เมื่อพลังวิญญาณของไคลน์สัมผัสกับจุดแสง ทันใดนั้น แสงสว่างก็ขยายเป็นภาพขึ้นมาตรงหน้าชายหนุ่ม
เดนิส ในสภาพสวม ‘ผ้าคลุมเงา’ กำลังก้มหัววิงวอนริมจัตุรัส เอ่ยนามเต็มอันสูงส่งของเดอะฟูลเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
จากจุดดังกล่าว ไคลน์ขยายฉากออก มองหาร่างของอินซ์·แซงวิลล์
สิ่งเห็นผ่านหมอกสีเทา แตกต่างอย่างชัดเจนกับที่เห็นด้วยตาเปล่า ณ จุดหนึ่งใจกลางจัตุรัส วิหารหลังใหญ่ที่สร้างจากกระดูกผุดขึ้น ด้านในมืดสนิท ยากจะมองเห็นสิ่งใด
ฉวยโอกาสดังกล่าว ไคลน์ตอบสนองคำวิงวอนของเดนิส:
“อยู่ให้ห่างจากที่นี่ หาที่ซ่อนตัว”
ขณะกล่าวอย่างเชื่องช้า ไคลน์สวมมงกุฎและเสื้อคลุมสันตะปาปาสีน้ำเงินเข้ม ยกมือซ้ายขึ้นพร้อมกับเปลี่ยนให้อัญมณีสีน้ำเงินด้านบนคทากระดูกส่องแสง
เสียงหวีดแหลมพลันกังวานรอบ ‘จัตุรัสคืนชีพ’ ในโลกความจริง สายลมกระโชกพัดผ่านหนักหน่วง ส่งผลให้ผู้คนสัญจรไปมาหรือผู้ที่กำลังพักผ่อนหย่อนใจ ต้องรีบหากำบังลม แม้แต่แอนเดอร์สันที่อยู่ในสภาพแข็งทื่อ ก็ยังกลับมาเป็นปรกติ รีบกุมท้องด้วยมือข้างเดียวพร้อมกับวิ่งออกจากเขตอันตราย
เพียงไม่กี่วินาที จัตุรัสคืนชีพกลายเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่า คนที่เอาแต่เดิน ไม่ยอมวิ่งหนี ล้วนถูกพัดพาไปด้วยสายลมกระโชก สัมผัสถึงความรู้สึกของการบิน
เกิดความเงียบงันขึ้นภายในพื้นที่ว่างเปล่า แต่เพียงไม่นานก็มีแสงสว่างจากหน้าต่างของวิหารกระดูก จุดแสงขยายขนาดขึ้นและอลังการมากขึ้นเรื่อยๆ
หน้าต่างกระจกหลากสีสันพลันแตกละเอียดอย่างเงียบงัน แสงฟ้าอ่อนที่คล้ายดาวตก พวยพุ่งออกมาพร้อมกัน
เปลวไฟดังกล่าวก่อตัวกลายเป็นรางอินซ์·แซงวิลล์สวมชุดนักบวชสีดำ ดวงตาข้างหนึ่งมีสีน้ำเงินเข้ม ส่วนอีกข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย มันย่อตัวลงเล็กน้อย
เพียงผู้พิทักษ์ราตรีรายนี้ปรากฏตัว ปากของมันอ้ากว้างอย่างมิอาจควบคุม เปล่งเสียงคุยกับปากกาขนนกโบราณในมือ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า… ไอ้งั่งที่ไม่ยอมฟังคำแนะนำ… เรื่องราวแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น! ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหวาดกลัวสิ่งใด แต่ถ้าเมื่อครู่ปล่อยให้ข้าสวดวิงวอนถึงพระองค์ แอบกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกุหลาบไถ่บาปและร่วมมือกับ ‘งู’ ตัวนั้น การวางกับดักก็จะสำเร็จลุล่วง และคนที่จะถูกล่าก็คืออาดัม ไม่ใช่พวกเรา!”
ปากกาขนนกที่หม่นหมองและชำรุดเล็กน้อยรีบลอยขึ้น เขียนลงบนพื้นว่างบนเสื้อผ้าอินซ์·แซงวิลล์
“เซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซีผู้หงุดหงิดกับความอับอายขายหน้า โยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้ ‘ปากกาอัลเซอร์ฟอร์ด’ แต่ในความเป็นจริง ตัวเขาเองต่างหากที่ห้ามมิให้ตัวเองสวดวิงวอนถึง ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ เพราะไม่ว่าจะเซารอนหรือไอน์ฮอร์น พวกเขาก็ไม่อยากกลายเป็นสาวกของเทพมารนั่น”
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้อาการทางจิตของวิญญาณมารรุนแรงขึ้น! เรื่องนี้สมเหตุสมผลมาก เป็นคำวินิจฉัยจากจิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญและมืออาชีพ!”
