หลังจากได้ฟังคำตอบของส.ส. มัคท์ ผนวกกับข้อมูลที่ทราบมาล่วงหน้า เบื้องต้น ไคลน์เชื่อว่าหนูในคฤหาสน์ชานเมืองคงเป็นครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมที่อาศัยอยู่ข้างๆ เฮเซล ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมถึงบ้าและกัดเฮเซล มันยังไม่ทราบคำตอบในตอนนี้
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย ทำสัญลักษณ์ทวนเข็มสี่จุดบนหน้าอก
“ขอให้เทพธิดาอวยพรเธอ”
กล่าวจบ มันเดินผ่านเจ้าภาพเข้าไปในโถงใหญ่ เตรียมเต้นรำในตอนที่งานเลี้ยงเริ่ม
…
ภายในห้องนอนบนชั้นสาม เฮเซลกำลังนอนบนเก้าอี้เอนหลังด้วยท่าทีอ่อนเพลีย ปลายเท้าขดขึ้น
มือซ้ายมีการพันแผลหนาหลายชั้น ไม่มีเลือดไหลซึม สีหน้าหญิงสาวค่อนไปทางมืดมน มิได้เย่อหยิ่งเหมือนทุกครั้ง
ในเขตชานเมืองของคฤหาสน์ หลังจากถูกอาจารย์ที่อยู่ในร่างหนูกัดเข้าอย่างไม่มีปี่ปีขลุ่ย เฮเซลก็เป็นเช่นนี้มาตลอด มึนงง ล่องลอยไร้สติ ราวกับจุดที่ถูกกัดไม่ใช้มือ แต่เป็นจิตใจ
สำหรับเฮเซล แม้ก่อนหน้านี้จะเคยเย่อหยิ่งจากการที่เป็นเด็กการศึกษาสูงกว่าเพื่อนในรุ่น มีความสามารถในการเรียนสูงกว่าเด็กทั่วไป รูปร่างหน้าตาดี ตระกูลค่อนข้างมีหน้ามีตา แต่จนกระทั่งได้ก้าวเข้าสู่โลกเหนือธรรมชาติ ความจองหองของเธอได้พัฒนาไปอีกระดับโดยสิ้นเชิง มิได้มองตนเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป
ดังนั้น การที่อาจารย์ซึ่งเป็นรากฐานความภาคภูมิใจของเธอ เป็นรากฐานความแข็งแกร่ง ดันกลายเป็นหนูไปแล้วจริงๆ เป็นหนูที่พูดไม่รู้เรื่องและกัดเธออย่างไร้เหตุผล เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจเฮเซลเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะคิดว่า พลังพิเศษคือตัวแทนของมนุษย์ที่ก้าวข้ามขีดจำกัด หรือเป็นตัวแทนของปีศาจกันแน่
ท่ามกลางกระแสความคิด เฮเซลทัดผมสีเขียวเข้มไว้หลังใบหูตามความเลยชิน ออกอาการหงุดหงิดกับเสียงเพลงอันไพเราะที่ดังมาจากด้านล่าง
แต่ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงประตูเสียงสี จึงหันหน้าไปมองอย่างเหม่อลอย
สิ่งที่เข้ามาคือหนูสีเทาขนฟู ดวงตาสีแดงสดกว่าปรกติ เกือบจะเรียกว่าแดงเข้ม
“เฮเซล” หนูเรียกเสียงต่ำ
เฮเซลตกใจในตอนต้น ก่อนจะเผยสีหน้าเปี่ยมสุข รีบพยุงตัวยืนและโพล่ง
“อาจารย์… อาจารย์หายดีแล้วหรือ?”
ทันทีที่กล่าวจบ เธอเห็นว่าตรงมุมห้องนอน ตรงระเบียง ตรงใต้เตียง หนูสีเทาตัวแล้วตัวเล่าเดินออกมา ทุกตัวมีตาสีแดงเข้ม แต่ทำได้เพียงส่งเสียงร้องจี๊ดๆ
เฮเซลผงะก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ สะดุดกับขอบเก้าอี้ ร่างกายซวนเซเสียหลักจนเกือบล้ม รักษาสมดุลไว้ได้อย่างยากลำบาก
ทันใดนั้น หญิงสาวพบว่าหนูตาแดงอันตรธานหายไปจนหมด ประตูห้องอยู่ในสภาพปิดสนิท ราวกับไม่เคยถูกเปิดมาก่อน
ฉากเมื่อครู่เป็นราวกับภาพลวงตา หรือไม่ก็ฝันร้ายที่เกิดจากความกังวลใจ!
