการณ์ด้านนอก เตรียมใช้วิธีการเฉพาะตัวเพื่อยืนยันว่า ผู้ที่อัญเชิญ ‘ประตูเทเลพอร์ต’ ปลอมตัวมาหรือไม่ และพวกตนควรเปิดประตูไหม
ทว่า พวกมันกลับมองไม่เห็นสิ่งใดเลย พื้นที่ด้านนอกทั้งโล่งและว่างเปล่า
ขณะพวกมันกำลังทวีความสับสนและกระสับกระส่าย ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นด้านหลัง ไม่ใช่ใครนอกจากหัวหน้าผู้บำเพ็ญตนแห่งโบสถ์รัตติกาล อาเรียนน่าผู้สวมเสื้อคลุมเรียบง่ายแต่มีรอยซ่อมแซม
เพียงพริบตา คนคุ้มกันทั้งสี่เข้าสู่ภวังค์หลับลึก โดยมีแอนโทนี เรดาลล์ และฮารามิคตามเข้ามาในโบราณสถานทีละคน
พวกมันไม่ได้เดินไปตามถนนตรงๆ เพื่อผ่านห้องโถง แต่เป็นการลอยกลางอากาศและมองจากมุมสูง
โลกภายในปกคลุมด้วยความมืดเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงแสงเล็กน้อยเล็ดลอดมาจากตะไคร่น้ำประหลาดและไฟจากสิ่งก่อสร้างขนาดเท่ามนุษย์อาศัย
อาศัยแสงสว่างเหล่านั้น ต่อให้ไม่ใช่ผู้วิเศษที่มีเนตรมองกลางคืนก็ยังสามารถเข้าใจโครงสร้างเบื้องต้นของอาคารขนาดมหึมาหลังนี้:
ด้านหนึ่งเป็นกำแพงหินสีเทา ขยายขึ้นไปด้านบนจนมองไม่เห็นจุดจบ ประหนึ่งเชื่อมต่อกับพื้นดิน ส่วนอีกด้านเป็นหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้น ราวกับเป็นนรกที่พวกปีศาจชอบอาศัย ถนนปูด้วยแผ่นหินลาดยาวผ่านทั้งสองฝั่ง เชื่อมต่อห้องโถงและอาคารอื่นๆ เข้าด้วยกัน มีคนเดินผ่านเข้าออกเป็นครั้งคราวอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่อาร์ชบิชอปจากสามโบสถ์หลักเตรียมจับคนที่ผ่านเข้าออกมาสอบปากคำ ถามถึงสถานการณ์ภายใน ทันใดนั้น บุคคลผู้หนึ่งเหาะขึ้นมาจากหุบเขาอันมืดมิดและตรงไปยังเหล่าครึ่งเทพ
ร่างดังกล่าวมีใบหน้าเรียวยาว บนศีรษะสวมผ้าคลุมหัว เหนือริมฝีปากมีหนวดโค้งมนตรงปลาย คิ้วดกหนา ดวงตาใหญ่กว่าคนปรกติเล็กน้อย ดูคล้ายกับไพ่ตัวละครบนหลังไพ่
มันสวมทักซิโด้และผ้าคลุมผืนใหญ่ ปลายรองเท้ายาวมากเป็นพิเศษ การแต่งตัวโดยรวมไม่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันเลยสักนิด ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตจากหลายร้อยปีก่อน
เหล่าอาร์ชบิชอป เช่นแอนโทนีและฮารามิค ล้วนรู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เพราะบุรุษผู้นี้คือเจ้าชายแห่งโซเนีย โกรฟ·ออกัสตัส ครึ่งเทพแห่งราชวงศ์
“พวกคุณเข้ามาได้ยังไง?” โกรฟเป็นฝ่ายเปิดปาก สีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ
หลังจากทุกคนมองหน้ากัน แอนโทนีเริ่มพูดก่อน
“พวกเราสืบสวนเกี่ยวกับคดีการหายตัวไปอย่างลึกลับมานานแล้ว ในระยะหลังเริ่มจับตามองโจนาส·โคลเกอร์แห่ง MI9 เป็นพิเศษ และจากเขา เราจึงได้พบที่นี่”
สีหน้าโกรฟเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้น มันจ้องสตรีที่ทำให้หัวใจทุกดวงสงบนิ่ง รวบรวมคำพูดสักพักก่อนจะถาม
“มาดามอาเรียนน่า?”
