“ธรรมเนียมของชาวทวีปใต้ช่างแตกต่างกับพวกเรา” ออเดรย์ก้มมองเครื่องประดับหมวกขนนกภายในกล่องของขวัญ กล่าวชื่นชม “แต่ก็เข้ากับรสนิยมของฉันพอดี”
ครึ่งหลังของประโยค กึ่งหนึ่งพูดตามมารยาท อีกกึ่งหนึ่งออกมาจากใจ เธอมองว่าขนนกชิ้นนี้งดงามราวกับงามศิลป์ เพียงแต่ว่ามันโดดเด่นเกินไป สะดุดตาเกินไป ไม่ใช่แบบที่ชอบใช้เป็นเครื่องประดับ
คล้ายกับยามที่ผู้คนเดินทางไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังเก่าแก่ ต่างคนต่างชอบลวดลายและภาพวาดอันเป็นเอกลักษณ์ กล่าวคำยกย่องชื่นชม แต่มักไม่ค่อยซื้อของในทำนองเดียวกันมาตกแต่งบ้านหรือใช้เป็นเครื่องประดับ
ได้ยินประโยคดังกล่าว ไคลน์ยิ้ม
“ขนบธรรมเนียมของชาวทวีปใต้มีความหลากหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะไบลัมตะวันออก ตะวันออก แถบหุบเขาและที่ราบสูง แน่นอน ยังมีบางส่วนที่ยังเหมือนกัน เช่น คลั่งไคล้ทองคำ เชื่อว่าโลหะชนิดนี้มีพลังพิเศษ”
กล่าวถึงตรงนี้ มันชี้ไปที่นกในมือออเดรย์
“ตำนานกล่าวไว้ว่า คนที่สวมหมวกแบบนี้จะได้รับพรจากงูขนนก เป็นพรจากมรณา”
มันกำลังบอกใบ้ความสำคัญที่ซ่อนอยู่ในขนนก
ในฐานะเส้นทาง ‘ผู้ชม’ ลำดับ 6 ออเดรย์ย่อมมองเห็นควายนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเดอะเวิร์ล เข้าใจว่าเครื่องประดับหมวกชิ้นนี้สามารถรับการตอบสนองจาก ‘มรณา’ ได้ในช่วงเวลาวิกฤติ สามารถสร้างผลลัพธ์บางอย่าง
สำหรับเรื่องที่ว่าจะใช้งานยังไง นี้เป็นพื้นฐานของศาสตร์เร้นลับ ออเดรย์ที่มีความรู้ค่อนข้างมาก ไม่จำเป็นต้องขอคำอธิบายจากดอน·ดันเตส
เธอยิ้มเล็กๆ โดยไม่เผยฟัน
“ดิฉันชอบมาก จะหาโอกาสติดบนหมวกตามความเหมาะสม”
ไม่เลว… การคุยกับผู้ชมสะดวกสบายแบบนี้นี่เอง… ไคลน์ยิ้มตอบ ชี้ออกไปข้างนอก
“ขอตัวก่อนนะครับ ผมยังมีขอขวัญเหลืออยู่”
“วันนี้คุณน่าจะเป็นคนดังของที่นี่” ออเดรย์ยิ้มตอบ เป็นการแสดงความขอบคุณ
ขณะเดียวกัน ภายในใจเธอเกิดความกังวลเล็กๆ ลังเลว่าจะหาโอกาสแจ้งเดอะเวิร์ลซึ่งต้องการสืบสวนคดีการตายของคารอน เกี่ยวกับเฮอร์วิน·แรมบิสดีหรือไม่
จริงสิ อีกเดี๋ยวก็วันจันทร์แล้ว รอให้ถึงชุมนุมทาโรต์ จากนั้นค่อยคุยกันอย่างสบายใจ… แล้วก็ เราต้องปรึกษากับมาดามเฮอร์มิทและมิสเตอร์แฮงแมน ว่าควรรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไร โดยเฉพาะวิธีป้องกันการถูกสะกดจิตโดยผู้ชมลำดับสูง เพราะเราไม่สามารถสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลและขอพรล่วงหน้าได้ทุกครั้ง… มาลองคิดดูให้ดี พลังสะกดจิตแบบนั้นช่างน่าสะพรึง เหยื่อไม่ทันได้สังเกตเห็น ไม่มีทางรู้ตัวว่ากำลังถูกป้อนคำสั่ง… ความคิดออเดรย์คล้ายกับน้ำเดือด ฟองผุดขึ้นมาทีละหนึ่ง
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เธอสงสัยว่า อาจมีชนชั้นสูงของโลเอ็นจำนวนไม่น้อยที่ถูกสะกดจิต ให้ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับเจตนารมณ์ของตน
ขณะเดียวกัน เธอเข้าใจบางสิ่งคลุมเครือ
ทุกครั้งที่พ่อกับแม่เดินทางไปยังวิหารนักบุญแซมมวลเพื่อเข้าร่วมพิธีมิสซา ประธานของพิธีจะต้องเป็นอาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลเบ็คลันด์เสมอ การจะดำรงตำแหน่งนี้ได้ ลำดับพลังอย่างน้อยก็ต้องครึ่งเทพ!