ผ่านไปสักพัก เฮเซลอ้าปากค้าง หายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก
เธอนั่งลงอีกครั้ง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นและบีบนวดหน้าผาก
ครืด ครืด เธอขมวดคิ้วขณะนวดหน้าผาก สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า เหตุการณ์เมื่อครู่ดูสมจริงเกินไป
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวาดไปรอบห้อง เฮเซลดึงสร้อยคอออกมาถือไว้ในฝ่ามือ
จี้ห้อยคอทำจากหินสีเขียวมรกตและหินใสอีกเจ็ดเม็ด รายล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็กจำนวนมาก ระยะห่างเท่ากับพอดิบพอดี
ทันใดนั้น หินก้อนหนึ่งค่อยๆ สว่างขึ้น เปล่งแสงสีเขียวมรกต ฉาบลงบนใบหน้าของเฮเซลพร้อมกับมีอักขระลึกลับปรากฏขึ้นในดวงตา
ฉากเมื่อครู่ผุดซ้ำภายในใจหญิงสาวผมเขียว ภาพที่คล้ายฝันอันเลือนรางค่อยๆ ทวีความคมชัด
เมื่อสำรวจอย่างละเอียด เฮเซลสังเกตเห็นบางอย่าง มั่นใจว่าเธอมิได้ฝันร้ายหรือเห็นภาพหลอน แต่เป็นการตกอยู่ในภวังค์ภาพลวงตาเกือบสิบวินาที
นักถอดรหัส!
นี่มัน… ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเฮเซลเบิกโพลงทันที ภายในใจเต็มไปด้วยคำถามจนเผลอพึมพำ
เธอรีบลุกขึ้น กวาดตามองรอบตัว แต่ก็ไม่พบสิ่งใด
แต่ยิ่งไม่พบความผิดปรกติ หญิงสาวก็ยิ่งตื่นตระหนัก ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบ้าง มองไม่เห็นจุดประสงค์ของผู้สร้างภาพลวงตา!
สิ่งเดียวที่เธอมั่นใจได้ก็คือ พลังพิเศษและระดับตัวตนของอีกฝ่ายเหนือกว่าเธอหลายเท่า!
เศษเสี้ยวความภาคภูมิใจที่หลงเหลืออยู่พลันแหลกสลายทันที
ผ่านไปหลายนาที ห้องนอนยังคงเงียบ เสียงเพลงชั้นล่างดังระรัวจนชวนให้นึกถึงการเต้นรำ
ในที่สุด เฮเซลเริ่มใจเย็นลง เชื่อว่าคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นตามมาอีก
จากนั้น เธอมีเวลาและอารมณ์มากพอจะไตร่ตรองว่า ภาพลวงตาเมื่อครู่มีไว้ทำอะไร
ความคิดมากมายแล่นผ่าน จนกระทั่งเฮเซลคาดเดาได้เลือนราง
เจ้าของภาพลวงตามาที่นี่เพราะอาจารย์ของเธอ!
อาศัยภาพลวงตาดังกล่าว อีกฝ่ายสามารถยืนยันสถานการณ์ของอาจารย์ได้!