“ใช่… ข้ารับผิดชอบคดีการหายตัวไปของผู้คน” อาเรียนน่าตอบห้วน
เจ้าชายโกรฟยิ้มขื่นขม
“พวกเราโลภเกินไป หลังจากค้นพบโบราณสถานแห่งนี้ ทางเราคิดเพียงแต่จะขุดค้นและรวบรวมสมบัติภายใน… เพื่อให้เป็นความลับ พวกเราตัดสินใจร่วมมือกับนิกายแม่มด รวบรวมคนจำนวนมากเพื่อสร้างทางเดินและประกอบพิธีกรรมบางอย่าง… อย่าได้เข้าใจผิดไป ไม่ใช่อย่างที่พวกคุณคิด ผมหมายถึงพิธีกรรมทั่วไป และทุกคนยังมีชีวิตอยู่ภายในโบราณสถาน… หากไม่เชื่อ พวกคุณสามารถตามผมลงไปด้านล่างเพื่อดูให้เห็นกับตา นอกจากอาคารและผนึกที่ยังไม่ถูกเปิดออกมาสำรวจ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรเลย”
ได้ยินคำตอบ แอนโทนี ฮารามิค และเรดาลล์ต่างมองหน้ากันและพบความคลางแคลงในดวงตาอีกฝ่าย
นี่ไม่ใช่ท่าทีตอบสนองที่พวกมันคาดหวัง! ผิดไปจากที่คิดโดยสิ้นเชิง!
เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ทุกคนสงสัยว่า พวกตนเข้าใจผิดกันไปเองหรือไม่ และสถานการณ์อาจไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เข้าใจ
ทันใดนั้น อาเรียนน่ากล่าว
“พวกเจ้ายังสร้างโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน”
“ผิดแล้ว” เจ้าชายโกรฟส่ายหน้า “นั่นเป็นบทเรียนที่พวกเราได้รับจากการร่วมมือกับแม่มด… พวกหล่อนพยายามครอบงำเอ็ดซัคและใช้เขายึดครองอาณาจักร… หลังจากถูกพวกเราจับได้ นิกายแม่มดจึงสร้างมหาหมวกควันขึ้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเราก็ตัดขาดความร่วมมือถาวร”
กล่าวจบ มันชี้ลงด้านล่างและพูด
“แค่จะเก็บซ่อนความลับของโบราณสถานจักรพรรดิโลหิต พวกเราจำเป็นต้องสร้างโศกนาฏกรรมที่ใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? ตราบใดที่พวกคุณลงไปสำรวจอย่างละเอียดด้วยตัวเอง ทุกคนจะเข้าใจความหมายที่ผมต้องการจะสื่อ… หึหึ ไม่ต้องกังวล มาดามอาเรียนน่าก็อยู่ที่นี่ด้วย ทุกกับดักล้วนไร้ผล นอกจากนั้น ต่อให้พวกเราแข็งแกร่งพอที่จะฝังทุกคนไว้ในโบราณสถาน แต่ทางศาสนจักรต้องพบความผิดปรกติแน่ ผมเมื่อเชื่อว่าพวกคุณจะบุกเข้ามาที่นี่โดยไม่รายงานสันตะสำนักก่อน… หากไม่มีใครกลับไป พวกเขาต้องมีการตอบสนองทันทีแน่”
ครึ่งเทพอย่างเรดาลล์และแอนโทนีครุ่นคิดสักพักก่อนจะหันไปมองอาเรียนน่าที่แต่งกายเรียบง่าย
อาเรียนน่าพยักหน้าสุขุม
“ตกลง”
จากนั้น หนึ่งเทวทูตและสามนักบุญต่างลงไปยังส่วนลึกของโบราณสถานภายใต้การนำทางของเจ้าชายโกรฟ พวกมันพบอีกหนึ่งโบราณสถานภายในความมืดมิดซึ่งไม่มีใครย่างกรายเข้าไป รวมถึงชายหญิงจำนวนมากที่ถูกสอนให้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
อาเรียนน่า ฮารามิค และครึ่งเทพที่เหลือต่างทำตามสัญชาตญาณตัวเอง แยกย้ายกันไปสำรวจในแต่เขต แม้กระทั่งไปยังเขตไกลๆ เพื่อรวบรวมข้อมูล แต่ก็ยังไม่พบความผิดปรกติใดๆ
…
หลังจากได้รับสัญญาณจากอาเรียนน่า ไคลน์แปลงโฉมโจนาส·โคลเกอร์ให้เป็นคนรับใช้ในคฤหาสน์ เป็นการทำให้รองผอ. MI9 รายนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ถัดมา มันประกอบพิธีกรรมอย่างไม่รีบร้อน ส่งวัตถุเพิ่งได้รับเข้าไปในมิติหมอกเพื่อทำการวิจัยในอนาคต จากนั้นก็รอให้ฟ้าสว่างอย่างอดทน
……………………………………