“อินซ์·แซงวิลล์” ขมวดคิ้วทันที สัญชาตญาณสั่งให้ยกมือซ้ายขึ้น กดศีรษะตัวเองลง
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่เคยหม่นหมอง กลับคืนความสดใสอย่างรวดเร็ว ใบหน้ารูปปั้นแกะสลักโบราณกลับมาขึงขัง
ทันใดนั้น หลังจากหลบหนีออกจากวิหารกระดูกสำเร็จ ด้านหน้าของมันกลับมิใช่จัตุรัส หากแต่เป็นขั้นบันไดโบราณที่สร้างจากหิน ปลายทางนำไปสู่ยอดเขาสูงตระหง่าน ปลายทางมีไม้กางเขนยักษ์และเทวทูตนับไม่ถ้วนวนเวียนโดยรอบ
เพียงพริบตา สายฟ้าสีเงินขนาดมหึมาพุ่งแหวกผ่านท้องฟ้าสูง ตรงเข้าหาอินซ์·แซงวิลล์
รอยแยกจำนวนมากพลันปรากฏรอบๆ มิติปิดผนึก น้ำพุและดอกไม้บนจัตุรัสเริ่มสะท้อนบนกระจกตาสีน้ำเงินเข้ม
ร่างของอินซ์·แซงวิลล์พลันเลือนหาย เหลือทิ้งไว้เพียงวิญญาณโปร่งใสและคลุมเครือ โดยหลังจากถูกฟ้าผ่า ร่างวิญญาณก็สลายไปทันที
‘ผู้พิทักษ์ราตรี’ รายนี้ไม่มีเวลาพอจะพิจารณาเกี่ยวกับภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่ภายนอก รีบฉวยโอกาสแปลงร่างเป็นเปลวไฟ แหวกผ่านรอยแยกของมิติออกไป
สำหรับมัน ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ ก็คงไม่เลวร้ายไปกว่าบุตรแห่งพระผู้สร้าง อาดัม ราชาเทวทูตย่อมต้องเป็นตัวตนที่น่ากลัวยิ่งกว่า รับมือได้ยากกว่า!
เมื่อเห็นแสงไฟลุกโชนขึ้นใจกลางจัตุรัส เมื่อเห็นอินซ์·แซงวิลล์หลุดพ้นจากโลกมายาและปรากฏกายด้วยผมสีทองเข้มและฝ่ามือสีซีด ไคลน์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นั่งตัวตรงโดยไม่รู้ตัว
ฉากนับไม่ถ้วนพลันแล่นผ่านสมอง ภาพของตนที่เคยถูกแทงด้วยหัวใจและฉากรองเท้าหนังมันเงา ภาพของดันน์·สมิทกำลังส่งยิ้มพร้อมกับขยิบตาซ้าย ภาพของบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬกลายเป็นซากปรักหักพัง
มุมปากไคลน์ยกขึ้น เผยรอยยิ้มเจือความเย้ยหยัน
จากนั้น มันกล่าวด้วยเสียงต่ำเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ:
“อับโชค!”
บนฝ่ามือขวา ยันต์สีเงินอมเทาลุกโชนด้วยแสงสีดำ
นี่คือยันต์ที่ไคลน์สวดวิงวอนถึง ‘เทพธิดารัตติกาล’ โดยตรง สร้างจากเลือดของวิล·อัสตินและโลหะล้ำค่า
เป็นขวัญที่มันเตรียมไว้ให้อินซ์·แซงวิลล์
ลูกศรแห่งการแก้แค้น
คำสาปแห่งเทพ!
ไคลน์ลุกขึ้นยืน ขยับไหล่พลางสะบัดแขนขวา เคลื่อนย้ายแสงสีดำเข้าไปรวมกับเศษเสี้ยวพลังของมิติเหนือสายหมอก จากนั้นก็โยนเข้าไปในฉากหน้าจอคำวิงวอนของเดนิส เล็งใส่อินซ์·แซงวิลล์โดยตรง
…
ในวินาทีที่อินซ์·แซงวิลล์กลับมายังจัตุรัสคืนชีพ มันเห็นความมืดโผล่ขึ้นจากอากาศอันว่างเปล่า ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เปลี่ยนให้ทัศนวิสัยมืดมนสุดขีด
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นในพริบตาและจบลง ทุกสิ่งรอบตัวกลับเป็นปรกติ แทบไม่มีส่วนใดแตกต่างไปจากเดิม ทว่า ในฐานะผู้พิทักษ์ราตรีที่สามารถสร้างความโชคร้ายแก่ผู้อื่นได้ในระดับหนึ่ง อินซ์·แซงวิลล์ ‘ได้กลิ่น’ ออร่าแสนอันตราย จึงรีบเหยียดฝ่ามือซ้ายโดยไม่ลังเล โคจรพลังของวิญญาณมารมารวมกับพลังของ ‘ผู้เฝ้าประตู’ ในร่างกาย ส่งตัวเองเข้าสู่โลกวิญญาณ เตรียมใช้เป็นเส้นทางหลบหนี
ทว่า ทั้งดอกไม้สีแดงสดรอบตัวมัน สระน้ำพุสีขาวโพลน ลายกระเบื้องปูพื้นสีดำเข้ม กลับไม่แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีสันฉูดฉาดอย่างที่ควร ไม่ต้องพูดเรื่องการซ้อนทับ
พลัง ‘กระสวยวิญญาณ’ ของอินซ์·แซงวิลล์ล้มเหลว!
ดวงตาของมันพลันหยุดนิ่ง เริ่มเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลัง นั่นเพราะวิญญาณมารในตัวมันกำลังทะเลาะกันเอง ไม่ให้หยิบยืมพลังอำนาจ:
“เห็นไหม? หากพวกเจ้าฟังข้าตั้งแต่แรก เหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น!”
“เหลวไหล! ถ้าจะให้ข้าเชื่อใน ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ขอยอมตายดีกว่า!”
“ฟังเจ้าแล้วได้อะไรขึ้นมา สภาพของเจ้าก็ไม่ต่างจากพวกเราในตอนนั้น ถูกอลิสต้า·ทูดอร์จับมาปรุงเป็นโอสถและดื่มเหมือนกัน!”
“พวกเจ้าประมาทเกินไปแล้ว ไม่คิดบ้างหรือว่าคำสาปในคราวนี้มีออร่าเทพแฝงอยู่อย่างเข้มข้น? แก่นแท้ของพลังก็สูงมากเช่นกัน ด้วยสภาพปัจจุบันของเรา ไม่มีทางหลบพ้นแน่นอน คึฮ่าฮ่า! เถียงเข้าไป! เถียงข้าเข้าไป! พวกเราจะตายไปพร้อมกัน!”
…
ได้ยินเช่นนั้น เส้นเลือดบนหน้าผากอินซ์·แซงวิลล์พลันปูดโปน โกรธจัดในเรื่องที่วิญญาณมารเซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซีมัวแต่ทะเลาะกันเองในช่วงเวลาวิกฤติ ไม่ยอมจัดลำดับความสำคัญเกี่ยวกับอันตราย
ในฐานะอดีตอาร์ชบิชอป ในฐานะผู้วิเศษที่คอยปกป้องเถ้ากระดูกเทพให้โบสถ์รัตติกาล อินซ์·แซงวิลล์ไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำสติ เชื่อโดยสัญชาตญาณว่าแสงสลัวเมื่อครู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของ ‘เทพธิดารัตติกาล’ และเชื่อว่า การทะเลาะเบาะแว้งอย่างกะทันหันของเซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซี คือสิ่งที่เกิดจากผลกระทบของพลังดังกล่าว ไม่อย่างนั้น ลำพังการเขียนของ ‘ปากกาอัลเซอร์ฟอร์ด’ คงไม่รุนแรงพอจะทำให้วิญญาณมาร ‘เทวทูตสีชาด’ ทะเลาะกันเองโดยไม่สนใจบริบทของเหตุการณ์!
มันหันหลังกลับ วิ่งเต็มฝีเท้าไปยังทางออกหนึ่งของจัตุรัสคืนชีพ พยายามสื่อสารกับวิญญาณในละแวกใกล้เคียงเพื่อใช้พลังสำหรับหลบหนี ทว่า ที่นี่กลับไม่มีวิญญาณแม้แต่ดวงเดียว!
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งย่างกรายออกจากเงามืดริมจัตุรัสว่างเปล่า ภายนอกดูคล้ายลูกครึ่งโลเอ็นไบลัม ใบหน้าอวบอิ่ม สวมเสื้อผ้าหลวม เหน็บเรเพียร์เล่มบางไว้ข้างเอว
ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์!
เป็นหุ่นเชิดที่ปรกติแล้วจะไม่มีความคิดใดๆ !
หลังจากขว้างยันต์ ‘คำสาปแห่งเทพ’ ไคลน์ลงมือทำตามแผน กลับสู่โลกแห่งความจริง ควบคุมสองหุ่นเชิด!
มันบังคับให้ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นโซหลบมุมใกล้ๆ และหยิบของที่เตรียมไว้ออกมา เริ่มประกอบพิธีธรรมสังเวยและรับมอบ ขณะเดียวกันก็บังคับให้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ออกจากจุดซ่อนตัวเพื่อเผชิญหน้ากับอินซ์·แซงวิลล์
‘พลเรือเอกขุมนรก’ ผู้ไม่หลงเหลือเค้าเดิมอีกต่อไป ยกมือขวาขึ้น เปลี่ยนให้แขน ปลายแขน และนิ้วของตนพร่ามัวอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการเหยียดยาวออกไปหาเป้าหมาย
นี่คือพลังที่สามารถดึงวิญญาณออกจากเป้าหมายได้โดยตรง เป็นพลังที่หยิบยืมมาจากสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งความตาย!
ฝ่ามือของลูเธอร์ไวล์เปลี่ยนเป็นสีซีด เหนือศีรษะอินซ์·แซงวิลล์ ร่างหนึ่งถูกกระชากขึ้นอย่างมิอาจควบคุม
อย่างไรก็ตาม อินซ์·แซงวิลล์ เคยเป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ มาก่อน มันรีบสร้างประตูทองแดงลึกลับและมายาภายในดวงตา ดึงร่างวิญญาณที่กำลังจะลอยออกไปให้กลับคืนมา
เดิมที หากพิจารณาถึงระดับและความแข็งแกร่งของมัน ความพยายามครั้งนี้ควรจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ด้วยเหตุผลบางประการ มันกลับทำผิดพลาดหลายต่อหลายครั้ง เกือบจะปล่อยให้ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลงมือสำเร็จ เกิดสถานการณ์คล้ายคลึงกับ ‘กระดานหก’ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ
ทันใดนั้น ร่างสองร่างโผล่ขึ้นด้านข้างลูเธอร์ไวล์ คนหนึ่งคือชายผมดำดวงตาสีเขียว เลียวนาร์ด·มิเชล กำลังสวมถุงมือโปร่งใสไว้ข้างซ้าย อีกหนึ่งคือดาลีย์·ซิโมเน่ผู้ทาขอบตาและแก้มเป็นสีฟ้า
พวกมันมาถึงในเวลาสุดเหมาะเจาะ ความโชคร้ายของศัตรูย่อมหมายถึงความโชคดีของฝ่ายตน!
สิ่งแรกที่ดาลีย์เห็นคือบุคคลที่เธอไม่มีวันลืม เปลวไฟแห่งความเกลียดชังพลันลุกโชนในดวงตา
แต่เธอมิได้ลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า ยืนสังเกตสภาพแวดล้อมอยู่ด้านหลังลูเธอร์ไวล์สักพักก่อนจะกางแขนออก
ประตูทองแดงลวดลายพิสดารผุดขึ้นพร้อมกับเสียงเปิดประตูแง้ม
นี่คือประตูสู่โลกแห่งความตาย ประตูที่เต็มไปด้วยสิ่งเย้ายวนสำหรับสิ่งมีชีวิตอันเดดทุกชนิด!
แรงดึงดูดสุดทรงพลังที่ยากอธิบายพลันพวยพุ่ง ร่างวิญญาณเหนือศีรษะอินซ์·แซงวิลล์หลุดออกจากร่างโดยสมบูรณ์
เป็นร่างโปร่งแสงของชายสวมชุดเกราะสีดำเปื้อนเลือด ใบหน้าหล่อเหลา ยังหนุ่มยังแน่น ผมสีแดง บนใบหน้ามีร่องรอยการถูกกัดกร่อนจนเห็นกระดูก กึ่งกลางคิ้วมีเครื่องหมายคล้ายธง
มันไม่ตกใจที่ตนถูกดึงออกจากตัวอินซ์·แซงวิลล์ ทำเพียงส่งเสียง ‘โย่’ และกล่าว
“วันนี้ช่างโชคร้าย พวกเราเคยตายด้วยกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้กำลังจะเกิดขึ้นซ้ำสอง? แถมยังเป็นในตอนที่ถูกควบคุมโดยเจ้าไก่อ่อน”
บนแก้มซ้ายของมัน เนื้อฉีกออกเป็นทางยาวพร้อมกับขยับพูดคล้ายปาก:
“ช่างเถอะ ก่อนอื่นก็ต้องเก็บกวาดขยะรอบๆ …”
ยังไม่ทันจบประโยค ชายในชุดเกราะสีดำเปื้อนเลือดเริ่มเหยียดฝ่ามือ ดาบมายาเล่มยาวที่เปื้อนสนิมสีแดงถูกดึงออกจากร่างกาย
พลังสะกดข่มที่หนักอึ้งพลันท่วมท้นบรรยากาศ วิญญาณมารตนดังกล่าวสลัดหลุดจากแรงดึงของลูเธอร์ไวล์และดาลีย์·ซิโมเน่ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็รีบพุ่งตัวลง พยายามกลับเข้าไปในตัวอินซ์·แซงวิลล์
ทันใดนั้น เสียงสากๆ คล้ายกระดาษทรายของ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ถูกเปล่งอย่างเคร่งขรึมเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ:
“โชคชะตา!”
………………………………………