เมื่อเห็นรอยยิ้มของแฟรงค์ แคทลียาพลันเกิดอารมณ์ซับซ้อน ไม่นานก็ถอนสายตากลับและหันไปทางหมู่บ้านชาวประมงใกล้ท่าเรือซึ่งมีอนาคตกาลจอดเทียบท่า
ไม่มีคาดคิดว่า สถานที่แห่งนี้คือฐานลับสำคัญของนิกายมอสส์
เพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ล่าของชุมนุมแสงเหนือที่อาจเกิดขึ้น ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาพากองเรือของเธอมาหยุดพักที่นี่สักระยะแล้ว!
เธอยังไม่คิดจะออกเรือ แต่เตรียมใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในหมู่บ้านเพื่อติดต่อกับลูกน้องในบายัมที่กำลังจับตามอง ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผน
ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน อนาคตกาลจึงจะออกแล่นอีกครั้ง ตรงไปยังเมืองหลวงของหมู่เกาะรอสต์ภายในไม่กี่วันข้างหน้า
…
กรุงเบ็คลันด์ เดือนกรกฎาคม แสงอาทิตย์เจิดจ้าอย่างมาก แต่อุณหภูมิโดยรวมไม่ถือว่าร้อนจนเกินไป แทบไม่เกินสามสิบองศาเซลเซียส
เอ็มลินใช้หมวกทรงสูงบังแดดที่สองผ่านเมฆ เดินลงจากรถม้า เข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
มองเข้าไป มันเห็นนักบวชสวมชุดสีน้ำตาล สวมหมวกนักบวช ไม่ใช่ใครนอกจากบิชอปยูทรอฟสกี้ยืนเด่นตระหง่านราวกับภูเขาหน้าตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิต กำลังเทศนาผู้เชื่อที่มาสวดมนต์ในตอนเช้า
เอ็มลินไม่มองนาน อ้อมเข้าไปทางหลังวิหาร มาถึงห้องส่วนตัวและเปลี่ยนชุดอย่างชำนาญ
มันเช็ดเชิงเทียนและสิ่งอื่นๆ เพื่อรอให้เหล่าสาวกเดินทางกลับ ราวยี่สิบนาทีถัดมา ในที่สุดก็สบโอกาสเดินไปนั่งช้างบิชอปยูทรอฟสกี้ หันหน้าไปทางตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตและพึมพำกับตัวเอง
“หลวงพ่อ ข้ามีคำถาม”
บิชอปยูทรอฟสกี้เจ้าของคิวบางๆ และดวงตาสีฟ้าอ่อน ยิ้มและตอบ
“เล่ามาได้เลย”
เอ็มลินหยุดหายใจ พ่นคำพูดที่ไตร่ตรองมาทั้งคืน
“ถ้าเกิดว่า… ข้าสมมตินะ… มีญาติที่ไม่สนิทกันมากนักมาหลอกลวงท่าน ทำให้ท่านและเพื่อนตกอยู่ในอันตราย เกือบถึงแก่ความตาย และเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะขึ้นศาล ท่านจะลงโทษญาติคนนั้นอย่างไร?”
บิชอปยูทรอฟสกี้นั่งนิ่งคล้ายขุนเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกนุ่มนวล
“ก่อนอื่น เราต้องแน่ใจเสียก่อนว่าญาติคนนั้นประมาทหรือตั้งใจล่อลวงให้คุณเข้าไปในกับดัก หากเป็นอย่างแรก สิ่งที่ควรทำคือการตักเตือน พูดกับเขาดีๆ อย่ามัวคิดแต่จะลงโทษ แต่ถ้าเป็นกรณีหลัง เจ้าต้องยืนยันเสียก่อนว่าเป็นนิสัยประจำของเขาหรือไม่… ถ้าหากใช่ ต้องรีบกำจัดเขา ไม่อย่างนั้น เขาจะทำร้ายคนอื่นจนถึงแต่ชีวิตในสักวัน ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน ดังนั้น การจบชีวิตเขา ส่งกลับคืนสู่ดินและไปเกิดใหม่ในชีวิตถัดไป คือความเมตตาและการชำระล้างให้บริสุทธิ์…”
กำจัด… นักบวชกำลังพูดเรื่องการฆ่าได้เป็นธรรมชาติ สุขุม และสงบนิ่งกว่ามิสเตอร์เวิร์ลมาก! กล้ามเนื้อใบหน้าเอ็มลินขยับเล็กน้อย รีบขัดจังหวะคำตอบของบิชอปร่างยักษ์
“ไม่… เขาไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น เป็นการทำไปด้วยเหตุผลบางอย่าง เป้าหมายมีแค่ข้าคนเดียว… นั่นคือเหตุผลที่ข้าไม่อยากถึงขั้นทำให้ตาย”
ทันทีที่สิ้นเสียง เอ็มลินนั่งตัวแข็ง พบว่าตนเผลอหลุดปากไปว่า เหยื่อคือตัวมันเอง และนั่นคือปัญหาภายในของตระกูลผีดูดเลือด
หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ชำเลืองด้านข้าง กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ไม่เลว… คุณเข้าใจคุณค่าของชีวิตแล้ว”
เอ็มลิ้นฝืนยิ้ม
“แล้วข้าควรลงโทษเขาอย่างไร?”
บิชอปยูทรอฟสกี้ชำเลืองไปทางตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตด้านหน้า
“ผมไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง… คุณสามารถพาเขามาที่นี่ ให้ฟังคำเทศนาจากผม ฟังพระคัมภีร์ ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต สัมผัสถึงพระกรุณาของพระแม่ ทำงานชดใช้บาปที่เคยก่อ”
นั่นมันสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ใช่หรือ? เอ็มลินผงะ ก่อนจะพบว่า วิธีการดังกล่าวสอดคล้องกับสิ่งที่มันปรารถนา
ด้วยวิธีนี้ เออร์เนสโบยาร์จะไม่ตาย และไม่ใช่การทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายเพื่อเอาคืน เหนือสิ่งอื่นใด วิธีนี้จะไม่สร้างความขัดแย้งภายในหมู่เครือญาติ!
แน่นอน ทุกวิธีย่อมมีข้อเสีย สำหรับเอ็มลิน หากต้องการทำให้สำเร็จ ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ:
จะพาตัวเออร์เนส·โบยาร์มาที่วิหารฤดูเก็บเกี่ยวได้อย่างไร?
ในวินาทีที่ตนกลายเป็นอาสาสมัครของที่นี่ ผีดูดเลือดทั่วทั้งเบ็คลันด์ต่างพยายามอยู่ให้ไกลจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว เช่นเดียวกับกันเออร์เนส·โบยาร์ ยากมากที่จะถูกหลอก!
และสำหรับการใช้ความรุนแรง เอ็มลินเชื่อว่าตนที่มีแหวนจากบรรพบุรุษและหนังสือเวทมนตร์จากมิสเมจิกเชี่ยน การเอาชนะไวเคาต์เออร์เนส·โบยาร์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่า การควบคุมตัวนั้นเป็นคนละเรื่องกับการเอาชนะ เพราะท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายก็ยังเป็นถึงไวเคาต์ผีดูดเลือด ผู้วิเศษทัดเทียมลำดับ 5 นอกจากนั้น ถึงเออร์เนสจะมีอายุไม่มากนัก แต่ก็สะสมของไว้มากทีเดียว
ในสถานการณ์ดังกล่าว การลงมือตรงๆ ยากจะกะเกณฑ์ผลลัพธ์ได้แม่นยำ หากโชคร้าย อีกฝ่ายก็อาจถึงแก่ความตายระหว่างขัดขืน ขัดต่อความตั้งใจเดิมของเอ็มลิน
คงต้องขอความร่วมมือจากใครสักคน… ในเบ็คลันด์มีสมาชิกของชุมนุมทาโรต์หลายคน หากพวกเราร่วมมือกัน การควบคุมตัวเออร์เนสก็ไม่ใช่เรื่องยาก… อา… เราไม่ควรเปิดเผยตัวเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต้องเป็นความร่วมมือในคนละส่วน แบบที่ไม่ต้องเจอหน้ากันเลย… ท่ามกลางกระแสความคิด เอ็มลินตัดสินใจหนักแน่น เตรียมขอคำปรึกษาในชุมนุมทาโรต์สัปดาห์ถัดไป
มันพยักหน้าแผ่วเบา ตอบสนองต่อคำแนะนำของบิชอปยูทรอฟสกี้
“ฟังดูเข้าท่า… ข้าขอสงบสติอารมณ์สักสองสามวันก่อนตัดสินใจ”
บิชอปร่างยักษ์ผงกศีรษะ ยิ้มเล็กน้อย
“ผลลัพธ์เกิดจากการหว่านไปจนถึงเก็บเกี่ยว เป็นกระบวนการที่ยาวนาน ต้องอดทน… ดูเหมือนว่าคุณจะเริ่มเข้าใจมันแล้ว”
แน่นอน นั่นคือความรู้พื้นฐาน! เอ็มลินเชิดคางเล็กน้อย ประสานมือกันตามความเคยชิน หันหน้าไปทางตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตและเริ่มสวดมนต์
…
บ้านเลขที่ 22 ถนนเฟลป์ สำนักงานกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา
ออเดรย์วางเอกสารในมือลงบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นและชำเลืองนาฬิกาแขวนบนผนังห้องผู้อำนวยการ จิตใจกระสับกระส่ายจนยากผ่อนคลาย
เธอนัดหมายกับเอสลันด์ไว้ว่า ในช่วงบ่ายต้องเข้าพบสตีเฟ่น·ฮันเพรสที่บ้านของอีกฝ่าย
ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าจะมีการทดสอบ… ถ้าทางสมาคมแปรจิตรอบคอบมากพอ พวกเขาอาจรายงานไปยังเบื้องบนและให้ใครสักคนคอยจับตามอง…
พิจารณาจากลำดับและฝีมือของเธอ แม้ออเดรย์จะมิอาจยืนยันว่า ‘ผู้ชม’ ลำดับสูงน่ากลัวแค่ไหน แต่ก็พอจะเดาออกว่ามีพลังในทิศทางใด ส่งผลให้เธอประหม่าเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุม กังวลว่าจะถูก ‘เห็น’ ในสิ่งที่ไม่ควร
อันที่จริง เราควรประวิงเวลาให้นานกว่านี้อีกสักนิด… ถึงการยืดเวลาออกไปจะทำให้ถูกสงสัยได้ง่าย แต่การรอให้มิสเตอร์เวิร์ลกลับจากทวีปใต้นั้นสำคัญกว่ามาก แม้จะถูกสงสัยไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็มีอีกฝ่ายคอยคุ้มครองภายในอาคารสำนักงาน ไม่ต้องกังวลว่าผู้ชมลำดับสูงจะตรวจพบความผิดพลาด… เฮ่อ… ออเดรย์ เธอยังคิดน้อยเกินไป… ออเดรย์ถอนหายใจเงียบ ร่าย ‘ปลอบโยน’ ใส่ตัวเองเพื่อสงบอารมณ์
ณ ตอนบ่าย เธอไม่รีบร้อนออกจากกองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา ยังคงนั่งในสำนักงาน ก้มศีรษะลงและประสานมือด้านหน้า สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเสียงต่ำ
จัดการเสร็จ เธอพาสาวใช้แอนนี่และซูซี่สุนัขตัวใหญ่ ขึ้นรถม้าส่วนตัว เดินทางไปที่บ้านพ่อค้าเครื่องเรือนนามว่าสตีเฟ่น·ฮันเพรส
เพียงรถม้าเริ่มออกตัว แสงสว่างอันเจิดจ้าปรากฏขึ้นในการมองเห็น
ท่ามกลางลำแสง นางฟ้าที่มีปีกสิบสองคู่อาบด้วยแสงสีทองค่อยๆ ร่อนลงมา โอบกอดเธอด้วยปีกที่สร้างจากเปลวเพลิงทีละชั้น
ทัศนวิสัยของออเดรย์กลับเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว อาศัยการชำเลืองด้วยหางตา เธอพบว่าสาวใช้แอนนี่และซูซี่ยังคงมีท่าทีปรกติ ไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
แตกต่างจากเทวทูตองค์ก่อน… ไม่เพียงมิสเตอร์ฟูลจะฟื้นคืนพลัง แต่เทวทูตของท่านก็ด้วย? มุมปากออเดรย์ยกโค้งเล็กน้อย ฝืนหุบยิ้มด้วยหัวใจเบิกบาน
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถม้าของเธอหยุดลงตรงหน้าประตูบ้านสตีเฟ่น·ฮันเพรส
หลังจากยื่นมือไปหาสาวใช้แอนนี่ ออเดรย์ลงจากรถม้า เดินไปที่ประตู ยืนมองผู้ติดตามช่วยสั่นกริ่ง
ผ่านไปสักพัก เอสลันด์เดินมาเปิดประตู และเช่นเคย เธอเดินนำออเดรย์ไปยังห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่ง ส่วนแม่บ้านและสุนัขตัวใหญ่ถูกพาไปยังห้องนั่งเล่นคนใช้
มาถึงประตูห้องนั่งเล่น เอสลันด์เหยียดมือไปเปิดประตูและค้างไว้ ส่งสัญญาณบอกให้ออเดรย์เข้าไป
หรือว่า… ออเดรย์คาดเดาคลุมเครือ แต่ภายนอกยังสงบนิ่ง เดินผ่านประตูที่เอสลันด์เปิดอย่างไม่รีบ
เอสลันด์ไม่ได้ตามเข้ามาด้วย ปิดประตูห้องนั่งเล่นจากด้านนอก
ออเดรย์มองตรง พบโซฟาเดี่ยวในห้องนั่งเล่นกำลัง พบชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งนิ่ง
ชายชราสวมเสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก เสื้อนอกและกางเกงขายาวลายทางสีน้ำเงินอดเทา เนคไทสีแดงเข้ม ผมขาวโพลนทั้งหมด แต่ยังคงดกหนา บรรยากาศอ่อนโยนและสง่างาม
ดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายคล้ายกับอัดแน่นไปด้วยความรู้และสติปัญญา ยกเว้นหน้าผาก จุดอื่นแทบไม่ปรากฏริ้วรอยให้เห็น
ออเดรย์รู้จักชายคนนี้ดี ที่ปรึกษาของราชวงศ์ เฮอร์วิน·แรมบิส!
แน่นอน เธอยังรู้จักตัวจริงของชายคนนี้จากชุมนุมทาโรต์:
หนึ่งในคณะกรรมการแห่งสมาคมแปรจิต!
เธอมิได้เก็บซ่อนความประหลาดใจ เพราะเธอกำลังตกตะลึงจากก้นบึ้ง แม้จะเดาได้ว่าอาจต้องพัวพันกับเฮอร์วิน·แรมบิส แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาตรงๆ นึกว่าจะคอยจับตามองอย่างลับๆ โดยให้สตีเฟ่นคือฮิลเบิร์ดเป็นฝ่ายออกหน้าแทน
“แปลกใจขนาดนั้นเชียว?” เฮอร์วิน·แรมบิสถามด้วยรอยยิ้ม
มันลุกขึ้นยืนและทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จัก มิสออเดรย์”
ออเดรย์จงใจอ้าปากและปิด ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มซับซ้อน
“ดิฉันไม่ทราบว่าต้องเรียกคุณว่าอย่างไร”
เฮอร์วิน·แรมบิสหัวเราะ
“เหมือนทุกครั้ง”
มันชี้ไปทางโซฟาด้านข้าง
“นั่งลงก่อน”
ออเดรย์สูดลมหายใจลึก เดินผ่านไปด้วยรอยยิ้มจางๆ นั่งลงบนโซฟาในระยะที่ไม่ห่างจากอีกฝ่ายเกินไป
…………………………………………