ในหลายครั้ง ท่านเจ้าคุณอาร์บิชอปก็เป็นฝ่ายมาเยี่ยมบ้านของเราเพื่อพูดคุย… เป็นการป้องกันการสะกดจิต? และนั่นคือเหตุผลที่เฮอร์วิน·แรมบิสไม่กล้าสะกดจิตเรารุนแรงเกินไป? ออเดรย์เฝ้ามองดอน·ดันเตสเดินออกจากสำนักงานและปิดประตู เธอนั่งลงอีกครั้ง หยิบปากกาและเขียนบนกระดาษตามจิตใต้สำนึก
หลังจากได้สติกลับมา บนกระดาษสีขาวมีวงกลมถูกวาดขึ้น มีดวงตาที่เย็นชาและใบหน้าที่เต็มไปด้วยเส้น
เพียงชำเลืองเห็น หัวใจออเดรย์พลันเต้นแรง รีบใช้พลังวิญญาณเสียดสีกับกระดาษเพื่อเผาให้เป็นเถ้าถ่าน
สิ่งที่ขีดเขียนเล่นเมื่อครู่ คือเครื่องสะท้อนอารมณ์และความคิดจากจิตใต้สำนึกของเธอในระดับหนึ่ง!
สำหรับนักจิตบำบัดมืออาชีพ การแปลความหมายจากภาพวาดคือทักษะพื้นฐาน จึงไม่ลังเลเลยที่จะเผาทำลายมันทิ้ง
ผ่านไปสักพัก ไคลน์ที่มอบของขวัญเสร็จ คุยกับคณะกรรมการสองสามคนสักพัก ก่อนจะเข้ามาในห้องของคณะกรรมการชั่วคราว ตามหาปากกาและกระดาษ นั่งบนโซฟา ครุ่นคิดและเริ่มเขียน:
“เรียนมิสเตอร์อะซิก”
ไคลน์เขียนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทวีปใต้ อาดัมได้ครอบครอง ‘0-08’ ส่วนตน เลียวนาร์ด และดาลีย์ประสบความสำเร็จในการแก้แค้นอินซ์·แซงวิลล์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การส่งจดหมายไปหามิสเตอร์อะซิกที่กำลังหลับใหล จดหมายจะไม่มีการตอบกลับในเร็วๆ นี้
ส่วนประเด็นที่ว่า มีการเอ่ยชื่ออาดัมและ 0-08 ลงบนจดหมาย ไคลน์ไม่ได้กังวลสักเท่าไร เพราะอย่างไรก็ดี เทวทูตจินตภาพรายนี้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับกงสุลมรณะอยู่แล้ว ลำพังการแบ่งปันข้อมูลจะไม่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม
ถึงตรงนี้ เนื้อหาของจดหมายไม่เกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับอีกต่อไป เพียงอมยิ้มและตวัดปากกาอย่างอ่อนโยน เล่าเกี่ยวกับการช่วยเหลือทางการกุศลที่ได้ฟังมาจากออเดรย์และคณะกรรมการคนอื่น และปิดท้ายว่า
“…สิ่งนี้คุ้มค่าแก่การลงทุนมาก ผมรู้สึกพอใจและมีความสุข… มิสเตอร์อะซิก คุณก็คิดแบบนั้นใช่ไหม?”
“ไว้คุณตื่นเมื่อไร… บางทีอาจลองทำในสิ่งที่คล้ายกัน ทุกการคืนชีพหลังจากนี้ ตระเวนช่วยเหลือเด็กๆ ที่ขาดแคลนโอกาส เมื่อถึงตอนนั้น ถึงแม้คุณจะลืมพวกเขา แต่พวกเขาก็จะไม่ลืมคุณไปชั่วชีวิต”
เขียนเสร็จ เก็บปากกา ไคลน์อ่านทวนซ้ำอีกครั้ง ยืนยันว่าไม่มีข้อผิดพลาด จึงเป่านกหวีดทองแดง อัญเชิญผู้ส่งสารกระดูกและยื่นจดหมายให้
ถัดมา มันและบุรุษรับใช้เอ็นยูน เดินออกจากสำนักงานกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา มายังวิหารนักบุญแซมมวลที่อยู่ไม่ไกล สวดมนต์อย่างเงียบงันนานกว่าสิบห้านาที
เฉกเช่นทุกครั้ง ไคลน์เดินมายังกล่องบริจาค โยนธนบัตรที่มีมูลค่ารวมแปดสิบปอนด์ลงไป
อาศัยโอกาสดังกล่าว มันเดินไปพบบิชอปอีเล็คตร้า พูดคุยกันสักพักและฟังเทศนา
นี่คือการประกาศให้โบสถ์รัตติกาลทราบว่า ดอน·ดันเตสกลับมาแล้ว
สำหรับของขวัญ ไคลน์มิได้ถือติดมือมามอบให้ เพราะนี่คี่คือเคหสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดา มิใช่พื้นที่ส่วนตัว จึงกำชับให้พ่อบ้านวอลเตอร์ นำของขวัญไปมอบให้บิชอปอีเล็คตร้าที่บ้านอีกฝ่ายแทน
…
ช่วงเวลาชายามบ่าย ไคลน์ทำตามกำหนดการ เดินทางออกจากบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ไปเยี่ยมบ้านศัลยแพทย์อลัน เพราะริชาร์ดสันที่ได้แวะไปมาเมื่อช่วงเช้า กลับมายืนยันว่าเจ้าของบ้านอนุญาต
ในคราวนี้ ไม่เพียงไคลน์จะได้พบนายแพทย์อลัน แต่ยังมีเวลม่า·กลาดีส ภรรยาของอลัน รวมถึงทารกแรกคลอดและพี่ชายพี่สาวที่อายุห่างกันไม่กี่ปี
“น่าเสียดายที่ผมพลาดโอกาสเข้าร่วมงานวันเกิดของ… เอ่อ…” ไคลน์จงใจเว้นวรรค รอจนกระทั่งเวลม่า·กลาดีสยิ้มและตอบกลับว่า ‘วิล’
มันเรียบเรียงคำพูดสักพักก่อนจะกล่าว
“น่าเสียดาย ผมมีธุระด่วนที่ไบลัมตะวันตก พลาดการเข้าร่วมงานเลี้ยงมันเกิดของวิล… นี่คือเครื่องรางที่ได้รับความนิยมอย่างมากแถวนั้น กล่าวกันว่าจะนำพาความโชคดีมาสู่เด็กๆ”
ขณะพูด มันส่งเครื่องประดับทองคำให้นายแพทย์อลัน
อลัน·คริสที่พูดไม่เก่ง มิได้คัดค้าน เพียงรับไว้พลางพยักหน้า
“ขอบคุณ”
จากนั้น มันถือเชือกที่ห้อยเครื่องรางสีทองไปยังรถเข็นเด็กข้างๆ เขย่าเล็กน้อยพร้อมกับถาม
“วิล… ลูกชอบมันไหม?”