มิตรหรือศัตรูของอาจารย์? ตอนนี้คงมุ่งหน้าไปหาอาจารย์แล้ว เราควรทำยังไง? ทางนั้นคงยังไม่ทราบว่าอาจารย์ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน… ไม่สิ… เราถูกหนูบ้ากัดในคฤหาสน์ชานเมือง เรื่องนี้รู้กันทั่ว… หัวใจเฮเซลหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม สร้อยคอในมือเริ่มหนักอึ้ง
เธอไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ดีหรือร้าย และต้องทำอะไรต่อ
เธอต้องการเดินทางไปยังคฤหาสน์ชานเมืองทันที แจ้งให้อาจารย์ทราบ แต่ขณะเดียวกันก็กังวลว่าจะเกิดอันตราย กังวลว่าตนจะกลายเป็นเหยื่อ
นอกจากนั้น อาจารย์ของเธอคล้ายกับสูญเสียความสามารถในการสื่อสารไปแล้ว ไม่ว่าจะเรียกสติอย่างไรก็ไร้ผล ยากจะทำให้เข้าใจคำพูด
เฮเซลลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว เดินวนเวียนไปมาในห้องนอน ในที่สุดก็ตัดสินใจบางอย่างได้ เม้มริมฝีปากแน่น เดินไปเปิดประตูและพูดกับสาวใช้ส่วนตัวด้านนอก
“ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ตอนนี้อยากนอน อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”
“ค่ะ คุณหนู” สาวใช้ขานตอบทันที
ปิดประตูเสร็จ เฮเซลเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าที่กระฉับกระเฉง เม้มริมฝีปากแน่น
เธอตัดสินใจจะไปที่คฤหาสน์เพื่อตักเตือนอาจารย์
เธอจะไม่อยากเป็นคนโอหังแค่ภายนอก แต่ลึกในใจกลับปอดแหกและขาดคุณธรรมในยามเผชิญหน้าอันตรายเล็กๆ น้อยๆ
นั่นถือเป็นการด้อยค่าตัวเอง!
เฮเซลอาศัยประโยชน์จากช่วงเวลาที่คนคุ้มกันมัวสนใจอยู่กับงานเลี้ยง ปืนท่อประปาจากระเบียงลงมายังสวน ออกจากบ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน ส่วนไคลน์กำลังถือไวน์ซ่าใส่น้ำแข็งหนึ่งแก้วที่มีรสออกหวาน สนทนากับคนกลุ่มหนึ่งเกี่ยวกับธุรกิจในทวีปใต้
มันเอียงคอเล็กน้อย หันไปทางสวน เพียงไม่นานก็ใช้สัมผัสวิญญาณค้นพบพฤติกรรมของเฮเซล
แม้จะไม่ใช่เด็กที่น่าเอ็นดู แต่ก็มีสติและจิตใจดีไม่เลว… ไคลน์พยักหน้าพลางชมเชยในใจ
มันไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะได้รับอันตราย เพราะการเดินทางจากเขตเหนือของกรุงเบ็คลันด์ไปยังคฤหาสน์ตระกูลมัคท์ที่ชานเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อให้ไปด้วยรถม้าก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามถึงห้าชั่วโมง และกว่าจะถึงตอนนั้น ไคลน์ก็คงออกจากงานเลี้ยงและตรงไปยังคฤหาสน์หลังดังกล่าวด้วยการ ‘ท่องเที่ยว’
แม้คฤหาสน์ของมัคท์จะอยู่ในเขตชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ก็ถือเป็นอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำทัสซอค หากต้องการเดินทางไป ก็ต้องอ้อมไปขึ้นสะพานแห่งใดแห่งหนึ่ง ถ้าเป็นระหว่างวันก็ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถขึ้นรถไฟใต้ดินไอน้ำไปลงสถานีใต้สะพาน ซึ่งนั่นจะช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืน ทางเลือกเดียวคือการข้ามสะพานยาว ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าห้าชั่วโมง
