Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 967 : ‘วิวรณ์’

สายลมเย็นพัดผ่านชานชาลาในตอนกลางคืน ส่งผลให้โคมไฟแก๊สที่แขวนอยู่โยกคลอนแผ่วเบา

ท่ามกลางฉากดังกล่าว แสงสลัวขยับไปมาอย่างต่อเนื่อง รถจักรไอน้ำถูกปกคลุมด้วยเงาสลับกับแสงสว่างตลอดเวลา เกิดเป็นบรรยากาศที่ยากจะอธิบาย

ในเวลาเดียวกัน ตำรวจในเครื่องแบบสีดำสลับขาวเดินเข้าไปในชานชาลา มุ่งหน้าไปยังรถไฟคันใหญ่ที่มีสภาพค่อนข้างโทรมภายใต้การนำทางของผู้จัดการสถานี

“ด้วยเหตุผลบางประการ หลังจากผู้โดยสารทุกคนออกไป เจ้าหน้าที่ของรถไฟได้กลับเข้าไปในตัวรถและไม่ออกมาอีกเลย… ผมต้องส่งคนเข้าไปตาม หวังจะพาพวกเขาออกมาพักผ่อน ต…แต่ผลลัพธ์ก็คือ… ก็คือ… คนที่ถูกส่งเข้าไปต่างวิ่งหน้าตาตื่นออกจากรถไฟ เอาแต่แหกปากอย่างบ้าคลั่งว่า ‘ทุกคนตายแล้ว!’ ” ผู้จัดการสถานีรถไฟในชุดสีฟ้ากำลังคือโคมไฟตะเกียง เล่าถึงสถานการณ์เบื้องต้น

จากการพูดที่ติดขัดและร่างกายสั่นระริกเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องยากที่ตำรวจจะสังเกตเห็นความหวาดกลัวในตัวอีกฝ่าย คล้ายกับถ้ามีใครสักคนจับไหล่ มันจะสะดุ้งเฮือกพร้อมกับเผ่นหนีโดยทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลัง

ความรู้สึกดังกล่าวส่งต่อมาถึงตำรวจเช่นกัน พวกมันทุกคนต่างเลื่อนมือลงไปจับซองปืนพกตรงเอว

กึก กึก กึก เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นแข็งๆ ของชานชาลา กลุ่มตำรวจเดินตามผู้จัดการสถานที่เข้าไปในส่วนหัวขบวนด้วยความระมัดระวัง

ภายในตู้โดยสาร สิ่งที่ได้เห็นคือแต่ละแถวจะมีคนนั่งสองคน แบ่งฝั่งซ้ายขวา นั่งไกลจากหน้าต่าง หลังแนบเบาะโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย

อาศัยโคมไฟแก๊สด้านนอกและโคมไฟตะเกียง หัวหน้าสารวัตรมองเห็นภาพรวมของสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

ทุกคนด้านในเป็นเจ้าหน้าที่ของรถไฟไอน้ำ ใส่เครื่องแบบสีฟ้าที่แบ่งแยกชัดเจนระหว่างชายหญิง แต่ละคนนั่งนิ่งในตำแหน่งของตัวเอง ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาเบิกโพลง ปราศจากลมหายใจ มุมปากยกโค้งพร้อมกับเผยให้เห็นฟันแปดซี่

เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทุกคนที่ยังมีชีวิตต่างกลั้นหายใจจากจิตใต้สำนึก

สำหรับพวกมัน ฉากตรงหน้าช่างพิสดารและน่าหวาดผวา อยากจะหันหลังกลับและเผ่นหนีออกจากที่นี่ทันที รอให้ถึงตอนเช้าค่อยกลับมาใหม่!