เด็กอวบอ้วนที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมสีเงินยกแขนขึ้น ตบเครื่องรางสีทองออก
ตบมันออก…
ภายในห้องนั่งเล่น บรรยากาศอึมครึมทันที ไคลน์ตัดสินใจหัวเราะในลำคอเพื่อสร้างความร่าเริง
“คงเป็นการตอบสนองปรกติของเด็กเล็กน่ะครับ”
ขณะเดียวกัน สาวใช้ยกถาดสามชั้นพร้อมกับของว่างและชายามบ่ายมาวาง ช่วยให้เจ้าบ้านและแขกสามารถเปลี่ยนเรื่องสนทนา
ไคลน์จิบชาดำและของว่าง พลางเล่าเกี่ยวกับธรรมเนียมประหลาดๆ ของไบลัมทั้งตะวันออกและตก เป็นหัวข้อที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากอลันและเด็กทั้งสองคน พวกมันตั้งคำถามเป็นครั้งคราว
ระหว่างนั้น ไคลน์หันหน้าไปทางรถเข็นเด็ก ยิ้มและถาม
“ไม่ชอบของขวัญของผมหรือ?”
ขณะตั้งคำถาม คู่สามีภรรยาอลันและเด็กๆ ภายในห้องมิได้เผยสีหน้าผิดปรกติ ท่าทียังคงเป็นการนั่งฟังอย่างตั้งใจ
พวกมันกำลังถูกตบตาด้วย ‘ภาพลวงตา’ ที่ไคลน์สร้างขึ้น ภาพลวงตาที่ดอน·ดันเตสกำลังนั่งบรรยาย!
ได้ยินเช่นนั้น วิลอัสตินกอดอก กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็กทารก
“ของขวัญชิ้นนั้นมีประโยชน์อะไร? ส่งกวาดาร์มาให้ข้ายังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ดื่มได้!”
ไคลน์ยิ้มและส่ายหน้า
“มีข่าวดีมาแจ้ง โอโรเลอุสได้รับบาดเจ็บโดยฝีมือใครสักคน คงไม่ออกตามหาคุณสักพัก”
ชายหนุ่มไม่กล้าเอ่ยชื่ออาดัม ไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง ด้วยกังวลว่าบุตรแห่งพระผู้สร้างรายนี้จะตรวจพบตำแหน่งของอสรพิษปรอท วิล·อัสติน
สำหรับคำเรียกว่า ‘พี่ชายอามุนด์’ ไคลน์ตัดสินใจละเว้นไว้สักพัก เพราะไม่ทราบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในเบ็คลันด์หรือไม่ มีบ่อยครั้งที่การเอ่ยชื่อของ ‘เทวทูตกาลเวลา’ ตนนี้ ชักนำให้ชะตากรรมมาบรรจบกัน
แต่ไคลน์ก็เชื่อว่า วิล·อัสตินสามารถเดาได้ไม่ยากว่าใครคือผู้ทำร้าย ‘เทวทูตโชคชะตา’ เพราะตัวตนที่ยังเดินดินและสามารถทำร้ายโอโรเลอุสได้มีเพียงหยิบมือ อาจเหลือเพียงอาดัมและอามุนด์เท่านั้น
การอธิบายด้วยคำว่า ‘ใครบางคน’ ยังจะช่วยตัดคำตอบที่ว่า เหล่าเทวทูตจำนวนหนึ่งพกพาสมบัติปิดผนึกรุมทำร้ายโอโรเลอุส
วิล·อัสตินเงียบงันสักพัก
“คำทำนายของข้าก็คือ ชะตากรรมของเจ้าจะส่งผลดีในระยะยาว”
หลังจากแลกเปลี่ยนข้อมูลเสร็จ ไคลน์เตรียมสลายภาพลวงตา แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงวิล·อัสติน
“จริงสิ… จู่ๆ ข้าก็อยากกินกวาดาร์เย็นๆ ใส่น้ำแข็งได้ยิ่งดี”
“เครื่องดื่มแบบนั้นไม่เหมาะกับเด็ก!” ไคลน์ทำหน้าขึงขังขณะสลายภาพลวงตา เหยียดแขนออกไปหยิบไอศกรีมที่สาวใช้ยกมาเสิร์ฟ
จากนั้น ภายใต้สายตาของอลันและเวลม่า มันตักไอศกรีมด้วยช้อนเงินหนึ่งคำ หยอกเย้าเด็กทารก
“วิล อยากกินไหม? อยากกินไหม?”
มาดามเวลม่าหัวเราะ
“วิลของเราไม่ชอบสิ่งนี้”
ขณะหญิงสาวกล่าวจบ ไคลน์ยัดช้อนเงินเข้าไปในปากตัวเอง
“อุแว๊—!”
เด็กในรถเข็นร้องกระจองอแง
…………………………………………….