แน่นอน ไคลน์ที่เคยใช้ถุงมือ ‘อินธน์’ และเคยอ่านข้อมูลของ ‘2-105’ เส้นเลือดใหญ่หัวขโมยเกี่ยวกับพลังของเส้นทางนักจารกรรม จึงสามารถคาดการณ์ได้ว่า เฮเซลอาจขโมยพลังในการบินของนกและใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อบินข้ามแม่น้ำไปทางอากาศ ส่งผลให้ย่นเวลาเหลือเพียงสามชั่วโมง
แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน เราก็ไปถึงเร็วกว่าเธออยู่ดี… ไคลน์ถอนสายตากลับ มองหาคู่เต้นในรอบถัดไป
…
สี่ทุ่มตรง ณ คฤหาสน์กวางมูสในเขตชานเมืองทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเบ็คลันด์
เดิมที ที่นี่เป็นของไวเคาต์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปี ส.ส. มัคท์ซื้อหลังจากแต่งงาน โดยทุกปีจะต้องเสียค่าบำรุงมหาศาลเพื่อปรับปรุงซ่อมแซม เป็นสถานที่สำหรับเชื้อเชิญเพื่อนฝูงมาหยุดสุดสัปดาห์ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว
ปัจจุบัน คนดูแลคฤหาสน์กำลังสั่งให้คนใช้และสาวใช้ตรวจสอบทุกจุดอย่างรอบคอบ ปิดประตูหน้าต่างมิดชิด นี่คือกิจวัตรประจำวันก่อนนอน
สาวใช้หลายคนเดินออกจากห้องเก็บไวน์ ตรงไปยังครัวเพื่อยืนยันว่าเปลวไฟที่ควรดับถูกดับหมดแล้ว
เมื่อไปถึงที่นั่น พวกเธอได้ยินเสียงแปลกๆ จึงหันไปมองและเห็นหนูสีเทากำลังแทะขาโต๊ะยาว
คล้ายกับหนูสัมผัสถึงสายตาจากพวกเธอ มันมิได้วิ่งหนี แต่จ้องกลับด้วยดวงตาสีแดงเข้ม
ขณะเดียวกัน เสียงแหลมเล็กดังขึ้นจากอีกหลายจุด ไม่ว่าจะบนคาน จากตู้เก็บของ จากชั้นวางจิปาถะ จากหน้าเตาน้ำร้อน หนูตาแดงตัวแล้วตัวเล่าเดินออกมา
เหล่าสาวใช้ต่างตกตะลึง เกือบจะกรีดร้องดังสนั่น
เนื่องจากเป็นคนชั้นล่างของสังคม พวกเธอย่อมเคยเจอหนู บางคนยังเคยฆ่า แต่การได้เจอจำนวนมากขนาดนี้ในระยะใกล้ ยากจะมีใครครองสติไว้ได้
“พวกเรา… ไปหาเคิร์ด… ให้เขามาจัดการกับมัน” สาวใช้รีบเดินออกจากครัว เสนอแนะเสียงสั่น
แม้บ้านอีกคนพยักหน้าหงึกหงัก
“คุณหนูเฮเซลเคยโดนหนูบ้านกัดมาก่อน… พวกมันดูไม่ปรกติเลยสักนิด!”
กล่าวจบ พวกเธอจ้ำเท้าออกห่างจากห้องครัวไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน บนโต๊ะยาวในครัว ร่างหนึ่งก่อตัวอย่างรวดเร็ว สวมเสื้อเชิ้ตขาว เสื้อกั๊กสีดำ เสื้อนอกสีเข้ม สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง รองเท้าหนังมันเงา
ร่างดังกล่าวใช้มือกดหมวก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นทีละนิดพลางมองไปรอบตัว เผยให้เห็นผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล โครงหน้าผอมเพรียว ชัดลึก ไม่ใช่ใครนอกจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์
หลังออกจากงานเลี้ยงเต้นรำ ไคลน์กลับมายังคฤหาสน์ของดอน·ดันเตส เข้าห้องนอนใหญ่ และพา ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนท่องเที่ยวมาที่นี่
แน่นอน สำหรับรายหลัง ไคลน์ทิ้งไว้ด้านนอกคฤหาสน์ เพื่อให้สามารถสลับตำแหน่งได้ทุกเมื่อ
ท่ามกลางสายตาของหนู ไคลน์ดึงถุงมือหนังมนุษย์บนมือซ้ายขึ้น หันเหสายตาไปทางแปลงดอกไม้ของคฤหาสน์
แทบจะในเวลาเดียวกัน หนูทุกตัวในห้องพลันสั่นกระตุก พฤติกรรมเชื่องช้าลงจนเกือบหยุดนิ่ง แต่เพียงไม่นานก็กลับเป็นปรกติ
พวกมันกลายเป็นหุ่นเชิดของ ‘จอมเวทพิสดาร’ เรียบร้อย
ในปัจจุบัน ขีดจำกัดของหุ่นเชิดที่ไคลน์ครอบครองได้คือห้าสิบ และจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อโอสถถูกย่อย!
……………………………….