หัวหน้าสารวัตรสูดลมหายใจแผ่ว หันไปสั่งตำรวจข้างๆ

“เข้าไปตรวจสอบและยืนยันว่าพวกเขา ต…ตายแล้วทุกคน”

กล่าวถึงตรงนี้ มันหันไปมองหน้าเจ้าหน้าที่สถานี

“ตามพวกเขาเข้าไป ตรวจสอบว่ามีคนหายไปบ้างไหม”

“ต…ตกลง คุณตำรวจ” เจ้าหน้าที่สถานีกล่าวเสียงสั่น

มันและตำรวจสำรวจลึกเข้าไปในขบวนรถไฟ ตำรวจบางคนชักปืนออกมาด้วยท่าทีหวาดระแวง

ท่ามกลางความเงียบที่ยากจะทานทน เวลาไหลผ่านไปจนกระทั่งตำรวจคนหนึ่งเดินไปหยุดที่ท้ายขบวน หันกลับมาและตะโกน

“ยืนยันแน่ชัดแล้ว… ทุกคนตายหมด!”

ผู้จัดการสถานีกล่าวตะกุกตะกักตามหลัง

“หายไปสองคน… หนึ่งคนคุมรถไฟ หนึ่งคนขับ…”

เมื่อพบว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกินขึ้นเป็นเวลานาน หัวหน้าสารวัตรเริ่มใจเย็นลง ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าวกับตำรวจทุกคน

“รักษาสภาพศพเอาไว้ รอการชันสูตร… ขณะเดียวกัน แบ่งออกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งมุ่งหน้าไปยังตู้โดยสารอื่นเพื่อตามหาตัวคนคุมและคนขับรถไฟ ส่วนอีกทีมตรวจสอบจุดเกิดเหตุเพื่อหาเบาะแสและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น เราจะลงมือสืบสวนโดยเริ่มจากนายสถานีและผู้โดยสารที่เคยร่วมทางมาด้วยกัน ค้นหาจุดเชื่อมโยงและความผิดปรกติ”

แม้ผู้โดยสารจำนวนมากจะไม่ต้องแสดงบัตรประจำตัวขณะซื้อตั๋ว แต่สารวัตรก็เชื่อว่า ต้องมีกลุ่มผู้โดยสารที่ลงทะเบียนยืนยันตัวเอง และหนึ่งในนั้นอาจพบความผิดปรกติในตู้รถไฟหรือไม่ก็พบผู้โดยสารแปลกๆ ที่ควรค่าให้เอ่ยถึง

กล่าวจบ ลมหนาวพัดผ่านตัวรถไฟ

เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว สารวัตรเตรียมเน้นย้ำคำสั่ง แต่ทันใดนั้นก็พบความผิดปรกติ

พนักงานรถจักรไอน้ำที่กำลังนั่งในตำแหน่งเดิมในสภาพดวงตาเบิกโพลงและใบหน้าขาวซีด ปากของพวกมันปิดสนิทตอนไหนก็มิอาจทราบได้ ไม่เห็นฟันแปดซี่เรียงรายอีกแล้ว

ภายในห้องพักหรูหราของโรงแรม โคมไฟผนังส่องสว่างไปตามโต๊ะและเก้าอี้ที่พื้นด้านล่างปูพรม

ไคลน์แปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์และนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว ไขว่ห้างซ้ายทับขวา

ด้านข้างเป็นเอ็นโซที่คล้ายกับชนพื้นเมือง ด้านหน้าเป็นกลุ่มหุ่นเชิดหนึ่งแถว

พวกมันคือกลุ่มพนักงานที่พยายามสละชีพบนรถไฟ ประกอบด้วยชายที่มีแก้มเป็นรอยแดง เจ้าหน้าที่คุมรถ และคนขับรถไฟ

พวกมันแต่งกายต่างกันมาก ราวกับต่างฝ่ายต่างมาจากคนละถนน มาบรรจบกันที่นี่

“ใครสั่งให้สังเวยตัวเอง?” ไคลน์ถามเสียงขรึม

หลังจากก้าวขึ้นมาอยู่ในลำดับ 4 ‘จอมเวทพิสดาร’ ไม่เพียงจะอ่านความคิดจากจิตใต้สำนึกส่วนนอกของหุ่นเชิด แต่ยังสามารถ ‘สื่อวิญญาณ’ ผ่านด้ายวิญญาณได้โดยตรง

แน่นอน ยิ่งหุ่นเชิดมีระดับมากเพียงใด การสื่อวิญญาณก็ยิ่งได้ผลแย่ลง

หลังจากเงียบงันสักพัก คนคุมรถชาวโลเอ็นที่มีขนดกหนา กล่าวด้วยสีหน้าล่องลอย

“เป็นวิวรณ์จากเทพ”

“เทพตนใด?” ไคลน์รับถ้วยชาลายครามจากเอ็นโซและจิบหนึ่งคำ

คนคุมรถไฟตอบกลับเสียงล่องลอย

“เทพคือเทพ ไม่มีเป็นอื่น”

ไคลน์วางแก้วลงพลางถาม

“ท่านมอบวิวรณ์ด้วยวิธีใด? แล้วกล่าวว่าอย่างไร?”

คนคุมรถไฟเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา

“พระองค์มอบวิวรณ์ผ่านเทวภัณฑ์ ตรัสว่าจงมอบชีวิตของพวกเราให้พระองค์ แล้วจะได้รับสิทธิ์ให้อาศัยในอาณาจักรของพระองค์หลังความตาย”

สังเวยชีวิตหมู่… เมื่อเทียบกับนิกายวิญญาณ พวกโรงเรียนกุหลาบชอบทำเรื่องแบบนี้มากกว่า เพราะโด่งดังด้านพิธีกรรมสังเวยเลือดมาช้านาน… แต่การได้รับชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรแห่งเทพออกจะคล้ายคลึงกับความเชื่อของนิกายวิญญาณมากกว่า… แน่นอน เรื่องนี้อาจเป็นกลลวงหรือการใส่ความ… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะถาม

“เทวภัณฑ์แบบใด?”

คนคุมรถไฟไม่ตอบ แต่หันไปมองชายที่มีแก้มเป็นรอยแดง

จากนั้น ชายคนดังกล่าวหยิบของออกจากกระเป๋าเสื้อด้านใน

เป็นตุ๊กตาผ้าที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆ บริเวณดวงตาและปากโก้งโค้ง

“พระองค์จะคอยมอบวิวรณ์ให้เราผ่านสิ่งนี้… ฉันซื้อมันมาจากตลาด” ชายที่มีรอยแดงบนแก้มตอบอย่างเชื่องช้าแต่ราบเรียบ

เดายากแฮะ… ไคลน์นึกถึงความเป็นไปได้อันหลากหลาย ก่อนจะสั่งให้เอ็นโซหยิบตุ๊กตาขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติ

อ้างอิงจากประสบการณ์ สิ่งนี้หมายความว่าปัญหามิได้อยู่ที่ตัวตุ๊กตา แต่มีความเป็นไปได้สองอย่าง: ประการแรก มีคนใช้ตุ๊กตาเป็นตัวหลอกขณะแสร้งทำเป็นเทพอยู่ใกล้ๆ ประการที่สอง เป็นตัวตนลึกลับที่ติด ‘สัญลักษณ์’ ไว้กับผู้สวดวิงวอนและคอยส่งวิวรณ์โดยตรง

ถ้าเป็นอย่างแรก อีกฝ่ายจะทราบทันทีว่าพนักงานรถไฟตายหมดแล้ว และเตรียมลงสิ่งเพื่อรับมือกับปัญหา… แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ทางนั้นอาจไม่พบความผิดปรกติใดเลย… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก สั่งให้เอ็นโซวางตุ๊กตาผ้าไว้บนโต๊ะด้านข้างหน้าต่าง

จากนั้น มันลุกขึ้นยืนและเปลี่ยนเป็นเจ้าหน้าที่รถไฟคนหนึ่ง เดินไปยืนรวมแถวกับกลุ่มลัทธิเถื่อน

เมื่อเอ็นโซเดินกลับมา มันเองก็แปลงโฉมในลักษณะเดียวกัน

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ค่ำคืนค่อยๆ ทวีความมืดมิด

ทันใดนั้น บนโต๊ะที่กำลังอาบแสงจันทร์สีแดง ตุ๊กตาผ้าซึ่งมีตาและปากโก้งโค้งเริ่มขยับแขนขาและลุกยืน

………………………………………….

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset